กรณีของ “ทักษิณ” ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ รวมไปถึงยังมีคดีทุจริตคอรัปชั่นค้างคาอยู่ในศาลอีกหลายคดีพลิกกลับมาจนหลุดรอดทั้งหมด หลังจากมีการเคลื่อนไหวกดดันทุกวิถีทางทุกวิถีทางอยู่ในขณะนี้ทั้งวิธีการบนดินและใต้ดินแล้ว ก็จะถือว่าบรรทัดฐานในบ้านเมืองที่วางเอาไว้ถูกย่ำยีจนป่นปี้ กลายเป็นว่าต่อไปใครก็ได้ถ้ามีพลังอำนาจ มีมวลชนสนับสนุนออกมาเคลื่อนไหวทำให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้โดยไม่ต้องมาพิจารณาถึงกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาล
“ผ่าประเด็นร้อน”
แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วนักโทษคนหนึ่งที่โกงชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ถูกศาลตัดสินจำคุก ถูกตัดสินยึดทรัพย์จะก่อการสิ่งใดล้วนแล้วแต่ไร้ความชอบธรรม ไร้ความน่าเชื่อถือ แต่สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ปัจจุบันถือว่าเข้าสู่ระดับ “ทรราช” เต็มรูปแบบอาจมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง กำลังปลุกระดมคนเสื้อแดงเพื่อก่อการจลาจลเนื่องจากคิดว่าจะสามารถทวงคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดรวมทั้งอำนาจที่สูญเสียไปกลับคืนมา
บางครั้งบางคนยิ่งมีอำนาจมาก มีเงินมากก็ยิ่งมีกิเลส ความโลภมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพราะสิ่งดังกล่าวทำให้เกิดความหลง เหมือนกับคำคมที่กล่าวกันว่า “อำนาจ-เงินตรา” ก็เหมือนเหล้ากินเข้าไปมากๆก็เมา ทักษิณ ก็อยู่ในประเภทนั้นกำลังอยู่ในภาวะหน้ามืดตามัว แทนที่จะมาตั้งสตินั่งคิดทบทวนปล่อยวาง ตรงกันข้ามกลับยังดันทุรังไขว่คว้าในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม มันก็ยิ่งหายนะและมีแนวโน้มว่าจะไม่อาจรักษาสิ่งที่ยังเหลืออยู่เอาไว้ได้เลย
เพราะสิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นมันเป็นเส้นทางของทรราช มีแต่เสียงรุมประณามและเต็มไปด้วยก้อนอิฐขว้างปา ไม่ใช่เส้นทางของ “รัฐบุรุษ” ที่บั้นปลายมีแต่เสียงชื่นชมศรัทธา
หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งก็นับเป็นโชคดีของคนไทยอีกจำนวนมากที่เคยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับพฤติกรรมและนิสัยของ ทักษิณ ก็มาได้พิสูจน์กันอีกครั้งในคดียึดทรัพย์ครั้งล่าสุดทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา เพราะหากยังจำกันได้ในช่วงไม่กี่นาทีก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำตัดสินออกมา ทั้งตัว ทักษิณ และลูกน้องคนใกล้ชิดต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจะยอมรับในคำพิพากษา แต่พอสิ้นเสียงคำตัดสิน “ธาตุแท้” ก็ปรากฎออกมาให้เห็นกันชัดๆอีกครั้ง
สารพัดคำพูดที่พรั่งพรูออกมาอย่างไร้สติ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเองถูก “ปล้น” หรือกล่าวหาว่า “ศาลเล่นการเมืองแบบสุดๆ” หรือกล่าวในทำนองว่า “ศาลตัดสินโดยยอมรับกฎหมายของคณะรัฐประหาร” และล่าสุดก็ได้เรียกร้องให้พี่น้องคนเสื้อแดงทั้งหลายออกมาร่วมชุมนุมในวันที่ 12-14 มีนาคมนี้ให้ออกมาให้มากที่สุด ซึ่งความหมายก็คือ “ให้ออกมาช่วยกันทวงคืนสมบัติและอำนาจให้กับเขา” นั่นเอง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือวิธีการที่ ทักษิณ กับพวกกำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ก็คือจะสร้างความกดดันรวมไปถึงอาจก่อความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของศาลจากลบให้กลายเป็นบวก นั่นคือต้องการไม่ให้ถูกยึดทรัพย์หรือถ้ายึดมาแล้วก็ต้องคืนกลับไป รวมทั้งนิรโทษหรืออภัยโทษเพื่อให้ตัวเองได้กลับเข้ามามีอำนาจอีกรอบ
อย่างไรก็ดี กรณีของ ทักษิณ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์รวมไปถึงยังมีคดีทุจริตคอรัปชั่นค้างคาอยู่ในศาลอีกหลายคดีพลิกกลับมาจนหลุดรอดทั้งหมด หลังจากมีการเคลื่อนไหวกดดันทุกวิถีทางทุกวิถีทางอยู่ในขณะนี้ทั้งวิธีการบนดินและใต้ดินแล้ว ก็จะถือว่าบรรทัดฐานในบ้านเมืองที่วางเอาไว้ถูกย่ำยีจนป่นปี้ กลายเป็นว่าต่อไปใครก็ได้ถ้ามีพลังอำนาจ มีมวลชนสนับสนุนออกมาเคลื่อนไหวทำให้เปลี่ยนแปลงอะไรได้โดยไม่ต้องมาพิจารณาถึงกฎหมายหรือคำพิพากษาของศาล
หากเป็นเช่นนั้นจริงต่อไปคำว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย” ก็จะหมดไป จะเป็นอย่างนั้นหรือ!!
ต่อไปบ้านเมืองก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายไว้รองรับ จะเข้าสู่ยุคไร้ขื่อแป
แต่อีกมุมหนึ่งในทางกลับกันการเคลื่อนไหวของทักษิณ และเครือข่ายที่ไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลก็ยิ่งทำให้สังคมไม่เอาด้วย เนื่องจากไม่ว่าใครก็ตามต้องเคารพในคำพิพากษา แม้ว่าบางคนจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมีคำตัดสินออกมาก็ต้องยอมรับ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไม่สิ้นสุด
ขณะเดียวกันยังเชื่อว่า สังคมจะไม่ยอมรับความรุนแรงหรือการข่มขู่เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยนอกเหนือกติกาเป็นอันขาด โดยเฉพาะการไม่ยอมรับในคำพิพากษาของศาล พิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่เพิ่งออกมาหลังจากคำพิพากษาก็ยังเรียกร้องให้ ทักษิณ หยุดการเคลื่อนไหวและให้ยอมรับในคำตัดสิน
นอกเหนือจากนี้ กว่า 5 ชั่วโมงที่ศาลได้ใช้เวลาในการอ่านคำตัดสิน โดยชี้ให้เห็นที่มาที่ไปตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ อธิบายถึงการฉ้อฉล การทุจริตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เรียกได้ว่า “ประจานความชั่ว” ออกมาให้เห็นเหมือนกับทำให้รู้ว่ามีใส้กี่ขดกี่ขดได้เห็นกันหมด ทำให้หลายคนที่ไม่หน้ามืดตามัวไม่ดันทุรังหลงไหลไปกับการปลุกระดมแบบไม่ชี้แจงข้อกล่าวหาคงได้ “ตาสว่าง” เพิ่มขึ้น
แม้ว่านาทีนี้ถ้ามองในมุมของ ทักษิณ ที่กำลังร้อนรุ่มในหัวอกหลังจากถูกยึดทรัพย์ที่อุตส่าห์โกงชาติไปได้ถึง 4.63 หมื่นล้านบาทกลับคืนหลวงก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้กลับคืนมา โดยบางครั้งไม่สนใจว่าบ้านเมืองที่ตัวเองและลูกเมียได้ถือกำเนิดและได้ประโยชน์จะเสียหายอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สนใจ
อย่างไรก็ดี บางครั้งก็อยากรู้เหมือนกันว่าสังคมไทยที่บอกว่าต้องการเคารพในกติกา ยังยึดมั่นในคำตัดสินของศาล ใช้ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้าย ยังจะสนับสนุนวิธีการป่าเถื่อนไร้ยางอายของ ทักษิณ และลูกน้องกันมากน้อยแค่ไหน และอยากรู้เหมือนกันว่า บทสรุปของคนประเภทนี้จะลงเอยอย่างไร
แต่นาทีนี้เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่กำลังจะเป็นไปในวันข้างหน้ายังเชื่อว่า ยิ่งทักษิณดิ้นรนมากเท่าไรก็ยิ่งดำดิ่งไปสู่หายนะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนั่นคือแนวทางที่มิชอบและเห็นแก่ตัวที่สังคมส่วนใหญ่ไม่อาจยอมรับได้อย่างแน่นอน!!