xs
xsm
sm
md
lg

BEGINNING OF THE END!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

     “และแล้ว...ความจริงก็คือ ความจริง!”
       “และแล้ว...กฎแห่งกรรมก็เกิดขึ้น!”
                “และแล้ว...ฟ้ามีตา!”
   “และแล้ว...ความดี ความชั่ว ก็ปรากฏให้เห็น!”
  “และแล้ว...ความสุจริตเท่านั้นที่อยู่รอดคุ้มภัย!”


ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยังมีพี่น้องประชาชนจำนวนหลายล้านคน อดเป็นห่วงไม่ได้พร้อมถามว่า “มันจะหยุดยุติหรือไม่?” “มันจะยุ่งต่ออีกไหม?” และ “เขาจะยอมเลิกรารับความจริงหรือยัง?”

คำถามต่างๆ เหล่านั้นต่างพรั่งพรูจากปากของประชาชนทั่วไปที่ไม่มั่นใจและวิตกกังวลหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ได้มีคำวินิจฉัยพิพากษาให้ “ยึดทรัพย์” เป็นจำนวนเงิน “46,373 ล้านบาท” ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว และคืนทรัพย์สินจำนวน 30,249 กว่าล้านบาท

ศาลฎีกาฯ ได้ใช้เวลาในการอ่านข้อความของ “คดีซุกหุ้นภาค 2” เป็นระยะเวลายาวนานถึง 8 ชั่วโมงเต็มๆ เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็น “คดีประวัติศาสตร์” ที่สายตาคนไทยทุกคู่ หูทุกคู่ต่าง “เฝ้ามอง-เฝ้าฟัง” ที่มีการถ่ายทอดสดแทบจะทุกสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุทั่วประเทศไทย “แบบใจจดใจจ่อ!”

ความจริงที่เราแทบทุกคนทุกฝ่ายต่างยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว นั้นได้ดำเนินการ “ประพฤติมิชอบ” โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่การงานเอื้อประโยชน์ตนเอง และครอบครัว และบริษัทในเครือชินคอร์ปฯ ที่ “โยงใย-ยุ่งเหยิง-สลับซับซ้อน-ซ่อนเงื่อน” จนบุคคลธรรมดาสามัญจะหยั่งลึกและอธิบายเห็นขั้นตอนได้อย่างชัดเจนได้

ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Abuse of Power” ที่ผู้บริหารระดับสูงไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยที่อาศัย “ตำแหน่ง-อำนาจหน้าที่” กระทำ “การทุจริต-ประพฤติมิชอบ” เนื่องด้วย “หลงระเริงในอำนาจ” จนเรียกว่า “เหลิงอำนาจ” และ “ไม่เกรงกลัว” อะไรใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหลงเชื่อว่า “ไม่มีใครกล้าหือ!” และ “อำนาจล้นฟ้า!” จนคิดทำอะไรตามใจชอบ ยิ่งอยู่ในอำนาจเกิน 3 ปีขึ้นไป “พฤติการณ์-พฤติกรรม” ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นกับหลายๆ ผู้นำประเทศอื่นๆ มาแล้วนักต่อนัก

คดีที่ยังเป็นที่กล่าวขวัญมาตราบเท่าทุกวันนี้ หนีไม่พ้น 2 คดีสำคัญกับอดีตประธานาธิบดี ซูฮาร์โต แห่งอินโดนีเซีย และอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินันด์ มาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ ที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาถึงทุกวันนี้ จนลูกหลานมิได้ผุดได้เกิด!

“ขบวนการซุกหุ้น-ปกปิดหุ้น” คดี 76,000 ล้าน ซึ่งเกิดคดีประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ ได้รับการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากสื่อมวลชนทั่วทั้งโลก และก็ต้องยอมรับว่า “มาตรฐาน” ในการพิจารณาคดีที่เริ่มตั้งแต่ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)” ส่งถึง “อัยการสูงสุด” จนสั่งฟ้องให้ “ยึดทรัพย์ทั้งหมด 76,000 ล้านบาท” มายัง “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ที่ใช้ระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนและไต่สวนพยานทั้งฝ่ายโจทย์และจำเลยประมาณ 3-4 เดือน เป็น “มาตรฐานเดียว” ที่ “ตั้งมั่นอยู่บนความยุติธรรม” ในการตัดสินยึดทรัพย์บางส่วนเท่านั้น

ถามว่า “สังคมโลก” ต่างปรบมือและน้อมรับใน “มาตรฐานยุติธรรม” ของการพิจารณาคดีในครั้งนี้ ซึ่งส่งสัญญาณไปสู่สังคมโลกว่า “ประเทศไทยมีมาตรฐานยุติธรรม” มิได้ “ขำ!” แต่ประการใด เนื่องด้วย สังคมโลกต่างตระหนักและซึ้งดีว่า “ที่มาที่ไป” ของ “คดีซุกหุ้น” ในครั้งนี้ มีข้อมูลหลักฐานเอกสารพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน ขอย้ำว่า “มิได้ขำ!”

เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พี่น้องประชาชนทั่วไปที่มีวิจารณญาณอย่างเป็นธรรม พร้อมพินิจพิเคราะห์ในการฟังอย่างไตร่ตรอง จะเข้าใจอย่างดียิ่งว่า คดีทั้ง 5 กรณีนั้น ได้มีการพิจารณาศึกษาอย่างละเอียดครอบคลุมที่สุด ทั้งจากข้อมูลของฝ่ายโจทย์และฝ่ายจำเลย

“องค์คณะผู้พิพากษาฯ” ต่างพิจารณาและตัดสินบนเสียงข้างมากทั้ง 5 กรณีว่า “ผิดหมด!” มีดังต่อไปนี้

1. พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ในการออกพระราชกำหนดแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิต

2. แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้เอื้อบริษัท เอไอเอส จำกัด

3. แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ อนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม และปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม

4. การละเว้นอนุมัติส่งเสริมธุรกิจดาวเทียมของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ โดยมิชอบหลายกรณีเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ป และ

5. อนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงิน จากธนาคารส่งเสริมการส่งออกและนำเข้า จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท เอื้อบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด

การพิจารณาทั้ง 5 กรณี นั้น ประกาศอย่างชัดเจนว่า “เป็นการใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ (Abuse of Power)” แก่ตนเอง ครอบครัว และบริษัทในเครืออย่างมากที่จะหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้

นอกจากนั้น จากขบวนการจัดตั้งบริษัทกองทุนต่างๆ เพื่อยักย้ายถ่ายโอนทั้งหุ้นและเงินสด ล้วนพิสูจน์ได้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ตามเกาะแก่งต่างๆ ทั่วโลก ตลอดจนบริษัทต่างๆ อาทิ แอมเพิลริช-วินมาร์ค ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จนทำเอาผู้ฟัง “ปวดเศียรเวียนเกล้า” ให้มานั่งเล่าสู่กันฟังอีกครั้งแทบจะไม่รู้เรื่อง?

ทั้งนี้ การที่ศาลฎีกาฯ ได้พิจารณายึดทรัพย์ 46,373 กว่าล้านบาทนั้น และคืนให้คุณทักษิณ และครอบครัว 30,247 กว่าล้านบาทนั้น นับว่าได้พิจารณาอย่างเป็นธรรมแล้วทุกถ้อยกระทงความ

อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่คืนนั้น ต้องเสียภาษีไม่น้อยกว่า หมื่นกว่าล้านหรือสองหมื่นกว่าล้านบาทอีก จริงๆ แล้วครอบครัวคุณทักษิณ จะได้ทรัพย์สินคืนเป็นมูลค่าประมาณหมื่นล้านบาท แต่ก็ยังจะต้องเจอคดีอาญาต่างๆ ตามมาอีกนับ 10-20 กว่าคดีทีเดียว!

ถ้าเราทุกคนลองตรึกตรองพิจารณาคดีดูดีๆ ว่า มูลค่าทรัพย์สินจำนวน 70,000 กว่าล้านบาท ที่ถูกอายัดมายาวนานถึง 3 ปีกว่านั้น “การเคลื่อนไหว” ของทั้ง “กลุ่มเสื้อแดง” และ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” กับ “พรรคเพื่อไทย” นั้นได้ “เงิน-ทุน” สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ มาจากที่ใด ซึ่งต่างตระหนักและรู้ดีว่า ล้วนมาจาก “นายใหญ่” และ “กลุ่มผู้สนับสนุน” ทั้งสิ้น

ถามว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าของการเคลื่อนไหวนั้น ใช้จำนวนเม็ดเงินไม่ต่ำกว่าหลายพันล้านบาทหรืออาจถึงหลักหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว ทั้ง “กลไก” ของ “เสื้อแดง-นปช.-เพื่อไทย” มาจากไหน แหล่งใด มีเม็ดเงินจริงใช่หรือไม่!

แสดงว่า “แหล่งท่อน้ำเลี้ยง” ยังต้องมีทรัพย์สินเงินทองอีกจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า น่าจะสูงถึง “หลักแสนล้านบาท” เลยทีเดียว ที่สามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้นั้น แทบจะไม่มีความหมายใดๆ เลย

ทั้งนี้ ก็ต้องขอเรียนว่า การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดนี้ มิได้ต้องการ “ซ้ำเติม!” แต่ประการใด เพียงแต่อยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้ตระหนักและพินิจพิจารณาบนพื้นฐานความจริงว่า “ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย!” และ “สัจธรรมคือสัจธรรม” มิใช่หลงใหลคลั่งไคล้อย่างไม่ลืมหูลืมตา และปราศจากเหตุผล

คำถาม “ยอดฮิต!” ที่ถามว่า “ความวุ่นวาย” ยังจะเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ต้องตอบฟังธงเลยว่า “แน่นอน!” นับแต่นี้เป็นต้นไป

แต่ถามว่า “อีกนานมั้ย?” ก็ต้องตอบว่า “ไม่น่านานนัก!” อย่างเก่งก็คงอีกประมาณ 2-3 เดือน เพียงแต่ “การรุก-ระดม” ครั้งสุดท้ายนี้ เพียงเพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

และน่าจะเป็น “การเริ่มต้นของจุดจบ!?!” ที่ในที่สุดแล้ว สังคมจะตระหนักและรู้ซึ้งถึง “แก่นแท้” ของปัญหาทั้งหลายทั้งปวง!
กำลังโหลดความคิดเห็น