พ่อแม่โจ๋เมืองนนทบุรี ร้องเรียนสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมฯ เหตุตำรวจเตะถ่วงไม่สอบพยานคดีลูกชายขี่ จยย.ถูกจี๊ปเชอโรกีเฉี่ยวชนตาย แถมสุดท้ายคดีพลิกเหยื่อกลายเป็นคนผิดแต่เสียชีวิตจึงสั่งไม่ฟ้อง
วันนี้ (22 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. นายนิยม ทองแพ อายุ 42 ปี และนางกฤษณา ทองแพ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14/42 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี เดินทางเข้าร้องเรียนกับนายไพโรจน์ เทศนิยม นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย กรณีบุตรชาย คือนายณฐพล ทองแพ อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ปวช.ปีที่ 3 โรงเรียนไทยวิจิตรศิลป์ ถูกรถยนต์ยี่ห้อจี๊ปเชอโรกีเฉี่ยวชนจนเสียชีวิต แต่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี และยังตกเป็นผู้ต้องหาในคดี โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 29 พ.ย.51 ที่ผ่านมา
นายนิยมกล่าวว่า ในวันเกิดเหตุลูกชายออกไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเพื่อนชื่อนายธีรชน เหลี่ยมเย็นใจ ที่ร้านอาหารแม่น้ำหมูกระทะ ริมถนนนครอินทร์ โดยขณะลูกชายกับเพื่อนขี่จักรยานยนต์มาถึงบริเวณหน้าร้านอาหารถึงพริกถึงขิง ก็มีรถยนต์จอดอยู่ริมถนนด้านซ้ายเป็นจำนวนมากทำให้เหลือช่องทางเดินรถช่องทางเดียว ขณะนั้นมีรถจี๊ปเชอโรกี สีขาว ทราบทะเบียนภายหลังคือ ฌช 9417 กรุงเทพมหานคร วิ่งอยู่หน้ารถของเพื่อนลูกชาย ซึ่งลูกชายก็ขี่รถจักรยานยนต์ตามมากับเพื่อน จากนั้นได้เร่งเครื่องแซงขึ้นไปทางด้านซ้ายเพื่อจะนำหน้าไป แต่จู่ๆ รถจี๊ปก็ขับเบียดมาทางซ้ายอย่างกะทันหันจนเฉี่ยวรถของลูกชายเสียหลักไปชนกับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านซ้ายอย่างแรงจนลูกชายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 30 พ.ย.51 เนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
“หลังจากเกิดเหตุ พ.ต.ท.ไพศาล พึ่งรุ่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ที่รับผิดชอบคดี ในขณะนั้นก็เรียกไปสอบปากคำ และแจ้งว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์ คือนายดำ ซึ่งเป็นเด็กรับรถของร้านถึงพริกถึงขิง และเพื่อนของลูกชาย แต่ก็ไม่มีการเรียกมาสอบปากคำ อีกทั้งเวลาผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่มีความคืบหน้า ผมจึงไปร้องทุกข์ที่ บก.ปปป.ให้ดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ไพศาล ในความผิดที่เป็นเจ้าหนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนมีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนคนใหม่ และแจ้งว่าจะเชิญประจักษ์พยานมาสอบปากคำ แต่ก็ไม่รู้ว่าเรียกมาสอบจริงหรือไม่ เพราะผมได้ไปขอดูเอกสาร เช่น ภาพบาดแผล และรายละเอียดเกี่ยวกับที่เกิดเหตุแต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ให้ดู บอกว่าต้องรอส่งพนักงานอัยการก่อน” นายนิยมกล่าว
นายนิยมกล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 52 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนได้แจ้งกับตนว่าได้สรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว โดยในสำนวนระบุว่าลูกชายเป็นฝ่ายประมาทและตกเป็นผู้ต้องหา แต่ผู้ตายเสียชีวิตแล้วจึงสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าลูกชายเป็นฝ่ายผิด เพราะพนักงานสอบสวนไม่เคยแจ้งหรือติดต่อกับตนเลย ตนเกรงว่าอาจจะไม่รับความเป็นธรรม เพราะคู่กรณีอาจจะวิ่งเต้นกับตำรวจทำให้ลูกตนเป็นฝ่ายผิด ในวันนี้จึงมาร้องขอความเป็นธรรมให้กับลูกชายของตน
ด้าน นายไพโรจน์กล่าวว่า หลังจากนี้จะมอบให้นายเกรียงไกร นาควะรี ทนายความของทางสมาคมฯ เป็นผู้ดูแลเรื่องดังกล่าว และจะพาพ่อแม่ของผู้ตายไปร้องทุกข์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันพรุ่งนี้ (23 พ.ย.) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
นายเกรียงไกรเปิดเผยว่า สำหรับคดีที่เกิดขึ้นตนเห็นว่ามีข้อพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่พนักงานสอบสวนคนแรก ที่ไม่ได้เรียกประจักษ์พยานไปสอบปากคำ เหตุเกิดตั้งแต่เดือน พ.ย.ปี 51 แต่เพื่อนของผู้ตายเพิ่งจะได้เข้าให้ปากคำเมื่อเดือน พ.ค.52 อีกทั้งเด็กรับรถของร้านถึงพริกถึงขิงก็ไม่มีการเชิญมาสอบปากคำ และไม่ให้พ่อแม่เด็กดูรายละเอียดต่างๆ ในสำนวนเลย จนกระทั่งมาแจ้งว่าผู้ตายเป็นฝ่ายผิดและสั่งไม่ฟ้อง หลังจากนี้จะต้องดูว่าสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง ซึ่งหลังจากที่นำเอกสารหลักฐานทั้งหมดไปร้องทุกข์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วจะเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองนนทบุรี ให้ดำเนินคดีต่อคนขับรถจี๊ปในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย