ASTVผู้จัดการายวัน-เสวนาการเมืองใหม่ ปิดทางแก๊งแดงยื่นถอดถอน 9 องคณะผู้พิพากษาช่วยนายใหญ่ ชี้แม้แต่อุทธรณ์ลำบาก เชื่อมีอีกไม่ต่ำกว่า 10 คนถูกหางเลขคดีอาญา ข้าราชการระดับอดีตปลัดกระทรวงจะถูกหิ้วเป็นรายตัว แฉ!เทมาเส็ก ปันผลหุ้นบิ๊กล๊อก กลต.ปล่อยได้อย่างไร เห็นพ้องเป็นคดีประวัติศาสตร์ และมีคุณค่าในทุกด้าน
วานนี้(3 มี.ค.) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถ.พระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ จัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (Pepople Forum) ครั้งที่ 6 หัวข้อ “คดียึดทรัพย์ บทเรียนของแผ่นดินกับอนาคตการเมืองไทย”โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายคมสัน โพธิ์คง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นายประพันธ์ คูณมี ผู้อำนวยการพรรคการเมืองใหม่ และนายสุนันท์ ศรีจันทา สื่อมวลชนอาวุโสที่เชี่ยวชาญในเรื่องตลาดทุน
นายชวินทร์ กล่าวว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์จากเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่เข้าสู่คลังโดยทางอ้อม บทเรียนที่เห็น ก็คือ คนรวยและคนจนก็โกงได้ เพียงแต่อย่าเปิดโอกาสให้เขาโกง เหมือนกับเด็กที่โกงข้อสอบ ที่จะเอาผิดเฉพาะข้อที่โกงไม่ได้ก็จะต้องปรับให้ตกวิชานั้นไป และเห็นว่า คดีอาญาในคดีนี้อาจจะต้องมีจำเลยเพิ่มอีกหลายคน โดยเฉพาะอดีตปลัดกระทรวงอีก 2-3 คน
ทั้งนี้ การทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อตัวเอง ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินปี 44 ว่าไม่ได้ซุกหุ้น และศาลฎีกาฯก็บอกว่า มีการซุกหุ้นตั้งปี 44 และซุกมาตลอด ขณะที่กฎหมาย ปปช. ปี 42 ที่พิจารณาเรื่องการขัดกันในผลประโยชน์ เป็นกฎหมายมาตรา 100 ปปช.ที่ห้ามภรรยาก็เช่นกัน
โดยการที่ซุกหุ้นและถูกจับได้ เนื่องจากศาลพิจารณาว่า ไม่เคย ออกหุ้นออกจากตัวเองเลย เพราะทุกครั้งที่มีการโอนขายไม่มีการชำระเงิน แต่กลับชำระด้วยกระดาษ กว่าจะจ่ายเงินก็ต้องรอจ่ายเป็นเงินปันผล ขณะที่ก่อนพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเล่นการเมือง ปี 43-44 บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถโอนได้ จึงโอนไปข้างนอก คือ แอมเพิลริช และวินมาร์ค ก็โอนไปนิติบุคคล พอปี 47 ลูกบรรลุนิติภาวะ ก็โอนกลับมาให้ลูกคนโต ถามว่าเอาเงินที่ไหนมาซื้อ 3-4 ร้อยล้าน ก็ตอบศาลไมได้ ตรงนี้จะเห็นว่า แทนที่จะไปแก้ตัวกับศาล แต่กลับมาแก้ตัวกับประชาชน
นอกจากนี้กรณีที่ศาลฯชี้ว่า หุ้นที่โอนออกจากตัวเองไปแล้ว ถ้าโอนให้ลูกหรือบุคคลอื่นจริง ทำไมทักษิณจะเดือดร้อนไปทำไม ส่วนคนที่เดือดร้อนกลับไม่มีเสียงอะไรสักนิด คำพิพากษาที่ออกมาถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นการเอื้อประโยขน์เพื่อให้หุ้นตัวเองได้ประโยชน์ คือ AISกับไทยคม
นายคมสัน กล่าวว่า คิดว่าศาลฯพยายามสอนประชาชนค่อนข้างมาก เพราะความจริงจะยึดหมดก็ทำได้ แต่ก็มีการตีความกฎหมายมาก ในกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบจะให้ยึดหมดหรือไม่หมด แต่การกระทำที่นำไปสู่การยึดทรัพย์ จะเป็นเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา แต่ตามกฎมายไม่ใช่ เพราะนี้เป็นมาตรการพิเศษที่ใช้นักการเมืองโดยเฉพาะ
ดังนั้น คดีนี้ ในแง่พฤติการณ์เชื่อว่าคำพิพากษานี้ครบถ้วนกระบวนทุกวิธีการ มีการวินิจฉัยครบทุกประเด็น และอำนาจศาล และยังชี้ไปที่การร่ำรวยหุ้นของของทักษิณ 1,400 ล้านหุ้น เกินกว่าในบัญชีที่ยื่นปปช.ไว้ มีทรัพย์เพิ่มขึ้น จากบัญชี พิจารณาต่อได้ว่า ทรัพย์นั้นควรจะถูกยึดได้เพียงใด
นายคมสัน กล่าวว่า คดีถอดถอน 9 องค์คณะศาลที่กลุ่มไม่เห็นด้วยจะยื่นถอดถอน โดยอ้างคำวินิจฉัยขิองศาลรัฐธรรมนูญ มีสามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ การปรับค่าสัมปทาน และการนำค่าสัมปทานมาหักเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งก็โยงกันทั้งหมด การนำค่าสัมปทานไปหักเป็นค่าภาษี หลังจากสัญญาปรับจะไปที่ 30% อัตราปัจจุบันอยู่ที่ 25% ที่ออกพิกัดอัตราภาษี ด้วยเหตุผลรัฐมีรายได้สองทาง และเก็บภาษีได้ร้อยละ 10 ของรายได้ คือเสียภาษี 35% แต่พอออกพระราชกำหนด มาปรับค่าสัมปทานมาหักภาษีเแต่หักออกไป 10% เหลือเพียง 15%
เห็นว่า ในคำพิพากษาหากปรับ 25% บริษัทฯก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย คือหากินสัมปทานเป็นศูนย์ ตรงนี้พิจารณาได้ว่า ทำไมถึงเกี่ยว เมื่อโยงกับค่าปรับสัมปทานก็ไปอ้างเชื่อมโยงโครงข่าย แต่ บริษัทแทค ขณะนั้นไปรับสัมปทานจาก กสท. แต่หมายเลยโทรศัทพ์ก็ต้องเชื่อมมายัง ทศท. และก็คิด 200 บาทต่อลูกค่า 1 สำหรับคนที่ใช้ระบบใช้ก่อนจ่ายหลัง ทำให้ต้นทุนบริษัท แทคสูงกว่า AIS แต่เขาก็ไม่ขาดทุน ยังได้กำไรอยู่ แต่AISก็ใช้ฐานเดิม ที่ใช้ข้อมูลจากบริษัทดิจิตัลโฟนลิงค์ สัมปทานเดิม ดังนั้นจึงเห็นว่า ร้องได้ แต่ทำไม่ได้ เหมือนกับที่เลขาธิการศาลฎีกาว่า จะเอาแน่กับคนที่ยื่นถอดถอน
นายคมสัน กล่าวอีกว่า ทักษิณ จะต้องยุติเล่นการเมืองเลยเหรอไม่ เห็นด้วยกับที่ อ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ออกมาพูด เพราะมาตราที่บอกคือรัฐธรรมนูญปี 40 ส่วนรัฐธรรมนูญปี 50 คือ มาตราที่เขียนต่อมาตรา 106 วรรค 7 ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามที่ติดตัวตลอดชีวิต บุคคลที่รับสมัคร ส.ส.ต้องไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่เหมือนกับ 101 นักการเมืองพรรคไทยรักไทย และไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่ เพราะกรณีนายรักเกียรติก็ถูกยึดทรัพย์ก็ต้องห้ามเล่นการเมืองติดตัวตลอดชีวิต ถ้าจะกลับมาก็ต้องไปฉีก รัฐธรรมนูญปี 40ด้วย เพราะ ส.ส.-นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง ถ้าเป็น ส.ส.ไม่ได้ ก็เป็นนายกฯไม่ได้
ขณะที่การอุทธรณ์ เห็นว่า คงทำได้ลำบาก และคำพิพากษานี้จะทำให้มีคนต้องถูกดำเนินคดีในป.ป.ช.อีกกว่า 10 คน เป็นอย่างต่ำที่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ ของชาติ
นายประพันธ์ กล่าวว่า บทเรียนนี้จะชี้ถึงธาตุแท้นักการเมือง ที่ใช้อำนาจหน้าที่ แสดงหาประโยชน์เพื่อตัวเอง คำพิพากษานี้อธิบายทุกขั้นตอน เห็นได้ว่า ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ชั่วช้าไปกว่านี้แล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่เคยเห็นนักการเมืองคนที่ไหนที่โกงขนาดนี้ โกงทั้งโคตร โคตรโกงเห็นชัดที่สุด
ขณะที่ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ศาลวินิจฉัยได้ละเอียดจะเห็นความแตกต่างจากการยึดทรัพย์โดยสรุปบทเรียนจากคณะ รสช. ที่ตั้งตัวเป็นศาลยึดทรัพย์เอง ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปก็ควรที่ต้องอ่าน พฤติกรรม 5 ประการ ที่ได้ใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์กับตัวเอง ให้ตัวเองร่ำรวยทางธุรกิจของตัวเอง หุ้นที่โอนให้คนในครอบครัว หรือในต่างประเทศ ที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด ที่มีการโอนทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ทั้งหมดและเชื่อว่าคดีนี้จะมี ขยายผลต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 คดี
ขณะเดียวกันขอเรียกร้องไปยัง ปปช. ให้เร่งพิจารณารถพยาบาล ที่สำนวนอยู่กับนายภักดี โพธิศิริ และคดีทีซีเอ็กซ์ ที่มีนายใจเด็จ พรไชยยา กก.ปปช. เป็นเจ้าของสำนวน
นายประพันธ์ กล่าวว่า ใครที่จะไปยื่นถอดถอนองคณะศาลฎีกานั้นไม่มีสิทธิยื่น เพราะว่าศาลทำถูกต้องเพราะในรัฐบาลทักษิณ การออกพรก.ฯเป็นอำนาจ ครม.ที่ออก พรก.และเมื่อขอให้ศาลตีความ ศาลรธน.ก็ไม่ได้บอกว่า พรก.ฉบับนี้สามรถที่จะไปเอื้อประโยชน์ให้ใครได้ แต่กฎหมายนั้นออกแล้วไปแล้วและเอื้อประโยชน์กับใคร ซึ่งศาลฎีกาก็พิจารณาว่า เอื้อประโยชน์กับกลุ่มชินฯ
นายสุนันท์ กล่าวว่า หากมีใครมาขัดขว้างคำพิพากษา อาจจะต้องแสดงพลังให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกันตลาดหุ้น 2 วันนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ต่างซื้อสวนทาง ซึ่งถือว่าผิดเจตนารมณ์ของเสื้อแดง ที่เป็นพวกหมาเห่าใบตองแห้ง ทำให้คนไม่กลัวไล่ซื้อหุ้น และนักลงทุนต่างประเทศเขาก็อ่านขาดว่า เสื้อแดงไร้น้ำยา ไม่มีอะไรแล้ว
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า กลุ่มทุนเทมาเส็ก อ่านสถานการณ์ออก เขาถอนเงินสดออกมาก โดยการปันผลพิเศษจากเครือชินคอร์ป และ AIS 1-3 บาท เขาได้จ่ายพิเศษ 5 บาทกว่า โดยเอากำไรสะสมทั้งหมดมาจ่ายงวดเดียว ก่อนที่จะมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ เพราะคงเห็นว่า ถ้ามีการแก้สัมปทาน ก็อาจจะกำไรน้อยหรือขาดทุน ถ้ามีการแก้สัญญาหมื่นล้าน ก็อาจจะเหลือไม่กี่พันล้าน หรือขาดทุน เทมาเส็กก็เลยจ่ายปันผลมากกว่าปกติ เพราะถ้าถูกฟ้องย้อนหลังกำไรสะสมก็จะดึงออกไม่ได้ ก็ต้องจ่ายให้รัฐ เรื่องนี้กลต.ไทยเราก็กลับอนุมัติไปให้ ไม่มีการตั้งข้อสังเกตใด เพราะถ้าแก้สัมปทานมาเป็นแบบเดิม เทมาเส็กก็จะพัง และหุ้นมีแนวโน้มที่จะตกอย่างต่อเนื่อง