เป็นเสมือนกิจวัตรประจำวันในทุกๆเช้าที่ นายประทิน ปานฮวบ ชายเฒ่าวัย 60 ปี ผู้ยึดอาชีพเก็บของเก่าขาย จะนำเศษอาหารจากร้านอาหารมาจุนเจือแก่เหล่าฝูงสุนัขจรจัด หลังหมู่บ้านพิมาน ถนนอินทราวาส หรือวัดประดู่เดิม แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กทม. ขณะที่ อาหารถูกเทกองลงสู่พื้น เหล่าฝูงหมาซิวโซก็ตรงเข้าเยื้อแย่งกัดกินอาหารอันโอชะมื้อแรกของวัน
พลันสายตาของชายเฒ่าก็ไปสะดุดกับถุงขยะพลาสติกสีดำใบเขื่อง 4 ใบ วางปะปนกับเหล่าสิ่งปฏิกูลที่ชาวบ้านนำมาวางทิ้งไว้ ใกล้กับต้นกระถินและมะพร้าวที่ถูกโค่นจนเหลือแต่ตอ ด้วยความสงสัยเขาจึงลองแกะดูเผื่อมีสิ่งของที่สามารถนำไปขายแลกกับเศษเงินจุนเจือครอบครัวได้ แต่แล้วก็แทบผงะเมื่อจมูกของชายเฒ่าถูกกลิ่นคาวเลือดโชยออกมากระทบ และแทบเยี่ยวราดกางเกงเมื่อศีรษะของเด็กชาย หล่นตุบลงพื้นพร้อมกับวิกผม ด้วยความตกใจกลัวสุดขีดเขารีบวิ่งพลางตะโกนเอ็ดตะโรไปสามบ้านแปดบ้านจนเพื่อนบ้านตกใจตื่น ก่อนช่วยกันโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ตลิ่งชันมาตรวจสอบ
เมื่อเปิดถุงพลาสติกอีก 3 ถุงที่เหลือ ปรากฏว่า ทุกใบล้วนบรรจุน้ำจนเต็ม โดยถุงใบแรกพบร่างเปลือยเปล่าของเด็กถูกตัดตั้งแต่ ลำตัวจนถึงอวัยวะเพศ ส่วนถุงที่ 2 บรรจุขาทั้ง 2 ข้าง ที่ถูกตัดแยกส่วนรวม 6 ท่อน และถุงที่ 3 พบ ท่อนแขนทั้งสองข้าง ตั้งแต่บริเวณ หัวไหล่จนถึงข้อมือ รวม 4 ชิ้น ส่วนมือทั้ง 2 ข้างของเด็กอันตรธานหายไป จากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบ เด็กถูกจ่อยิงด้วยปืนขนาด.38 ที่บริเวณริมฝีปากล่างด้านขวา ฝังท้าทอย 1 นัด คราบเขม่าจับเกรอะกรังที่ริมฝีปากจนเป็นปื้น กลางหลังถูกยิงทะลุหน้าท้อง 1 นัด แขนซ้ายและแขนขวาอีกข้างละ 1 นัด รวม 4 นัด
และเวลาเดียวกันกับที่พบศพเด็กชายเหยื่อหฤโหด เจ้าหน้าที่ สภ. ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจาก นายสมยง ทองนนท์ พรานเบ็ดวัย 32 ปี ว่าเจอหญิงสาวกลายเป็นศพข้างถนน สายวงแหวนตะวันตก ฝั่งขาออก มุ่งหน้า บางปะอิน หมู่ 1 ต.คลอง พระอุดม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี สภาพศพสวมใส่เสื้อกล้าม สีดำ ยี่ห้อแฟลชไลท์ ทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ แขนยาว สวม กางเกงบลูยีนส์ กางเกงในจีสตริง สีดำ ถุงเท้าสีน้ำเงินเข้ม ไม่สวมรองเท้า สภาพ ศพถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 เข้าที่ลำคอด้านซ้าย หน้าอก ทะลุหลัง และราวนมซ้าย รวม 4 นัด ที่แขนซ้ายและฝ่ามือมีรอยเขียวช้ำ บริเวณท้ายทอยมีรอยถูกตีด้วยของแข็ง บริเวณหน้าอกเสื้อพบรอยไฟไหม้ ส่วนที่กางเกงใน มีเศษกระจกรถยนต์ติดอยู่ด้วย และสวมใส่ผ้าอนามัย ถามไถ่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงไม่มีใครทราบว่าผู้ตายเป็นใครมาจากไหน คาดว่าน่าจะถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่น แล้วนำมาทิ้งเพื่ออำพรางคดี
ต่อมาตำรวจชุดคลี่คลายคดี มุ่งประเด็นไปที่เด็กชายและหญิงสาวเป็นแม่ลูกชาวเกาหลีที่ถูกแก๊งเพื่อนร่วมชาติฆ่าล้างหนี้ หรือจับเรียกค่าไถ่
แต่แล้วแนวทางการสอบสวนของชุดคลี่คลายคดีก็กลายเป็นโอละพ่อเมื่อ จู่ๆ นายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ หนุ่มเมืองกรุง วัย 40 ปี โผล่หัวเข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ รอง ผบก.ป. ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 รับสารภาพว่าตนคือฆาตรกรสังหารโหดสองแม่ลูกตัวจริง โดย ศพที่เจ้าหน้าที่พบที่ จ.ปทุมธานีคือ นางสุนันท์ ศรีสุวรรณ หรือ มาคิโน อายุ 38 ปี แฟนสาว และศพเด็กที่พบท้ายหมู่บ้านย่านตลิ่งชันคือ ด.ช.โชว์ มาคิโน วัย 5 ขวบ ลูกชายนางสุนันท์ สร้างความงงงวยแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างยิ่งเพราะคดีพลิกตลบ ตำรวจหวิดหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ
นายศิริพงษ์ ให้การรับสารภาพหน้าระรื่นว่าโกรธแค้นที่ผู้ตาย ที่บังคับให้ไปฆ่าสามีเก่าชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นพ่อของน้องโชว์ ก่อนเกิดเหตุสยองขวัญ ขณะขับรถแท็กซี่ สีชมพู ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส ทะเบียน ทล 5979 กทม. ไปรับ นางสุนันท์และลูกๆ ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังเดินทางกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น ระหว่างทาง นางสุนันท์ ก็บังคับให้ฆ่าอดีตสามีชาวญี่ปุ่นเก่าอีกครั้ง จึง โมโหชักปืนขนาด.357 บรรจุกระสุนขนาด .38 ลั่นไกใส่ไปยังเบาะหลังจนทั้งสองเสียชีวิต นอกจากนี้กระสุน ไปถูก ด.ญ.พิชยา หรือ น้องมิ้นท์ วัย 13 ปี ลูกสาวคนโต นางสุนันท์ บาดเจ็บอีกราย
“เธอพูดคำว่าผมไม่มีน้ำยา ใช้ให้ไปฆ่าคนแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ชาตินี้ก็ได้เป็นแค่คนขับแท็กซี่ และสักวันคนที่ตายก็จะถึงคิวผม จึงโมโหหยิบปืนที่เตรียมมา เอี้ยวตัวหันหลังไปยิง ขณะนั้นเอง น.ส.สุนันท์ พยายามที่จะล็อกคอ ทำให้ กระสุนจึงพลาดไปถูกน้องมินท์และน้องโชว์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อยิง นางสุนันท์เสียชีวิตแล้ว ก็ได้ลากศพ ไปทิ้ง จากนั้นก็ขับรถไปที่บ้านพักและนำศพน้องโชว์ไปล้างในห้องน้ำแล้วลงมือ ชำแหละศพ ก่อน ใส่ถุงดำ ไปทิ้ง ส่วนน้องมินท์ ได้จัดการทำแผลให้เบื้องต้นก่อนนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 ”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหาเนื่องจาก ไม่ตรงกับ น้องมิ้นท์ โดยน้องมิ้นท์ บอกกับตำรวจด้วยเสียงสั่นเครือและแววตาตื่นตระหนกว่า นายศิริพงษ์ โกหก
จากการตรวจสอบในทางลึกทราบว่า นางสุนันท์ มีสามีคนแรกเป็นชาวเชียงใหม่ซึ่งเป็นพ่อของ น้องมิ้นท์ แต่ได้เลิกรากันไป ต่อมา นางสุนันท์ ได้สามีใหม่เป็นชาวญี่ปุ่น จนมีน้องโชว์เป็นพยานรักด้วยกัน จากนั้นก็ เลิกรากันอีกครั้ง กระทั่งมารู้จักกับ นายศิริพงษ์ และถูกสังหารในที่สุด นอกจากนี้จากการตรวจสอบในทางลึกพบว่า นางสุนันท์ มีหุ้นส่วน ร้านอาหารที่เมืองนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นและ ปล่อยเงินกู้ให้อดีตสามีคนหนึ่งนับ 10 ล้านอีกด้วย ซึ่งการเสียชีวิตของเธอและลูกชาย ดูแล้วขัดกับคำให้การของ นายศิริพงษ์ หลายประเด็น ซึ่งตำรวจต้องตรวจสอบรอยสักว่าเขาเป็นสมาชิกแก๊งยากูซ่า รับงานฆ่าจากคนบงการนอกประเทศหรือไม่ หรืออาจรับงานจากลูกหนี้ชาวไทย หรือไม่ก็ประสงค์ต่อทรัพย์เนื่องจากผู้ตายมีทรัพย์สินจำนวนมาก ซึ่งไม่น่าจะ เกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลที่จะคลี่คลายคดีดังกล่าว
*****************
"น้องมินต์"ยกมือไหว้ขอชีวิต
ยังเป็นปริศนาสำหรับคดีสะเทือนขวัญ นายสิริพงศ์ กาญจนนิวิฐ อายุ 40 ปี ฆาตกรฆ่า นางสุนันท์ ศรีสุวรรณ และ ด.ช.โช มาคิโน 2 แม่ลูก เข้ามอบตัวและสารภาพหมดเปลือก ว่าเป็นผู้ลงมือฆ่า แต่ทว่าคดี ฆ่าหั่นศพเด็ก ที่ดูเหมือนจะคลี่คลายกลับสร้างปมสงสัยหลายอย่างจากคำให้การของผู้ต้องหา ฆ่าหั่นศพเด็ก โดย ผู้ต้องหา ให้การว่า ไม่ได้ตั้งใจฆ่า ภรรยา และลูกวัย 5 ขวบ ที่เกิดจากสามีคนที่สองชาวญี่ปุ่น ของภรรยา แต่เป็นเพราะกลัวและถูกกดดัน เนื่องจากภรรยาสั่งให้ฆ่าสามีเก่าคนแรกซึ่งเป็นคนไทย ถ้าไม่ทำจะถูกตามตนเองก็จะถูกฆ่าแทน ประกอบกับมีปากเสียงกันระหว่างทางจึงบันดาลโทสะสาดกระสุนใส่ภรรยา แต่ดันพลาดโดนลูกชายไปด้วย ขั้นตอนการ ฆ่าหั่นศพเด็ก จึงเกิดขึ้น!!!
น้องมินท์ขณะเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระรามเก้า
จากคำสารภาพของ"ฆาตกร"ที่ขัดแย้งกับคำให้การของ ด.ญ.พิชยา จงงามวิไล อายุ 13 ปี หรือ น้องมิ้นท์ เด็กหญิงที่รอดจากเหตุสะเทือนขวัญ ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ฆ่าแม่และหั่นศพน้องชาย
น้องมิ้นท์ ให้การว่า ได้เดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับมารดาและน้องชาย หลังจากนั้นได้ขึ้นรถแท็กซี่สีชมพู ทะเบียน ทล 5979 ของนายสิริพงศ์ผู้ต้องหา โดยมารับที่หน้าสนามบิน ต่อมาผู้ต้องหาได้ขับรถวนอยู่บริเวณรอบๆสนามบินสุวรรณภูมิอยู่สักพัก ก่อนที่จะขับรถไปยังจุดเกิดเหตุบริเวณ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ซึ่งระหว่างที่ขับรถมานั้น มารดาของตนและผู้ต้องหาไม่ได้มีปากเสียงทะเลาะกันแต่อย่างใด จนกระทั่งพอถึงจุดเกิดเหตุ ผู้ต้องหาได้ชักปืนออกมายิงมารดา น้องชายและตน ซึ่งส่งผลให้มารดาและน้องชาย เสียชีวิตคาที่ ส่วนตนได้รับบาดเจ็บแต่ขณะนั้นยังไม่ตาย และกลัวว่าผู้ต้องหาจะทำการฆ่าปิดปากจึงทำเป็นแกล้งตาย
ต่อมาเมื่อผู้ต้องหาได้ทิ้งศพมารดาที่บริเวณ อ.ลาดหลุมแก้ว ก่อนที่จะขับรถไปยังห้องพักที่ย่านบางบัวทอง เมื่อมาถึงผู้ต้องหาพบว่าตนยังไม่ตาย จึงจะฆ่าทิ้งแต่ตนได้ยกมือไหว้ขอชีวิตไว้ และสัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องดังกล่าวกับตำรวจ ซึ่งผู้ต้องหาเกิดความสงสาร จึงยังไม่ฆ่าตน แต่ได้นำไปกักขังไว้ที่ห้องพัก ก่อนที่จะหั่นศพน้องชาย ต่อมาได้พาตนออกไปพร้อมศพน้องชายออกไปจากที่พัก โดยนำไปทิ้งไว้ที่หมู่บ้านร้างย่านตลิ่งชัน
จากคำให้การของน้องมิ้นท์ ทำให้ตำรวจคาดการณ์ได้ว่า ทั้งหมดอาจเกิดจากความต้องการชิงทรัพย์ เพราะพบหลักฐานเช็คเงินสด 600,000 บาท ของแม่น้องมิ้นท์ ที่ห้องพักของผู้ต้องหา ขณะที่ญาติผู้ตาย ระบุด้วยว่า ผู้ต้องหาติดหนี้แม่น้องมิ้นท์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องการฆ่าเพื่อล้างหนี้ แต่อย่างไรก็ดี ยังต้องรอผลการสอบสวนของตำรวจต่อไป
ส่วนผลสอบสวน ตำรวจจะให้ความสำคัญกับคำให้การของใคร ระหว่าง น้องมิ้นท์ กับ ฆาตกรโหด ???
********
คำขอขมารูปศพของน้องโช
นายสิริพงศ์ กาญจนนิวิฐ ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าหั่นศพ ด.ช.โช อาคิโน และฆ่า นางสุนันท์ ศรีสุวรรณ มารดา แม้วันนี้เขาจะสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไป แต่จากคำพูดของเขายังไม่มีใครเชื่อว่าเขาพูดจริง
“ผมอยากขอขมาในสิ่งที่ผมทำกับน้องโช เพราะน้องเขาต้องมาตกเป็นเหยื่อของโทสะของผู้ใหญ่สองคนที่ทะเลาะกัน น้องเขาหลับอยู่ แต่ต้องมาโดนลูกหลงจนตาย ความจริงเขาเป็นเด็กฉลาด สอนง่าย แต่ผมมาทำลายอนาคตของเขา ก็รู้สึกเสียใจ หากชาติหน้ามีจริงผมขอให้เขาเกิดมาเป็นลูกผม เพราะผมเลี้ยงลูกได้ดี ผมยอมรับว่าการไปชำแหละศพน้องเขามันไม่ถูก แต่ต้องทำเพราะไม่ให้ชิ้นใหญ่เกินไป” นายศิริพงษ์กล่าว และว่า “แต่กับคุณสุนันท์ นั้น ผมไม่ขอขมา และไม่สามารถอภัยให้เธอได้ เธอต้องรับกรรมของเธอที่ควรจะได้ ผมก็ต้องรับกรรมของผม ซึ่งก็สมควรแล้ว เพราะหากเธออยู่ต่อไป เธอก็อาจจะทำร้ายคนอื่นอีก”
ขอขมาน้องโช
จากนั้น นายสิริพงศ์ ถือ ดอกไม้ธูปเทียน ไหว้ขอขมาต่อหน้ารูปศพของน้องโช พร้อมกล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า “ข้าพเจ้านายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ ได้ทำผิดต่อน้องโช วันนี้จึงได้มาขอขมาต่อหน้าภาพถ่ายตัวแทนน้องโชที่ล่วงลับไปแล้ว น้องโชเป็นเด็กดี เป็นเด็กฉลาด เป็นเด็กน่ารัก น้องโชมีอนาคตที่ดี แต่ต้องมาจบชีวิตเพราะน้ำมือผม ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้น้องโชให้อภัยกับลุงใหญ่ และกลับมาเกิดเป็นลูกของลุงใหญ่ เพื่อที่ลุงใหญ่จะได้ตอบแทนน้องโช เหมือนกับที่ลุงใหญ่ได้ดูแลลูกของลุงใหญ่เองในชาตินี้ ที่ลุงใหญ่ได้ดูแลเป็นอย่างดี หวังว่าวิญญาณน้องโชคงไปสู่สุขคติ ลุงใหญ่ขอโทษ และขออสิกรรมให้กับน้องโช”
นายศิริพงษ์ กล่าวด้วยว่า ตนรู้สึกผิดกับน้องโชที่ต้องมาโดนลูกหลงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ทำไปเพราะความโกรธแค้น และโดนกดดันมาโดยตลอด ถ้าไม่ทำก็อาจจะถูกเก็บ เมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ก็ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.บางบัวทอง เรื่องที่ตนโดนข่มขู่มาโดยตลอด ตนยืนยันว่าลงมือทำเพียงคนเดียว ไม่ใช่คำสั่งของแก๊งยากูซ่าเหมือนตกที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ส่วนรอยสักนั้น ตนไปสักมาจากสนามหลวง ส่วนเรื่องชิงทรัพย์ก็ยืนยันว่าไม่ใช่
นายศิริพงษ์ ร่ำไห้กอดนางสุพานีย์ ผู้เป็นแม่เมื่อพบหน้ากัน