“โฆษกมาร์ค” ไม่วิตกเสื้อแดงขึ้นแบล็กลิสต์ ชี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ เรียกร้องคนกทม.ออกมาต่อต้านการใช้ความรุนแรงอย่างสันติ วอนเถรสมาคมดูแลพระสงฆ์ อย่าให้เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง จี้ “อภิวันท์” ลาออกก่อนโดนล่าชื่อถอดถอน หากจะมารับตำแหน่งเป็นนายกฯ ตามบัญชานายใหญ่ สงสาร “เหลิม” อกหักซ้ำซาก ตกต่ำจนต้องไปซุกปีก “กลุ่มแม่นาค” “โฆษก ปชป.” เผย 5 สัญญาณแดงชุมนุมส่อเกิดความรุนแรง จ้องทำลายความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมไทยในสายตาชาวโลก “
วันนี้ (5 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงขึ้นแบล็กลิสต์ตนเป็น 1 ใน 53 คน ว่า จริงๆ แล้วตนและคนเสื้อแดงไม่ได้มีอะไรกัน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนฝูง ต่างคนต่างมีจุดยืน ทำหน้าที่ของตัวเอง เราต้องเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน ส่วนการที่จะให้สถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงบางแห่งเอารายชื่อ 53 คนประกาศปลุกระดมให้คนเสื้อแดงตามล่า หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อพบเห็น ซึ่งตนคิดว่าอาจจะทำให้ 53 คนที่เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง หรือคนรอบข้าง และคนในครอบครัวอาจได้รับความเดือดร้อนได้ ดังนั้น ตนอยากเรียกร้องว่าถ้าหากไม่พอใจ และพวกตนทำอะไรไปที่ละเมิดคนเสื้อแดง ก็ขอให้ใช้กฎหมายมาฟ้องร้อง ไม่ควรใช้อำนาจมืด หรือการกระทำที่นอกกติกา กฎหมายบ้านเมือง ทั้งนี้ ตนไม่กลัว แต่ก็ไม่ประมาท และคิดว่าทุกฝ่ายก็ต้องเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน
นายเทพไท กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม นปช.และเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 12-14 มี.ค.นี้ ว่า การชุมนุมจะมีคนเข้าร่วมมากหรือน้อยไม่สำคัญ แต่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน คือ คน กทม.เจ้าของพื้นที่ จึงอยากเรียกร้องให้คน กทม. แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยอย่างสันติ และเคารพสิทธิของผู้อื่นอย่างน้อย ก็เพื่อให้คนเสื้อแดงได้เกิดความยับยั้ง ชั่งใจในการจะเกิดเหตุหรือสร้างสถานการณ์ใดๆ ขึ้น เพราะจะเห็นว่าตลอดสัปดาห์นี้ ไปจนถึงวันที่ 12 มี.ค.มีการกระจายแกนนำออกไปปลุกระดมในต่างจังหวัดเพื่อโหมโรง ไม่เว้นแต่การปลุกระดมพระสงฆ์ ที่ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.ระบุว่า จะมีพระมาร่วมม็อบด้วยถึง 20,000 รูป ในฐานะที่ตนเป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง ไม่อยากเห็นพระสงฆ์มาร่วมกิจกรรมทางการเมือง เพราะไม่เหมาะสม จึงขอให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ในกรรมการเถรสมาคม เข้าไปดูแลและให้ข้อมูลข้อเท็จจริง จะถูกญาติโยมและสังคมโลกที่เห็นภาพผ่านสื่อติเตียน นินทาว่าเป็นโลกะวัชชะ
โฆษกประจำหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ตนขอเรียกร้องให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งมีหน้าที่สถานีโทรทัศน์และวิทยุ เข้ามากวดขันและเข้มงวดการใช้สื่อทีวีและวิทยุในเครือข่ายคนเสื้อแดง ที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการปลุกระดมและบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจผิด และตกเป็นเหยื่อ และสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความแตกแยกปลุกระดมมวลชน เพื่อก่อให้เกิดสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ที่ล่าสุดพรรคเพื่อไทยได้มีการเปิดเผยรายชื่อของว่าที่นายกรัฐมนตรีตัวสำรอง ที่จะถูกบรรจุอยู่ในญัตติการอภิปรายว่ามี 4 คนคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายวิทยา บุรณศิริ ประธานคณะกรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะบรรจุชื่อใครเป็นนายกฯ สมมุติ ที่ต้องให้นายใหญ่ที่ดูไบชี้ขาด ซึ่งการได้มาแตกต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเป็นมติของส.ส.และกรรมการบริหารพรรค
โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวเห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ พ.อ.อภิวันท์ เพราะเป็นแกนนำที่มีส่วนสำคัญ และที่ผ่านมาก็ทำตัวเป็นอีแอบอยู่หลังม่านหลายครั้ง ผิดมารยาทของผู้นำหน้าที่รองประธานสภา หากเทียบกับ นายสามารถ แก้วมีชัย รองประธานสภา คนที่ 1 เช่น เป็นผู้จัดการในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ การไปเจรจากับ ร.ต.อ.เฉลิม หรือการนั่งเป็นที่ปรึกษาของแกนนำ นปช.และกระโดดขึ้นเวทีไปปราศรัยล้มรัฐบาล ขณะที่ปากอ้างว่าการทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภา จะสามารถช่วยให้ชาติบ้านเมืองได้มากกว่าการทำงานรับใช้พรรค ก็เป็นการพูดแก้เกี้ยวมากกว่า เพราะพฤติกรรมมันแสดงออก ดังนั้น การที่ทำตัวเป็นหัวโจก เพื่อให้เข้าตานายใหญ่ที่จะเลือกมาเป็นนายกฯ สมมติ ตนขอเรียกร้องให้ตัดใจลาออกจากรองประธานสภา เพื่อไม่ให้ ส.ส.ได้เข้าชื่อขับไล่ออกจากตำแหน่งจะดีกว่า
นายเทพไท กล่าวต่อว่า กรณีที่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ออกมาระบุว่า ที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะกลับมาช่วยเป็นสิ่งที่ดี จะได้มาช่วยงานใน กทม.ส่วนตัวเห็นว่าคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม ไม่น่าจะตกต่ำมาเป็นลูกทีมของนายวิชาญ แต่เมื่อเลือกไม่ได้ก็จำเป็นต้องมาซุกปีกของกลุ่มแม่นาค เพราะจะออกไปทำพรรคมวลชน สุดท้ายก็เป็นพรรคต่ำสิบมาโดยตลอด ตนจึงขอเอาใจช่วย ร.ต.อ.เฉลิม ให้ได้เป็นผู้นำในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้โอกาสจะน้อย จึงน่าเห็นใจ ร.ต.อ.เฉลิม ที่ต้องอกหักซ้ำซาก ที่ไม่มีที่ไป จำเป็นต้องมาอยู่พรรคนี้
ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานปฏิบัติการเพื่อติดตามสถานการณ์ทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือถึงสถานการณ์การเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่ม นปช.ว่า วอร์รูมเห็นด้วยและสนับสนุนท่าทีของพรรคที่ไม่ปิดกั้นการใช้สิทธิการชุมนุมของประชาชนที่จะชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ โดยไม่ก่อความวุ่นวายหรือทำผิดกฎหมาย เช่น ก่อการจลาจลขึ้น แต่หากการชุมนุมนั้นสร้างความเดือดร้อนให้กับคนในสังคมโดยรวมก็ขอให้สังคมไทยร่วมตรวจสอบว่าเป็นการทำเพื่อใคร หวังผลประโยชน์สิ่งใดและเหมาะสมอย่างไรหรือไม่
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้จะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ สถาบันต่างๆ และประชาชน เพราะมีการเปิดเผยยุทธวิธี 5 สัญญาณที่ส่อว่าจะเกิดความรุนแรง คือ 1.การปลุกระดมผ่านเครือข่ายสื่อของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องพีเพิลชาแนล เว็บไซต์ใต้ดินที่จาบจ้วงสถาบันสื่อ โดยหวังผลปลุกระดมด้านจิตวิทยา บิดเบือนข้อเท็จจริงให้ประชาชนลุกขึ้นสู้โค่นล้มรัฐบาล 2.แนวร่วมความมั่นคง ซึ่งเป็นเครือข่ายของกลุ่มที่มีการฝึกใช้อาวุธ 3.กลุ่มแดงสยามที่บิดเบือนข้อมูลหวังเปลี่ยนแปลงโค่นล้มรัฐบาล เพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ 4.การเปิดโรงเรียน นปช.โดยมีการฝึกการก่อวินาศกรรมจัดทำระเบิดเพลิง เตรียมขวดน้ำมัน ถังแก๊ส ผ้าขี้ริ้ว และ 5.การให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลังจากเกิดเหตุระเบิดหน้าธนาคารกรุงเทพ ว่า บอกไม่ได้ เป็นความลับว่าจะมีการนองเลือดเกิดขึ้นหรือไม่ในการชุมนุม ซึ่งความลับนั้นหมายถึงอะไรขอให้ชี้แจงต่อสังคมให้กระจ่าง
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า การเปิดแนวร่วมของกลุ่มเสื้อแดงเป็นคู่ขนาน คือ 1.แนวร่วม ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยดึงมวลชนในพื้นที่เขตเลือกตั้งของ ส.ส.แต่ละคน เพื่อสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย และจะนำรถเข้ามาปิดกั้นการจราจรใน กทม.ซึ่งอาจจะนำไปสู่การปะทะกันของประชาชน 2.แนวร่วมแดงสยาม ที่โหมพาดพิงจาบจ้วงสถาบัน เพื่อหวังให้มีการปฏิวัติ โค่นล้มรัฐบาล สถาปนารัฐไทยใหม่ และ 3.แนวร่วมแดงก่อเหตุ เพื่อสร้างสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดในการชุมนุมใหญ่ เพราะมีการฝึกการใช้อาวุธ และการ์ด นปช.ในชื่อกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะสร้างความรุนแรงและหวังก่อวินาศกรรมทั้งที่เปิดเผยและใต้ดิน