นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี การนัดชุมนุมเพื่อป่วนชาติ ของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยใช้เครือข่ายวิทยุชุมชนในการปลุกระดม ว่า เป็นพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติมากที่สุด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ตลาดเจเจ มอลล์ สวนจตุจักร ที่นายกฯไปเปิดงานต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และเยาวชน ก็มีการใช้เครือข่ายวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดง กระจายข่าวเรียกคนเสื้อแดงเพื่อหวังไปป่วนงาน และสร้างเหตุการณ์ต่างๆขึ้น และคงจะใช้เครือข่ายวิทยุชุมชนเหล่านี้ปลุกระดมปลูกฝังความคิดที่ผิดๆให้คนมาชชุมนุมในช่วง 10 วันอันตรายอย่างแน่นอน
ถ้าหากยังปล่อยปละละเลยให้มีการใช้สถานีวิทยุชุมชน ในการปลุกระดมและบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ ก็จะเป็นอันตรายต่อชาติ เพราะเจตนารมณ์ของการก่อตั้งวิทยุชุมชน ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 แท้จริง เป็นเจตนาดี แต่กลับมีนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล นักเคลื่อนไหว และกลุ่มผลประโยชน์ เข้ามาใช้ช่องว่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ทางการมืองของตัวเอง และในขณะนี้ คณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กทช.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ต้องควบคุม ก็ไม่สามารถจะเข้ามาจัดระเบียบวิทยุชุมชนเหล่านี้ได้ นายเทพไท กล่าวต่อว่าองค์กร กทช. ก็เป็นองค์กรที่มีปัญหาในตัวเอง ไม่สามารถที่จะสรรหาคณะกรรมการ กทช.ขึ้นมาได้ ขณะที่กรรมการกทช. ชุดเดิม ก็พยายามจะยื้อเวลา เพื่ออยู่ในตำแหน่ง ใช้อำนาจให้นานที่สุด เพราะยังมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาต 3 จี ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ก้อนใหญ่ โดย กทช. เป็นองค์กรที่ได้รับการกล่าวขวัญว่ามีผลประโยชน์ในการทำหน้าที่มากที่สุดองค์กรหนึ่งในเวลานี้ และองค์กรนี้ถือเป็นปัญหาเรื้อรัง นับแต่ยุคของรัฐบาลทักษิณ ที่ไม่พยายามผลักดันให้ กทช.ได้เกิดขึ้น และทำหน้าที่เป็นจริงตามเจตนารมของรัฐธรรมนูญ เพราะช่วงเวลานั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ผู้นำของชาติในเวลานั้นมีธุรกิจด้านกิจการโทรคมนาคมของตนเอง จึงเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อแตะต้องก็เข้าทำนองลูบหน้าปะจมูก
ดังนั้นหาก กทช.ไม่สามารถดูแลควบคุมสถานีวิทยุชุมชนให้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ ก็ขอให้เสนอปัญหา และแนวทางแก้ไขมายังรัฐบาลเพื่อที่ได้ออกกฏหมายพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ โดยมีรูปแบบคล้าย กบว. ที่ควบคุมและ มีบทลงโทษผู้ที่กระทำผิดจากเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะสถานีวิทยุชุมชนเหล่านี้ ถือว่าเป็นสื่อเทียม ที่มีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง เพราะสื่อกระแสหลักได้ปฏิบัติตามแนวจริยธรรมวิชาชีพถูกต้องอยู่แล้ว แต่จะปล่อยให้บรรดาสื่อเทียมเหล่านี้ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายได้อย่างไร และที่สำคัญเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุของความวุ่นวาย และแตกแยกในสังคมไทยที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ
**จี้ตั้งข้อหากบฎแก๊งกองกำลังเถื่อน
เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (8 ก.พ.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้หารือต่อที่ประชุม ถึงกรณีที่มีการข่มขู่บุคคลสำคัญว่า ตนได้รับทราบว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการข่มขู่ผู้พิพากษา โดยข่มขู่ไปยังครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการข่มขู่ไปยัง คตส. ท่านหนึ่ง โดยส่งชายฉกรรจ์ 5 คน ไปสอบถามหน้าบ้าน และปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่เขตไปสอบถามถึงอาคารบ้านพัก เวลากลับบ้าน ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่และหน่วยข่าวกรองเร่งดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญเข้มงวดขึ้นด้วย
นายสมชาย ยังกล่าวถึงรายการวิทยุชุมชน เพราะส่อเค้าว่ามีการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพลีชีพ หรือเรื่องการดำเนินการผลิตระเบิดน้ำมัน 1 ล้านขวด ตนจึงขอให้รัฐควบคุมเรื่องดังกล่าวให้เข้มงวด รวมทั้งทราบมาว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งกองกำลังด้วย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐพิจารณาดูแล้วว่า เข้าข่ายข้อหากบฎ ก็ควรเร่งดำเนินการตั้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ อยากรัฐบาลเร่งดำเนินการตรวจสอบแรงงานต่างด้าวกัมพูชาด้วย เพราะเกรงว่า อาจจะเข้ามาก่อวินาศกรรม ประกอบการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นอกจากนี้ อยากให้ป.ป.ง. เข้าไปตรวจสอบลูกชายแกนนำคนหนึ่ง เนื่องจากเข้าไปซื้อที่ประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งๆที่ไม่มีรายได้ รวมถึงการซื้อร้านอาหารไทยในอังกฤษ การซื้อที่ดินบริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อสร้างเป็นรีสอร์ทด้วย
**ต้องถอนประกันแกนนำแดงถ่อย
ด้านนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลไม่ควรประมาท เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการเตรียมการของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอยู่แล้ว ดังนั้นจะขอเสนอให้ถอนประกันตัวบุคคลที่มีคดีติดตัว แล้วประกาศว่าจะระดมพลเป็นล้านให้ถืออาวุธ ขวดน้ำมัน เพื่อก่อความรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งแจกรูปคตส. , ป.ป.ช. เพื่อชี้ว่าเป้าหมายเป็นใคร และข้อเสนอรัฐบาลใช้ปัจจัยของรัฐที่มีอยู่ คือใช้สื่อเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน รวมทั้งเปิดสายด่วนเพื่อให้ประชาชนได้แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายว่ามีการซ่องสุม และการเคลื่อนของกองกำลังอย่างไร เพื่อให้ได้รับทราบเบาะแส
**แสลงใจช่อง11 แฉพฤติกรรมแม้ว
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ได้กล่าวตำหนิรายการ "เกาที่คัน" และ"เจาะข่าวร้อน" ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า ตนได้รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน รู้สึกกังวลใจว่าเนื้อหาของรายการจะเป็นการสร้างความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น เพราะเนื้อหามีการยั่วยุ จึงขอฝากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนคิดว่าเป็นคนเก่ง และฉลาด ขอให้คำอธิบายต่อสังคมว่า รายการลักษณะอย่างนี้เป็นประโยชน์ขนาดไหน ที่จะต้องนำมาเผยแพร่ในช่วงอย่างนี้ หากรัฐบาลมีความจริงใจ ที่อยากจะยุติความรุนแรงจริง ต้องหยุดเผยแพร่รายการเหล่านี้ เพราะรังแต่จะสร้างความบาดหมางในสังคม
ขณะที่นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สถานการณ์หลังวันที่ 15 ม.ค.เป็นต้นมา เริ่มส่อเค้าว่าจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือเรื่องปฏิวัติ ออกมาอย่างหนัก และที่ฝ่ายทหารบอกว่าจะไม่ปฏิวัติ ก็ไม่ใช่เพราะทหารก็ไม่กล้าฟันธง ทั้งนี้ตนยังเห็นว่า สื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ยังทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงน้อยเกินไป
ด้านพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เรียกประชุมร่วมกับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและบ้านพัก ในที่ประชุมเสนอรายชื่อคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน พร้อมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยบ้านพักบุคคลสำคัญ เพื่อเน้นย้ำการดูแลความสงบเรียบร้อยแล้ว
-----------------------
ถ้าหากยังปล่อยปละละเลยให้มีการใช้สถานีวิทยุชุมชน ในการปลุกระดมและบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ ก็จะเป็นอันตรายต่อชาติ เพราะเจตนารมณ์ของการก่อตั้งวิทยุชุมชน ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 แท้จริง เป็นเจตนาดี แต่กลับมีนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล นักเคลื่อนไหว และกลุ่มผลประโยชน์ เข้ามาใช้ช่องว่างนี้ เพื่อผลประโยชน์ทางการมืองของตัวเอง และในขณะนี้ คณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ ( กทช.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ต้องควบคุม ก็ไม่สามารถจะเข้ามาจัดระเบียบวิทยุชุมชนเหล่านี้ได้ นายเทพไท กล่าวต่อว่าองค์กร กทช. ก็เป็นองค์กรที่มีปัญหาในตัวเอง ไม่สามารถที่จะสรรหาคณะกรรมการ กทช.ขึ้นมาได้ ขณะที่กรรมการกทช. ชุดเดิม ก็พยายามจะยื้อเวลา เพื่ออยู่ในตำแหน่ง ใช้อำนาจให้นานที่สุด เพราะยังมีปัญหาเรื่องการออกใบอนุญาต 3 จี ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ก้อนใหญ่ โดย กทช. เป็นองค์กรที่ได้รับการกล่าวขวัญว่ามีผลประโยชน์ในการทำหน้าที่มากที่สุดองค์กรหนึ่งในเวลานี้ และองค์กรนี้ถือเป็นปัญหาเรื้อรัง นับแต่ยุคของรัฐบาลทักษิณ ที่ไม่พยายามผลักดันให้ กทช.ได้เกิดขึ้น และทำหน้าที่เป็นจริงตามเจตนารมของรัฐธรรมนูญ เพราะช่วงเวลานั้นมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ผู้นำของชาติในเวลานั้นมีธุรกิจด้านกิจการโทรคมนาคมของตนเอง จึงเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เมื่อแตะต้องก็เข้าทำนองลูบหน้าปะจมูก
ดังนั้นหาก กทช.ไม่สามารถดูแลควบคุมสถานีวิทยุชุมชนให้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ ก็ขอให้เสนอปัญหา และแนวทางแก้ไขมายังรัฐบาลเพื่อที่ได้ออกกฏหมายพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ โดยมีรูปแบบคล้าย กบว. ที่ควบคุมและ มีบทลงโทษผู้ที่กระทำผิดจากเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะสถานีวิทยุชุมชนเหล่านี้ ถือว่าเป็นสื่อเทียม ที่มีเจตนาแอบแฝงทางการเมือง เพราะสื่อกระแสหลักได้ปฏิบัติตามแนวจริยธรรมวิชาชีพถูกต้องอยู่แล้ว แต่จะปล่อยให้บรรดาสื่อเทียมเหล่านี้ ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายได้อย่างไร และที่สำคัญเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุของความวุ่นวาย และแตกแยกในสังคมไทยที่มีผลต่อความมั่นคงของชาติ
**จี้ตั้งข้อหากบฎแก๊งกองกำลังเถื่อน
เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (8 ก.พ.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ได้หารือต่อที่ประชุม ถึงกรณีที่มีการข่มขู่บุคคลสำคัญว่า ตนได้รับทราบว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการข่มขู่ผู้พิพากษา โดยข่มขู่ไปยังครอบครัว นอกจากนี้ยังมีการข่มขู่ไปยัง คตส. ท่านหนึ่ง โดยส่งชายฉกรรจ์ 5 คน ไปสอบถามหน้าบ้าน และปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่เขตไปสอบถามถึงอาคารบ้านพัก เวลากลับบ้าน ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่และหน่วยข่าวกรองเร่งดำเนินการตรวจสอบ รวมทั้งต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญเข้มงวดขึ้นด้วย
นายสมชาย ยังกล่าวถึงรายการวิทยุชุมชน เพราะส่อเค้าว่ามีการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพลีชีพ หรือเรื่องการดำเนินการผลิตระเบิดน้ำมัน 1 ล้านขวด ตนจึงขอให้รัฐควบคุมเรื่องดังกล่าวให้เข้มงวด รวมทั้งทราบมาว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งกองกำลังด้วย หากเจ้าหน้าที่ของรัฐพิจารณาดูแล้วว่า เข้าข่ายข้อหากบฎ ก็ควรเร่งดำเนินการตั้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ อยากรัฐบาลเร่งดำเนินการตรวจสอบแรงงานต่างด้าวกัมพูชาด้วย เพราะเกรงว่า อาจจะเข้ามาก่อวินาศกรรม ประกอบการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นอกจากนี้ อยากให้ป.ป.ง. เข้าไปตรวจสอบลูกชายแกนนำคนหนึ่ง เนื่องจากเข้าไปซื้อที่ประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งๆที่ไม่มีรายได้ รวมถึงการซื้อร้านอาหารไทยในอังกฤษ การซื้อที่ดินบริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อสร้างเป็นรีสอร์ทด้วย
**ต้องถอนประกันแกนนำแดงถ่อย
ด้านนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลไม่ควรประมาท เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการเตรียมการของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอยู่แล้ว ดังนั้นจะขอเสนอให้ถอนประกันตัวบุคคลที่มีคดีติดตัว แล้วประกาศว่าจะระดมพลเป็นล้านให้ถืออาวุธ ขวดน้ำมัน เพื่อก่อความรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง รวมทั้งแจกรูปคตส. , ป.ป.ช. เพื่อชี้ว่าเป้าหมายเป็นใคร และข้อเสนอรัฐบาลใช้ปัจจัยของรัฐที่มีอยู่ คือใช้สื่อเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน รวมทั้งเปิดสายด่วนเพื่อให้ประชาชนได้แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายว่ามีการซ่องสุม และการเคลื่อนของกองกำลังอย่างไร เพื่อให้ได้รับทราบเบาะแส
**แสลงใจช่อง11 แฉพฤติกรรมแม้ว
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ได้กล่าวตำหนิรายการ "เกาที่คัน" และ"เจาะข่าวร้อน" ที่เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า ตนได้รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน รู้สึกกังวลใจว่าเนื้อหาของรายการจะเป็นการสร้างความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น เพราะเนื้อหามีการยั่วยุ จึงขอฝากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนคิดว่าเป็นคนเก่ง และฉลาด ขอให้คำอธิบายต่อสังคมว่า รายการลักษณะอย่างนี้เป็นประโยชน์ขนาดไหน ที่จะต้องนำมาเผยแพร่ในช่วงอย่างนี้ หากรัฐบาลมีความจริงใจ ที่อยากจะยุติความรุนแรงจริง ต้องหยุดเผยแพร่รายการเหล่านี้ เพราะรังแต่จะสร้างความบาดหมางในสังคม
ขณะที่นายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา กล่าวว่า สถานการณ์หลังวันที่ 15 ม.ค.เป็นต้นมา เริ่มส่อเค้าว่าจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือเรื่องปฏิวัติ ออกมาอย่างหนัก และที่ฝ่ายทหารบอกว่าจะไม่ปฏิวัติ ก็ไม่ใช่เพราะทหารก็ไม่กล้าฟันธง ทั้งนี้ตนยังเห็นว่า สื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ยังทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริงน้อยเกินไป
ด้านพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เรียกประชุมร่วมกับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และนายตำรวจที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญและบ้านพัก ในที่ประชุมเสนอรายชื่อคณะกรรมการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน พร้อมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยบ้านพักบุคคลสำคัญ เพื่อเน้นย้ำการดูแลความสงบเรียบร้อยแล้ว
-----------------------