ผ่าประเด็นร้อน
มีหลายคนแนะนำว่าอย่าจมปลักอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตร นานเกินไป ควรก้าวผ่านเลยไป เพื่อไม่ให้บ้านเมืองเสียเวลา เสียโอกาส ควรปล่อยให้เข้าสู่บรรยากาศตามขั้นตอนทางกฎหมายเหมือนคนทั่วไป ไม่สมควรให้ความสำคัญกระพือจนเกินพอดี
อย่างไรก็ดี แม้จะเห็นคล้อยตาม แต่เมื่อพิจารณาจากศักยภาพและความชั่วที่มีอย่างสมบูรณ์แบบก็ยังถือว่าเป็นบุคคลที่น่าอันตรายและยากที่จะก้าวผ่านไปได้ง่ายๆ
ไม่เชื่อลองพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ และเครือข่ายในเวลานี้เอาก็แล้วกันว่ามันท้าทายแค่ไหน
เริ่มจากการไม่เคารพศาล ไม่เคารพคำพิพากษา ขณะเดียวกันก็ใช้ถ้อยคำที่ประดิดประดอยบิดเบือน กล่าวหาในทำนองว่า “ศาลปล้นทรัพย์” หรือศาลทำตาม “ใบสั่ง” ของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงศาลตัดสินตามกฎหมายของคณะปฏิวัติอะไรแบบนี้ และกำลังสั่งการให้ลูกน้องในสังกัดล่าชื่อคนเสื้อแดงที่ยังหลงเชื่อไม่รู้เท่าทัน ร่วมลงชื่อถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินยึดทรัพย์ที่โกงแผ่นดินในล็อตแรกก่อนจำนวนกว่า 4.63 หมื่นล้านบาทเสียอีก
นอกจากนี้ใช้คำพูดปลุกระดมชาวบ้านที่ไม่เข้าใจเรื่องการซุกหุ้นที่ซับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบายให้ออกมาชุมนุมเพื่อทวงคืนทรัพย์สินและอำนาจให้กับตัวเองและครอบครัว แม้ว่าคนที่บอกว่า “บุกเข้าไป สู้เข้าไป” จะอยู่ข้างนอกประเทศให้คนอื่นไปตายแทนก็ตาม แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไร้สติหลงเชื่อ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะให้รับมือแบบธรรมดา และปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆคงไม่ได้
เพราะหากลองย้อนกลับไปตั้งแต่การก่อตั้งศาลในไทยมานานกว่า 120 ปี ไม่เคยมีครั้งไหนฝ่ายจำเลยจะมีฤทธิ์เดช และชั่วช้าได้ถึงขนาดนี้ นอกจากไม่ยอมรับในคำตัดสินของศาลแล้ว ยังมาชี้หน้าด่าและบิดเบือนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลด้วยวิธีการต่างๆนานา
ที่ผ่านมาในคดีอื่นๆ แม้จะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินแต่ก็ต้องก้มหน้ายอมรับไปทุกราย หรือหาช่องขออุทธรณ์ หรือขอพระราชทานอภัยโทษไปตามกระบวนการ แต่ ทักษิณ นอกจากไม่สำนึกแล้วยังคิดที่จะทำลายโค่นล้มกันเลยทีเดียว หรือใช้วิธีใช้มวลชนมากดดัน รวมไปถึงอ้างเสียงจากประชาชนผ่านทางการเลือกตั้งโดยบอกในทำนองว่านี่คือฉันทานุมัติที่จะสามารถทำอะไรก็ได้
หรือหากแยกออกมาพิจารณาเฉพาะการเคลื่อนไหวในบางกรณีอย่าง เช่น การขอพระราชทานอภัยโทษก็ใช้วิธีที่นอกเหนือกฎหมายกำหนดเอาไว้ นั่นคือใช้การล่ารายชื่อประชาชนมากดดันพระเจ้าอยู่หัว เพราะตามขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นก่อนอื่นเมื่อคดีถึงที่สุดและคนทำผิดต้องถูกจำคุกเสียก่อน และที่สำคัญตัวเองต้องสำนึกในความผิดด้วย
ขณะเดียวกัน การยื่นถวายฎีกานั้นนอกจากตัวเองเป็นคนเขียนแล้วยังเปิดโอกาสให้ลูกเมีย พ่อแม่เท่านั้น ไม่ใช่คนนอก แม้จะใช้คนล้านๆก็ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่คนพวกนี้แม้จะรู้ขั้นตอนดี แต่เป้าหมายเพื่อให้เกิดความกดดันเท่านั้น
ล่าสุด เมื่อถูกคำตัดสินยึดทรัพย์ และกำลังถูกขยายผลดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญาต่อเนื่องตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทักษิณ ก็ออกมาใช้คำพูดปลุกระดมเช่นเคยว่า ตัวเองถูกไล่ล่า ถูกไล่บี้จนไม่มีที่ยืน หรืออ้างว่าจะฟ้องศาลโลก และเดินสายฟ้องผู้นำโลก เป็นต้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่ดินรัชดาโดยมิชอบ รวมไปถึงหนีหมายจับในคดีทุจริตอีกหลายคดี เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะต้องตามจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้ ตรงกันข้ามหากนิ่งเฉย นี่ซิจะถือว่าเข้าข่ายละเว้น
กรณีถูกสั่งยึดทรัพย์และกำลังจะถูกขยายผลเพื่อดำเนินคดีตามคำพิพากษาดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องนำมาดำเนินการต่อ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังจะดำเนินการในเรื่องการปกปิดและแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ รวมไปถึงหน่วยงานอื่น อาทิ กระทรวงไอซีที กระทรวงการคลัง กำลังตั้งคณะกรรมการด้านกฎหมายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จากการทุจริตของ ทักษิณ กลับคืนแผ่นดิน ซึ่งหากหน่วยงานดังกล่าวนิ่งเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่างหากที่ต้องถูกตำหนิและถูกดำเนินคดีเสียเอง
ดังนั้น การดำเนินการที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ไม่ใช่เป็นการไล่ล่าหรือไล่บี้ตามคำพูดบิดเบือนปลุกระดมของ ทักษิณ แต่เป็นการทำตามกฎหมาย ตามคำพิพากษา เพราะไม่ว่าใครก็อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้!!