ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม กลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ได้หารือต่อที่ประชุมถึงสถานการณ์ความรุนแรงในขณะนี้ว่า ขอฝากไปถึงรัฐบาล ถึงเหตุการณ์ยิง เอ็ม 79 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงวันตรุษจีน และมีการวางระเบิดซีโฟร์ ที่ศาลฎีกาในวันเดียวกันด้วย เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดความรุนแรงมากขึ้นกว่านี้ในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ไป เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะชะล่าใจไม่ได้ อยู่เฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้ " เอ็ม 79 มุ่งหมายที่ทำเนียบรัฐบาล มีอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฏีกาคนหนึ่ง ขึ้นเวทีเสื้อแดง โดยกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้คำว่าเห็นผู้นำรัฐบาล ฆ่ามันเลย ได้ไม้เอาไม้ ได้มีดเอามีด ได้เหล็กเอาเหล็ก ได้ปืนเอาปืน ได้ระเบิดเอาระเบิด ไม่ผิด อาจารย์ใหญ่เป็นผู้พิพากษาศาลฏีกาศึกษามาแล้วทุกแง่มุม ไม่ผิด นี่คือตัวชี้ว่าเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแน่ จึงฝากไปถึงรัฐบาลว่ามีมาตรการอย่างไรบ้างที่ทำให้เกิดความมั่นใจต่อสังคมว่า สถานที่ราชการ หรือบุคคลเป้าหมายจะเกิดความปลอดภัย และจะมีการใช้สื่อเชิงรุกในการตอบโต้สิ่งที่ถูกกล่าวหา" นายประสารกล่าว
** ระวังเสื้อแดงยึดรัฐสภา
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า มีการวิเคราะห์ และการเผยแพร่ข่าวของบุคคลที่เตรียมการชุมนุมว่าในเดือนนี้ จะมีการชุมนุมกระจายในกรุงเทพฯ 4-5 จุด หรืออาจมากถึง 7 จุด ในต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 8 จุด โดยจุดที่เป็นเป้าหมายจุดหนึ่งคือ บริเวณรัฐสภา โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในบรรดาสถานที่อันตราย รัฐสภาเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดน้อยที่สุดกว่าสถานที่อื่นๆ
ทั้งนี้ นอกเหนือจากสถานการณ์การชุมนุมที่น่าเป็นห่วง สถานการณ์ที่เป็นการเติมเชื้อให้การชุมนุม เป็นต้นว่า การเผาสถานที่สำคัญ การยิงระเบิด การวางระเบิด ฯลฯ ตนจึงขอหารือ เพื่อฝากไปยังประธานรัฐสภา ให้กำชับการรักษาความปลอดภัย รัฐสภาควรมีการเตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์ วุฒิสภาอาจมีการประชุมในวันที่ 26 ก.พ. รวมถึงวันที่ 1-3 มี.ค. จึงเห็นว่า ควรมีการกำชับการรักษาความปลอดภัยโดยเร่งด่วน
ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยรัฐสภา เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรัฐสภาทำงานไม่ได้ จะทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทำงานไม่ได้ เชื่อว่าจะมีการใช้กำลังประมาณ 1 หมื่นคน ในการยึดรัฐสภา ประธานจึงควรหารือประธานรัฐสภา ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยจะทำอย่างไร หากรัฐสภาถูกยึดโดยประชาชนเข้ามาในสภาเอกสารการประชุมจะดูแลอย่างไร ตนแปลกใจที่เมื่อมีเหตุการณ์ ยิงเอ็ม 79 มีการวางระเบิดซีโฟร์ 3 ปอนด์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้ก่อเหตุต้องการก่อเหตุแน่นอน
ดังนั้น รัฐบาลควรต้องใช้การข่าวตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งการโอนเงินจากบ่อนที่ปอยเปต โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากสัมปทานโรงไฟฟ้าที่ เกาะกง รัฐบาลจึงควรไปตรวจสอบ
ทั้งนี้แกนนำโดยเฉพาะนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่ปลุกปั่นให้ผู้ชุมนุมนำน้ำมันล้านขวดเข้ามาในกรุงเทพฯ และให้ติดตามที่อยู่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา ตนไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้ ทำไม่จึงมีการถอนประกันตัว ตนเข้าใจว่าทางตำรวจพัทยา ได้ดำเนินการแล้ว แต่ไปติดขึ้นตอนของอัยการ
"เรื่องนี้ต้องควบคุมความรุนแรงก่อน โดยการถอนประกัน กรณีของ พล.ต.ชัตติยะ สวัสดิผล ที่เป็นผู้ปลุกปั่น และทำให้เกิดความรุนแรงทุกครั้ง จากการติดตามทราบว่า คดีของพล.ต.ขัตติยะ ยังไม่ถึงศาลทหาร คำสั่งพักราชการพลตรีขัตติยะ รมว.กลาโหม ก็ไม่ยอมลงนามคำสั่งถึงสองครั้ง ล่าสุดเพิ่งจะลงนาม ทำไม่เรื่องเหล่านี้ยังช้าอยู่ ยังไม่ไปถึงศาลทหาร จึงขอฝากให้ประธานติดตามเรื่องนี้ด้วย" นายสมชายกล่าว
ด้าน พล.อ.อ.วีระวิทย์ คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า รัฐบาลสามารถควบคุมกระบวนการที่จะนำวัตถุระเบิดเข้ามาในกรุงเทพฯได้ตลอดเวลา โดยรัฐบาลควรตรวจสอบและเข้มงวดการตรวจอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธสงครามเข้ามาในกรุงเทพฯ รัฐบาลต้องเอาจริงกับการควบคุมอาวุธสงคราม โดยดูแลหน่วยทหารอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการนำอาวุธสงครามเข้ามาในกรุงเทพฯ และหากไม่จำเป็นไม่ควรมีการฝึกในช่วงนี้ ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลไม่เข้มงวดในการควบคุมอาวุธสงคราม หากเกิดเหตุการณ์การขึ้นจะเกิดความเสียหายมาก
**จี้จัดการ เสธ.แดง ข่มขู่ คุกคาม
ต่อมาในวาระพิจารณากระทู้ถามด่วน เรื่อง การดำเนินการกับนายทหารที่มีพฤติกรรมกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ ของนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ถามต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม
ทั้งนี้ นายประสารได้นำซีดีความยาว 2.15 นาที ซึ่งเป็นภาพ และเสียงในการให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกในโอกาสต่างๆ เกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และการโต้ตอบที่ผบ.ทบ. จะสั่งพักราชการ รวมถึงการออกมาเตือนว่าป.ป.ช. คตส. และศาลฎีกา ที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ อาจได้รับอันตราย มาเปิดในที่ประชุมด้วย
นายประสาร กล่าวว่า หลายกรณี ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกรายนี้ ออกมาพูดข่มขู่ กรรโชกรายวัน ซึ่งอาจผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แถมยังออกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่มีการลงโทษแล้ว ทำให้เหมือนรัฐบาลไม่มีอำนาจการบริหารอย่างแท้จริง เพราะบุคคลนี้สร้างความเสื่อมเสียให้กองทัพ และทหารอย่างต่อเนื่อง จะใช้มาตรการทางกฎหมาย และทางวินัยอย่างไร ในการดำเนินการอย่างจริงจัง รวมถึงยับยั้งไม่ให้บุคคลนี้ออกมาให้ข่าวหรือทำการใดๆซึ่งกระทบต่อความมั่นคง และมีการเรียก พล.ต. ขัตติยะ มาสอบถามหรือไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำร้ายฝ่ายกระบวนการยุติธรรม
พล.อ. ประวิตร ชี้แจงว่า ทหารทุกนายที่อยู่ในกองทัพ จะต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนกฎ ธรรมเนียมทหาร กรณีของพล.ต.ขัตติยะ กองทัพบกได้ดำเนินการตามขั้นตอน และตามระเบียบได้แก่ พ.ร.บ.วินัยทหาร 2476 ประมวลกฎหมายอาญาทหารประกอบประมวลธรรมนูญศาลทหาร 2498 ซึ่งกองทัพบกได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการฝึกทำการต่อสู้ ให้กับบุคคลชุดดำ ที่สนามหลวง รวมถึงการให้ข่าวต่างๆ สรุปออกมาว่า การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดทางวินัยและอาญา ซึ่งทางวินัย กองทัพบกมีคำสั่งว่ากล่าว ตักเตือน และไม่ให้ใช้กริยาวาจาที่ส่งผลลบต่อกองทัพ ผู้บังคับบัญชา 2 ปี โดย ผบ.ทบ. ลงนามแล้ว ส่วนความผิดทางอาญา อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพฯ
**ยันเดินหน้าฟันอาญา เสธ.แดง
ส่วนที่พล.ต.ขัตติยะ ไปกัมพูชา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. กรรมการสอบสวนแล้วมีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ได้เดินทางไปจริง และไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ซึ่งขัดต่อข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการลา มีความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญาทหาร และมีความผิดฐานปฏิบัติไม่สมควร กองทัพบกได้ตั้งกรรมการขึ้นมาดำเนินการทางอาญาอย่างจริงจังแล้ว รวมถึงกรณีที่พูดถึงทหารค่ายปักธงชัย จะออกมาเคลื่อนพร้อมคนเสื้อแดง กองทัพตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว พบว่ามีการออกมาให้สัมภาษณ์จริง ถือว่าขัดคำสั่งที่มีการสั่งการไปแล้ว มีความผิดฐานขัดขืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มีความผิดทางวินัยทหาร ไม่รักษามารยาทโดยใช้กริยา วาจาไม่สมควร ซึ่งกองทัพบกตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามธรรมนูญทางทหารแล้ว และมีการเริ่มดำเนินการเอาผิดทางวินัยร้ายแรงแล้ว และสั่งพักราชการเพื่อสอบสวนแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย และเปิดให้ชี้แจงเพื่อความเป็นธรรม แต่ พล.ต.ขัตติยะ ก็บ่ายเบี่ยง ไม่มาพบ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนการให้ข่าวการลอบสังหารบุคคลสำคัญ จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของ พล.ต.ขัตติยะ กองทัพได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และพล.ต.ขัตติยะ ต้องรับผิดชอบต่อสังคม จึงกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะสอบสวนวันที่ 19 ก.พ. หากมีข้อมูลเชื่อมโยงถึงกลุ่มใด ก็จะดำเนินการไปตามกฎหมาย ยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมจะติดตามประเมินสถานการณ์ทางการเมือง และประสานกับหน่วยความมั่นคงเพื่อดูแลความมั่นคงอย่างใกล้ชิด
**เสื้อแดงส่งสัญญาณก่อการร้าย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอประณามการก่อวินาศกรรมในวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่าน ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มใด ถือว่าเป็นการยกระดับการก่อความวุ่นวายขึ้นสู่การเตรียมก่อการร้ายเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชน สอดรับกับที่ก่อนหน้านี้ได้มีการกล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ยอมเจราจา ก็จะเกิดความรุนแรงตามมา
พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่า พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม เพื่อคุกคามการทำงานของสถาบันตุลาการ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น และสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลความปลอดภัยของบุคคล และสถานที่ที่เป็นเป้าหมาย ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้
**ชี้เสธ.แดงรับพัวพันบึ้มพันธมิตรฯ
ส่วนกรณี พล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล ได้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าหากเป็นตนเอง จะแจ้งล่วงหน้า การให้ข่าวดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมรับว่ามีส่วนรู้เห็นในการยิงระเบิด M 79 ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในปี51-52 ที่ได้เตือนกลุ่มพันธมิตรฯว่าจะมีระเบิด แล้วก็มีเหตุการณ์ระเบิดจริงๆ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทางพรรคมองว่า ครบองค์ประกอบในการดำเนินการตามกฎหมาย
ประกอบกับการให้สัมภาษณ์ ที่ยืนยันว่า กองกำลังที่ได้มีการฝึกตามข้อมูลที่พรรคได้นำมาเปิดเผยนั้น มีขีดความสามารถที่จะก่อเหตุวินาศกรรมได้ และพล.ต.ขัตติยะ ก็ระบุถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อองค์ผู้พิพากษา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุระเบิดใส่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ( นายจรัล ภักดีธนากุล) ประธานศาลปกครองสูงสุด (นายอักขราทร จุฬารัตน ) และกรรมการป.ป.ช. ( นายวิชา มหาคุณ) มาก่อนในช่วงปีที่ผ่าน
"สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือว่าเป็นการเตรียมการส่งสัญญาณที่จะก่อความรุนแรงประกอบกับการออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนปช. ว่าการดำเนินการในส่วนของเสธ. แดง กับพล.อ.พัลลภ ที่กล่าวว่าจะมีการใช้กำลัง และเคลื่อนไปสู่การดำเนินการใต้ดินนั้น ส่วนตัวไม่มีความรับผิดชอบ พร้อมกันนี้ เสธ.แดง ก็บอกด้วยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการ์ด หรือนักรบที่มีการฝึกออกมา ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ถือว่าเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน และรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจในการดำเนินการโดยด่วน" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
** ระวังเสื้อแดงยึดรัฐสภา
ขณะที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า มีการวิเคราะห์ และการเผยแพร่ข่าวของบุคคลที่เตรียมการชุมนุมว่าในเดือนนี้ จะมีการชุมนุมกระจายในกรุงเทพฯ 4-5 จุด หรืออาจมากถึง 7 จุด ในต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 8 จุด โดยจุดที่เป็นเป้าหมายจุดหนึ่งคือ บริเวณรัฐสภา โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในบรรดาสถานที่อันตราย รัฐสภาเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดน้อยที่สุดกว่าสถานที่อื่นๆ
ทั้งนี้ นอกเหนือจากสถานการณ์การชุมนุมที่น่าเป็นห่วง สถานการณ์ที่เป็นการเติมเชื้อให้การชุมนุม เป็นต้นว่า การเผาสถานที่สำคัญ การยิงระเบิด การวางระเบิด ฯลฯ ตนจึงขอหารือ เพื่อฝากไปยังประธานรัฐสภา ให้กำชับการรักษาความปลอดภัย รัฐสภาควรมีการเตรียมแผนรับมือหากเกิดเหตุการณ์ วุฒิสภาอาจมีการประชุมในวันที่ 26 ก.พ. รวมถึงวันที่ 1-3 มี.ค. จึงเห็นว่า ควรมีการกำชับการรักษาความปลอดภัยโดยเร่งด่วน
ด้านนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยรัฐสภา เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากรัฐสภาทำงานไม่ได้ จะทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทำงานไม่ได้ เชื่อว่าจะมีการใช้กำลังประมาณ 1 หมื่นคน ในการยึดรัฐสภา ประธานจึงควรหารือประธานรัฐสภา ว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยจะทำอย่างไร หากรัฐสภาถูกยึดโดยประชาชนเข้ามาในสภาเอกสารการประชุมจะดูแลอย่างไร ตนแปลกใจที่เมื่อมีเหตุการณ์ ยิงเอ็ม 79 มีการวางระเบิดซีโฟร์ 3 ปอนด์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้ก่อเหตุต้องการก่อเหตุแน่นอน
ดังนั้น รัฐบาลควรต้องใช้การข่าวตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งการโอนเงินจากบ่อนที่ปอยเปต โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากสัมปทานโรงไฟฟ้าที่ เกาะกง รัฐบาลจึงควรไปตรวจสอบ
ทั้งนี้แกนนำโดยเฉพาะนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่ปลุกปั่นให้ผู้ชุมนุมนำน้ำมันล้านขวดเข้ามาในกรุงเทพฯ และให้ติดตามที่อยู่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา ตนไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์เหล่านี้ ทำไม่จึงมีการถอนประกันตัว ตนเข้าใจว่าทางตำรวจพัทยา ได้ดำเนินการแล้ว แต่ไปติดขึ้นตอนของอัยการ
"เรื่องนี้ต้องควบคุมความรุนแรงก่อน โดยการถอนประกัน กรณีของ พล.ต.ชัตติยะ สวัสดิผล ที่เป็นผู้ปลุกปั่น และทำให้เกิดความรุนแรงทุกครั้ง จากการติดตามทราบว่า คดีของพล.ต.ขัตติยะ ยังไม่ถึงศาลทหาร คำสั่งพักราชการพลตรีขัตติยะ รมว.กลาโหม ก็ไม่ยอมลงนามคำสั่งถึงสองครั้ง ล่าสุดเพิ่งจะลงนาม ทำไม่เรื่องเหล่านี้ยังช้าอยู่ ยังไม่ไปถึงศาลทหาร จึงขอฝากให้ประธานติดตามเรื่องนี้ด้วย" นายสมชายกล่าว
ด้าน พล.อ.อ.วีระวิทย์ คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า รัฐบาลสามารถควบคุมกระบวนการที่จะนำวัตถุระเบิดเข้ามาในกรุงเทพฯได้ตลอดเวลา โดยรัฐบาลควรตรวจสอบและเข้มงวดการตรวจอาวุธ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำอาวุธสงครามเข้ามาในกรุงเทพฯ รัฐบาลต้องเอาจริงกับการควบคุมอาวุธสงคราม โดยดูแลหน่วยทหารอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีการนำอาวุธสงครามเข้ามาในกรุงเทพฯ และหากไม่จำเป็นไม่ควรมีการฝึกในช่วงนี้ ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลไม่เข้มงวดในการควบคุมอาวุธสงคราม หากเกิดเหตุการณ์การขึ้นจะเกิดความเสียหายมาก
**จี้จัดการ เสธ.แดง ข่มขู่ คุกคาม
ต่อมาในวาระพิจารณากระทู้ถามด่วน เรื่อง การดำเนินการกับนายทหารที่มีพฤติกรรมกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ ของนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ถามต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม
ทั้งนี้ นายประสารได้นำซีดีความยาว 2.15 นาที ซึ่งเป็นภาพ และเสียงในการให้สัมภาษณ์ของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกในโอกาสต่างๆ เกี่ยวกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง และการโต้ตอบที่ผบ.ทบ. จะสั่งพักราชการ รวมถึงการออกมาเตือนว่าป.ป.ช. คตส. และศาลฎีกา ที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ อาจได้รับอันตราย มาเปิดในที่ประชุมด้วย
นายประสาร กล่าวว่า หลายกรณี ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกรายนี้ ออกมาพูดข่มขู่ กรรโชกรายวัน ซึ่งอาจผิดตามประมวลกฎหมายอาญา แถมยังออกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งที่มีการลงโทษแล้ว ทำให้เหมือนรัฐบาลไม่มีอำนาจการบริหารอย่างแท้จริง เพราะบุคคลนี้สร้างความเสื่อมเสียให้กองทัพ และทหารอย่างต่อเนื่อง จะใช้มาตรการทางกฎหมาย และทางวินัยอย่างไร ในการดำเนินการอย่างจริงจัง รวมถึงยับยั้งไม่ให้บุคคลนี้ออกมาให้ข่าวหรือทำการใดๆซึ่งกระทบต่อความมั่นคง และมีการเรียก พล.ต. ขัตติยะ มาสอบถามหรือไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำร้ายฝ่ายกระบวนการยุติธรรม
พล.อ. ประวิตร ชี้แจงว่า ทหารทุกนายที่อยู่ในกองทัพ จะต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนกฎ ธรรมเนียมทหาร กรณีของพล.ต.ขัตติยะ กองทัพบกได้ดำเนินการตามขั้นตอน และตามระเบียบได้แก่ พ.ร.บ.วินัยทหาร 2476 ประมวลกฎหมายอาญาทหารประกอบประมวลธรรมนูญศาลทหาร 2498 ซึ่งกองทัพบกได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการฝึกทำการต่อสู้ ให้กับบุคคลชุดดำ ที่สนามหลวง รวมถึงการให้ข่าวต่างๆ สรุปออกมาว่า การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดทางวินัยและอาญา ซึ่งทางวินัย กองทัพบกมีคำสั่งว่ากล่าว ตักเตือน และไม่ให้ใช้กริยาวาจาที่ส่งผลลบต่อกองทัพ ผู้บังคับบัญชา 2 ปี โดย ผบ.ทบ. ลงนามแล้ว ส่วนความผิดทางอาญา อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลทหารกรุงเทพฯ
**ยันเดินหน้าฟันอาญา เสธ.แดง
ส่วนที่พล.ต.ขัตติยะ ไปกัมพูชา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. กรรมการสอบสวนแล้วมีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ได้เดินทางไปจริง และไม่ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา ซึ่งขัดต่อข้อบังคับของกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการลา มีความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญาทหาร และมีความผิดฐานปฏิบัติไม่สมควร กองทัพบกได้ตั้งกรรมการขึ้นมาดำเนินการทางอาญาอย่างจริงจังแล้ว รวมถึงกรณีที่พูดถึงทหารค่ายปักธงชัย จะออกมาเคลื่อนพร้อมคนเสื้อแดง กองทัพตั้งกรรมการสอบสวนแล้ว พบว่ามีการออกมาให้สัมภาษณ์จริง ถือว่าขัดคำสั่งที่มีการสั่งการไปแล้ว มีความผิดฐานขัดขืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง มีความผิดทางวินัยทหาร ไม่รักษามารยาทโดยใช้กริยา วาจาไม่สมควร ซึ่งกองทัพบกตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามธรรมนูญทางทหารแล้ว และมีการเริ่มดำเนินการเอาผิดทางวินัยร้ายแรงแล้ว และสั่งพักราชการเพื่อสอบสวนแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย และเปิดให้ชี้แจงเพื่อความเป็นธรรม แต่ พล.ต.ขัตติยะ ก็บ่ายเบี่ยง ไม่มาพบ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนการให้ข่าวการลอบสังหารบุคคลสำคัญ จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของ พล.ต.ขัตติยะ กองทัพได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และพล.ต.ขัตติยะ ต้องรับผิดชอบต่อสังคม จึงกำลังประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะสอบสวนวันที่ 19 ก.พ. หากมีข้อมูลเชื่อมโยงถึงกลุ่มใด ก็จะดำเนินการไปตามกฎหมาย ยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมจะติดตามประเมินสถานการณ์ทางการเมือง และประสานกับหน่วยความมั่นคงเพื่อดูแลความมั่นคงอย่างใกล้ชิด
**เสื้อแดงส่งสัญญาณก่อการร้าย
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอประณามการก่อวินาศกรรมในวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่าน ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มใด ถือว่าเป็นการยกระดับการก่อความวุ่นวายขึ้นสู่การเตรียมก่อการร้ายเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชน สอดรับกับที่ก่อนหน้านี้ได้มีการกล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ยอมเจราจา ก็จะเกิดความรุนแรงตามมา
พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่า พฤติกรรมที่ใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม เพื่อคุกคามการทำงานของสถาบันตุลาการ จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมใดๆทั้งสิ้น และสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อดูแลความปลอดภัยของบุคคล และสถานที่ที่เป็นเป้าหมาย ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้
**ชี้เสธ.แดงรับพัวพันบึ้มพันธมิตรฯ
ส่วนกรณี พล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล ได้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าหากเป็นตนเอง จะแจ้งล่วงหน้า การให้ข่าวดังกล่าวเท่ากับเป็นการยอมรับว่ามีส่วนรู้เห็นในการยิงระเบิด M 79 ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในปี51-52 ที่ได้เตือนกลุ่มพันธมิตรฯว่าจะมีระเบิด แล้วก็มีเหตุการณ์ระเบิดจริงๆ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทางพรรคมองว่า ครบองค์ประกอบในการดำเนินการตามกฎหมาย
ประกอบกับการให้สัมภาษณ์ ที่ยืนยันว่า กองกำลังที่ได้มีการฝึกตามข้อมูลที่พรรคได้นำมาเปิดเผยนั้น มีขีดความสามารถที่จะก่อเหตุวินาศกรรมได้ และพล.ต.ขัตติยะ ก็ระบุถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อองค์ผู้พิพากษา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุระเบิดใส่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ( นายจรัล ภักดีธนากุล) ประธานศาลปกครองสูงสุด (นายอักขราทร จุฬารัตน ) และกรรมการป.ป.ช. ( นายวิชา มหาคุณ) มาก่อนในช่วงปีที่ผ่าน
"สิ่งต่างๆเหล่านี้ ถือว่าเป็นการเตรียมการส่งสัญญาณที่จะก่อความรุนแรงประกอบกับการออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนปช. ว่าการดำเนินการในส่วนของเสธ. แดง กับพล.อ.พัลลภ ที่กล่าวว่าจะมีการใช้กำลัง และเคลื่อนไปสู่การดำเนินการใต้ดินนั้น ส่วนตัวไม่มีความรับผิดชอบ พร้อมกันนี้ เสธ.แดง ก็บอกด้วยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการ์ด หรือนักรบที่มีการฝึกออกมา ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ถือว่าเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน และรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจในการดำเนินการโดยด่วน" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว