เสวนาการพรรคเมืองใหม่ นักวิชาการ-นักกฎหมาย-สื่อมวลชน ปิดทางแก๊งแดงยื่นถอดถอน 9 องค์คณะผู้พิพากษาช่วยนายใหญ่ เชื่อข้าราชการระดับอดีตปลัดกระทรวง ไม่ต่ำกว่า 10 คนจะโดนหางเลขในคดีอาญา ตอกหน้าทุจริตคอร์รัปชันทุกยุคสมัยเกิดจากน้ำมือนักการเมืองและขรก.ทั้งสิ้น มั่นใจคำพิพากษายุคตุลาการภิวัฒน์ ชี้ให้เห็นการโกงรูปแบบใหม่ที่ต้องรู้ให้เท่าทัน และไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ชั่วไปกว่านี้ ระบุตลาดหุ้นดีดตัวlส่งสัญญาณ เตือนเสื้อแดงแค่หมาเห่าใบตองแห้งเท่านั้น
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ถนนพระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ จัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (People Forum) ครั้งที่ 6 หัวข้อ “คดียึดทรัพย์ บทเรียนของแผ่นดินกับอนาคตการเมืองไทย” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายคมสัน โพธิ์คง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นายประพันธ์ คูณมี ผู้อำนวยการพรรคการเมืองใหม่ และนายสุนันท์ ศรีจันทา สื่อมวลชนอาวุโสที่เชี่ยวชาญเรื่องหุ้น
นายชวินทร์กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท เข้าสู่คลังโดยทางอ้อม บทเรียนที่เห็นก็คือ คนรวยและคนจนก็โกงได้ เพียงแต่อย่าเปิดโอกาสให้เขาโกง เหมือนกับเด็กที่โกงข้อสอบที่จะเอาผิดเฉพาะข้อที่โกงไม่ได้ ก็จะต้องปรับให้ตกวิชานั้นไป หรือหากโกงสอบไล่ก็ให้ปรับตกไป แต่ผลสอบกลางภาคจะให้คงไว้ได้หรือไม่ และเห็นว่าคดีอาญาในคดีนี้อาจจะต้องมีจำเลยเพิ่มอีกหลายคน โดยเฉพาะอดีตปลัดกระทรวงอีก 2-3 คน
ทั้งนี้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักครอบครัวจริง ก็ควรที่จะเปลี่ยนตัวจำเลย ควรยอมรับว่าเขาและคุณหญิงพจมานมีความผิดจริงตามที่ศาลฎีกาฯ พิพากษา เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 10,000 วัน อย่ามารังแกลูกโดยเอาคดีอาญามาใส่ลูก ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณควรพอใจสิ่งที่ตนมีอยู่
นายชวินทร์กล่าวต่อว่า การทุจริตเชิงนโยบายเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อตัวเอง ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในปี 2544 ว่าไม่ได้ซุกหุ้น และศาลฎีกาฯ ก็บอกว่ามีการซุกหุ้นตั้งปี 2544 และซุกมาตลอด ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช.ปี 2542 ที่พิจารณาเรื่องการขัดกันในผลประโยชน์ เป็นกฎหมายมาตรา 100 ของ ป.ป.ช.ที่ห้ามภรรยาเช่นกัน
การที่ซุกหุ้นและถูกจับได้ เนื่องจากศาลพิจารณาว่าไม่เคยออกหุ้นออกจากตัวเองเลย เพราะทุกครั้งที่มีการโอนขายไม่มีการชำระเงิน ขณะที่ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเล่นการเมือง ปี 2543-2544 บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถโอนได้ จึงโอนไปข้างนอก คือ แอมเพิลริช และวินมาร์ค ก็โอนไปนิติบุคคล พอปี 47 ลูกบรรลุนิติภาวะ ก็โอนกลับมาให้ลูกคนโต ถามว่าเอาเงินที่ไหนมาซื้อ 3-4 ร้อยล้าน ก็ตอบศาลไม่ได้ ตรงนี้จะเห็นว่า แทนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปแก้ตัวกับศาล แต่กลับมาแก้ตัวกับประชาชน
นอกจากนี้ กรณีที่ศาลฯ ชี้ว่าหุ้นที่โอนออกจากตัวเองไปแล้ว ถ้าโอนให้ลูกหรือบุคคลอื่นจริง พ.ต.ท.ทักษิณจะเดือดร้อนไปทำไม ส่วนคนที่เดือดร้อนกลับไม่มีเสียงอะไรสักนิด คำพิพากษาที่ออกมาถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นการเอื้อประโยขน์เพื่อให้หุ้นตัวเองได้ประโยชน์ คือได้ AIS กับไทยคม
หากถามว่าหมดคดี พ.ต.ท.ทักษิณไปจะมีกรณีเช่นนี้อีกหรือไม่ ขอตอบว่าตรงนั้นอยู่กับความจริงจังของ ป.ป.ช.กับรัฐบาล ที่จะทำได้แค่ไหนว่าจะไม่ให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะการคอร์รัปชัน เกิดจากนักการเมืองกับข้าราชการเท่านั้น
นายคมสันกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฯ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ในหลักการของรัฐธรรมนูญปี 40 เต็มๆ เพียงแต่รัฐธรรมนูญปี 2550 รับลูกในเรื่องของการดำเนินคดีอาญา แต่ไปเพิ่มให้สามารถอุทธรณ์ได้ผ่านการยื่นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้พิจารณาหลักฐานใหม่ แต่ถ้าเป็นการพิจารณาโดนรัฐธรรมนูญปี 2540 เรื่องนี้ก็ถือว่าจบไปแล้ว
ทั้งนี้ คิดว่าศาลฯ พยายามสอนประชาชนค่อนข้างมาก เพราะความจริงจะยึดหมดก็ทำได้ แต่ก็มีการตีความกฎหมายมากในกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบจะให้ยึดหมดหรือไม่หมด แต่การกระทำที่นำไปสู่การยึดทรัพย์จะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา แต่ตามกฎหมายไม่ใช่ เพราะนี่เป็นมาตรการพิเศษที่ใช้นักการเมืองโดยเฉพาะ “คำพิพากษาเป็นการประจานการเล่นหุ้นที่มีการหมุนอยู่เพียงกลุ่มเดียวตลอดเวลา มีการถ่ายโอนกันเองเพื่อให้ราคาสูงขึ้นในระดับหนึ่ง และยังเอื้อประโยชน์ไปถึงกิจการส่วนตัว” นายคมสันกล่าว และว่า
คดีนี้ในแง่พฤติการณ์ เชื่อว่าคำพิพากษานี้ครบถ้วนกระบวนทุกวิธีการ มีการวินิจฉัยครบทุกประเด็น และอำนาจศาล และยังชี้ไปที่การร่ำรวยหุ้นของของ พ.ต.ท.ทักษิณ 1,400 ล้านหุ้น เกินกว่าในบัญชีที่ยื่น ป.ป.ช.ไว้ มีทรัพย์เพิ่มขึ้นจากบัญชี พิจารณาต่อได้ว่าทรัพย์นั้นควรจะถูกยึดได้เพียงใด
ในแง่ข้อกฎหมาย ศาลฯ เลือกช่องอธิบายต่อประชาชน ฐานะที่ 1 คือร่ำรวยผิดปกติ ร่ำรวยจากอำนาจหน้าที่ หากพิจารณาจากบัญชีย้อนหลังก็สามารถที่ยึดได้เลย แต่ศาลเลือกวิธีอธิบายข้อต่อสู้ของผู้ร้องและผู้ถูกร้องว่ามีการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ส่วนกระบวนการยึดทรัพย์ ศาลฯ เลือกอธิบายประโยคที่ครบถ้วน และการวินิจฉัยยึดทรัพย์ในประเด็นที่ถกเถียงกัน
ทั้งนี้ หากศาลพิจารณาทางเลือกที่ 2 ศาลฯ อาจยึดทรัพย์ได้มากขึ้นจากบัญชีทรัพย์สิน ในที่นี้มีหลายแบบที่เป็นเงิน ที่ดิน หุ้น และสิทธิอย่างอื่นหรือมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ในทางวิชาการที่สามารถโต้ตอบกันได้
บทเรียนทางสังคมประเด็นนี้ตอบสนองหลายกลุ่ม เป็นการสอนสังคมให้เข้าใจพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกับการโกง การยัดใต้โต๊ะเหมือนสมัยก่อน คำพิพากษาศาลฯ ได้ขยายความเข้ามาใจของสังคมที่ชี้ถึงการประพฤติอมิชอบ และศาลฯยังสอนให้สังคมเรียนรู้พฤติกรรมที่เป็นแบบเดิม ว่าไม่ใช่แล้วจะเรียกเงินโดยเขียนใบเสร็จบนมือก็หมดไปแล้ว
กฎหมายฉบับนี้มี 2 ฐานะถือชี้ถึงปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบโดยกฎหมาย แม้การประทำที่ชอบโดยกฎหมาย แต่แสวงหาทุจริตก็สามารถเอาผิดได้ ส่วนกรณีออก พ.ร.ก.ที่ไม่ชอบทางกฎหมายก็สามารถเอาผิดได้เช่นกัน
นายคมสันกล่าวว่า คดีถอดถอน 9 องคณะศาลที่กลุ่มไม่เห็นด้วยจะยื่นถอดถอนโดยอ้างคำวินิจฉัยขิองศาลรัฐธรรมนูญ มีสามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ การปรับค่าสัมปทาน และการนำค่าสัมปทานมาหักเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งก็โยงกันทั้งหมด
การนำค่าสัมปทานไปหักเป็นค่าภาษี หลังจากสัญญาปรับจะไปที่ 30% อัตราปัจจุบันอยู่ที่ 25% ที่ออกพิกัดอัตราภาษี ด้วยเหตุผลรัฐมีรายได้สองทาง และเก็บภาษีได้ร้อยละ 10 ของรายได้ คือเสียภาษี 35% แต่พอออกพระราชกำหนด มาปรับค่าสัมปทานมาหักภาษีเแต่หักออกไป 10% เหลือเพียง 15%
เห็นว่า ในคำพิพากษาหากปรับ 25% บริษัทฯ ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย คือหากินสัมปทานเป็นศูนย์ ตรงนี้พิจารณาได้ว่า ทำไมถึงเกี่ยว เมื่อโยงกับค่าปรับสัมปานก็ไปอ้างเชื่อมโยงโครงข่าย แต่ บริษัท แทค ขณะนั้นไปรับสัมปทานจาก กสท เนื่องจากหมายเลยโทรศัทพ์ก็ต้องเชื่อมายัง ทศท และก็คิด 200 บาทต่อลูกค่า 1 คนที่ใช้ระบบใช้ก่อนจ่ายหลัง ทำให้ต้นทุดบริษัท แทกสูงกว่า AIS เขาก็ไม่ขาดทุน ยังได้กำไรอยู่ แต่ AIS ก็ใช้ฐานเดิม ที่ใช้ข้อมูลจากบริษัทดิจิตัลโฟนลิงค์ สัมปทานเดิม
คำพิพากษาศาลก็บอกว่า เมื่อมีค่าโครงข่ายก็มีปัญหาว่าจ่ายก่อนใช้ทีหลัง มีแบบพรีเพด แบบเติมเงิน ก็ใช้หลักการเดิมจะจ่ายได้หรือไม่ ไม่ต้องจ่าย 200 ผ่านยังประชาชน จึงขอต่อรองให้จ่าย 18% จากราคาหน้าบัตร ถ้าฟังดูก็ถือว่าแฟร์ดี ก็เลยถือโอกาสนี้มาขอปรับสัญญาจากอัตราก้าวหน้า โดยปรับขอ 20% โดยขอในอัตราคงที่ ทำให้จ่ายค่าสัมปทานน้อยลง อัตราค่าเชื่อมโครงข่ายเป็นศูนย์ และไม่ถึงกับต้องจ่าย ก็เลยโยงให้บริษัทชินคอร์ปจ่ายกำไรน้อยลง
“กรณีวินิจฉัยขัดกับศาลรัฐธรรมนูญว่าการตรากฎหมายโดยชอบ การพิจารณาขอบเขตอำนาจศาลพิจารณาค่อนข้างชัด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามวิธีการออก พ.ร.ก.ตามไว้หรือไม่เท่านั้น พ.ร.ก.นี้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ไม่ได้พิจารณาว่าการออก ออกโดยสุจริตหรือไม่”
นายคมสันกล่าวว่า แต่ศาลฎีกาฯ ระบุว่า การออก พ.ร.ก.อันนี้ส่งผลให้เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ปที่มี พ.ต.ท.ทักษิณกับครอบครัว บอกว่าการตรา พ.ร.ก.ชอบ แต่การที่กฎหมายศาลฎีกาไม่ได้พิจารณาว่ามิชอบโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญเลย แต่เป็นการพิจารณาการเอื้อประโยชน์ที่เข้าฐานที่จะให้ยึดทรัพย์ได้ ดังนั้นจึงเห็นว่า ร้องได้แต่ทำไม่ได้ เหมือนกับที่เลขาธิการศาลฎีกาว่าจะเอาแน่กับคนที่ยื่นถอดถอน
นายคมสันกล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องยุติเล่นการเมืองเลยหรือไม่ เห็นด้วยกับที่ อ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ออกมาพูด เพราะมาตราที่บอกคือรัฐธรรมนูญปี 2540 ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2550 คือ มาตราที่เขียนต่อมาตรา 106 วรรค 7 ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามที่ติดตัวตลอดชีวิต บุคคลที่รับสมัคร ส.ส.ต้องไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่เหมือนกับ 101 นักการเมืองพรรคไทยรักไทย และไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่ เพราะกรณีนายรักเกียรติก็ถูกยึดทรัพย์ก็ต้องห้ามเล่นการเมืองติดตัวตลอดชีวิต ถ้าจะกลับมาก็ต้องไปฉีก รัฐธรรมนูญปี 2540 ด้วย เพราะ ส.ส.-นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ถ้าเป็น ส.ส.ไม่ได้ ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้
ขณะที่การอุทธรณ์เห็นว่าคงทำได้ลำบาก และคำพิพากษานี้จะทำให้มีคนต้องถูกดำเนินคดีใน ป.ป.ช.อีกกว่า 10 คน เป็นอย่างต่ำที่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของชาติ
ด้าน นายประพันธ์กล่าวว่า ตนเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์บริษัท AIS ถึงเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคที่ใม่เป็นธรรม บทเรียนจากศาลเห็นว่า ทักษิณโกงเอาเปรียบประชาชนจริง จนมีคำพิพากษาว่า สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชน เรามีความสุขใจที่พิสูจน์ว่าคนไทยทั่วโลกว่า ทักษิณไม่ได้มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติจริงๆ คำพิพากษานี้จะอยู่ในวงการนิติศาสตร์ เป็นบทเรียนสอนประชาชนว่าคนโกงเขาโกงกันอย่างไร บทเรียนนี้จะชี้ถึงธาตุแท้นักการเมืองที่ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเอง คำพิพากษานี้อธิบายทุกขั้นตอน เห็นได้ว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ชั่วช้าไปกว่านี้แล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่เคยเห็นนักการเมืองคนที่ไหนที่โกงขนาดนี้ โกงทั้งโคตร โคตรโกงเห็นชัดที่สุด
ขณะที่ข้อโต้แย้งต่างๆ ศาลวินิจฉัยได้ละเอียดจะเห็นความแตกต่างจากการยึดทรัพย์ โดยสรุปบทเรียนจากคณะ รสช. ที่ตั้งตัวเป็นศาลยึดทรัพย์เอง ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปก็ควรที่ต้องอ่าน พฤติกรรม 5 ประการ ที่ได้ใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง ให้ตัวเองร่ำรวยทางธุรกิจของตัวเอง หุ้นที่โอนให้คนในครอบครัว หรือในต่างประเทศ ที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีการโอนทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ทั้งหมดและเชื่อว่าคดีนี้จะมีการขยายผลต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 คดี
ขณะเดียวกัน ขอเรียกร้องไปยัง ป.ป.ช.ให้เร่งพิจารณารถพยาบาล ที่สำนวนอยู่กับนายภักดี โพธิศิริ และคดีซีทีเอ็กซ์ ที่มีนายจเด็จ พรไชยา ป.ป.ช.เป็นเจ้าของสำนวน
นายประพันธ์กล่าวว่า ใครที่จะไปยื่นถอดถอนองค์คณะศาลฎีกานั้นไม่มีสิทธิยื่น เพราะว่าศาลทำถูกต้องเพราะในรัฐบาลทักษิณ การออก พ.ร.ก.เป็นอำนาจ ครม.ที่ออก พ.ร.ก.และเมื่อขอให้ศาลตีความ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บอกว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้สามารถที่จะไปเอื้อประโยชน์ให้ใครได้ แต่กฎหมายนั้นออกแล้วไปแล้วและเอื้อประโยชน์กับใคร ซึ่งศาลฎีกาก็พิจารณาว่า เอื้อประโยชน์กับกลุ่มชินฯ
“มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกันเลย เพราะมีนักกฎหมายโง่ๆ ทักษิณก็แพ้ทุกศาล ทำไมไม่ออกประเด็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไว้แล้วว่า ไม่ได้ซุกหุ้นเพราะก็อ้างไมได้ เพราะตอนนั้นไปซุกกับคนใช้ ยาม คนขับรถแต่ครั้งนี้ไปซุกกับลูกเมีย ดั้งนั้น จึงไม่มีสิทธิถอดถอน และยังเข้าข่ายหมิ่นศาลหากยื่นโดยไม่มีเหตุผล”
ขณะที่ นายสุนันท์กล่าวว่า หากมีใครมาขัดขวางคำพิพากษาอาจจะต้องแสดงพลังให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้น 2 วันนี้ นักลงทุนต่างประเทศต่างซื้อสวนทาง ซึ่งถือว่าผิดเจตนารมณ์ของเสื้อแดงที่เป็นพวกหมาเห่าใบตองแห้ง ทำให้คนไม่กลัวไล่ซื้อหุ้น และนักลงทุนต่างประเทศเขาก็อ่านขาดว่า เสื้อแดงไร้น้ำยาเป็นพวกหมาเห่าใบตองแห้ง ไม่มีอะไรแล้ว
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า กลุ่มทุนเทมาเส็กอ่านสถานการณ์ออก เขาถอนเงินสดออกมาโดยการปันผลพิเศษจากเครือชินคอร์ป และ AIS 1-3 บาท เขาได้จ่ายพิเศษ 5 บาทกว่า โดยเอากำลังสะสมทั้งหมดมาจ่ายงวดเดียวก่อนที่จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้ยึดทรัพย์ เขามองลึกว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างไร เขาก็ถอนออกมา
“เขาคงเห็นว่า ถ้ามีการแก้สัมปทานก็อาจจะกำไรน้อยหรือขาดทุน ถ้ามีการแก้สัญญาหมื่นล้านก็อาจจะเหลือไม่กี่พันล้าน หรือขาดทุน เทมาเส็กก็เลยจ่ายปันผลมากกว่าปกติ เพราะถ้าถูกฟ้องย้อนหลังกำไรสะสมก็จะดึงออกไม่ได้ ก็ต้องจ่ายให้รัฐ เรื่องนี้พอขอเขาจ่าย ก.ล.ต.ไทยเราก็กลับอนุมัติไปให้ ไม่มีการตั้งข้อสังเกตใดว่าต้องจ่ายปันผลพิเศษออกมา เทมาเส็กก็เอาเงินสดออกไปแล้ว ดังนั้น ถ้าแก้สัมปทานมาเป็นแบบเดิม เทมาเส็กก็จะพัง และหุ้นมีแนวโน้มที่จะตกอย่างต่อเนื่อง”
นายสุนันท์กล่าวว่า ตลาดหุ้นอาจจะต้องเกร็งตัวอีกประมาณวันที่ 12-14 มี.ค.ที่เสื้อแดงชุมนุม แต่คิดว่าต่างชาติก็คงมองแบบเดิม คือ ลักษณะหมาเห่าใบตองแห้ง ไม่มีความรุนแรงถึงช่วงสงกรานต์ สถานการณ์การเมืองอาจะเปราะบาง แต่เชื่อจะไม่มีเหตุการณ์ มีแต่พวกสร้างสถานการณ์ เพราะตลาดหุ้นหรือแม้แต่แบงก์กรุงเทพเขาก็ไม่กลัว และเชื่อว่าวันนั้นถ้ายึดหมดคงจะมีคนตายหลายคนเพราะขนาดยึดไม่หมด ยังร้องไห้ปานจะขาดใจตาย
วันนี้ (3 มี.ค.) ที่พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) ถนนพระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ จัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (People Forum) ครั้งที่ 6 หัวข้อ “คดียึดทรัพย์ บทเรียนของแผ่นดินกับอนาคตการเมืองไทย” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายชวินทร์ ลีนะบรรจง อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ นายคมสัน โพธิ์คง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นายประพันธ์ คูณมี ผู้อำนวยการพรรคการเมืองใหม่ และนายสุนันท์ ศรีจันทา สื่อมวลชนอาวุโสที่เชี่ยวชาญเรื่องหุ้น
นายชวินทร์กล่าวว่า เชื่อว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท เข้าสู่คลังโดยทางอ้อม บทเรียนที่เห็นก็คือ คนรวยและคนจนก็โกงได้ เพียงแต่อย่าเปิดโอกาสให้เขาโกง เหมือนกับเด็กที่โกงข้อสอบที่จะเอาผิดเฉพาะข้อที่โกงไม่ได้ ก็จะต้องปรับให้ตกวิชานั้นไป หรือหากโกงสอบไล่ก็ให้ปรับตกไป แต่ผลสอบกลางภาคจะให้คงไว้ได้หรือไม่ และเห็นว่าคดีอาญาในคดีนี้อาจจะต้องมีจำเลยเพิ่มอีกหลายคน โดยเฉพาะอดีตปลัดกระทรวงอีก 2-3 คน
ทั้งนี้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักครอบครัวจริง ก็ควรที่จะเปลี่ยนตัวจำเลย ควรยอมรับว่าเขาและคุณหญิงพจมานมีความผิดจริงตามที่ศาลฎีกาฯ พิพากษา เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 10,000 วัน อย่ามารังแกลูกโดยเอาคดีอาญามาใส่ลูก ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณควรพอใจสิ่งที่ตนมีอยู่
นายชวินทร์กล่าวต่อว่า การทุจริตเชิงนโยบายเป็นการเอื้อประโยชน์เพื่อตัวเอง ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในปี 2544 ว่าไม่ได้ซุกหุ้น และศาลฎีกาฯ ก็บอกว่ามีการซุกหุ้นตั้งปี 2544 และซุกมาตลอด ขณะที่กฎหมาย ป.ป.ช.ปี 2542 ที่พิจารณาเรื่องการขัดกันในผลประโยชน์ เป็นกฎหมายมาตรา 100 ของ ป.ป.ช.ที่ห้ามภรรยาเช่นกัน
การที่ซุกหุ้นและถูกจับได้ เนื่องจากศาลพิจารณาว่าไม่เคยออกหุ้นออกจากตัวเองเลย เพราะทุกครั้งที่มีการโอนขายไม่มีการชำระเงิน ขณะที่ก่อน พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเล่นการเมือง ปี 2543-2544 บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะไม่สามารถโอนได้ จึงโอนไปข้างนอก คือ แอมเพิลริช และวินมาร์ค ก็โอนไปนิติบุคคล พอปี 47 ลูกบรรลุนิติภาวะ ก็โอนกลับมาให้ลูกคนโต ถามว่าเอาเงินที่ไหนมาซื้อ 3-4 ร้อยล้าน ก็ตอบศาลไม่ได้ ตรงนี้จะเห็นว่า แทนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไปแก้ตัวกับศาล แต่กลับมาแก้ตัวกับประชาชน
นอกจากนี้ กรณีที่ศาลฯ ชี้ว่าหุ้นที่โอนออกจากตัวเองไปแล้ว ถ้าโอนให้ลูกหรือบุคคลอื่นจริง พ.ต.ท.ทักษิณจะเดือดร้อนไปทำไม ส่วนคนที่เดือดร้อนกลับไม่มีเสียงอะไรสักนิด คำพิพากษาที่ออกมาถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นการเอื้อประโยขน์เพื่อให้หุ้นตัวเองได้ประโยชน์ คือได้ AIS กับไทยคม
หากถามว่าหมดคดี พ.ต.ท.ทักษิณไปจะมีกรณีเช่นนี้อีกหรือไม่ ขอตอบว่าตรงนั้นอยู่กับความจริงจังของ ป.ป.ช.กับรัฐบาล ที่จะทำได้แค่ไหนว่าจะไม่ให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะการคอร์รัปชัน เกิดจากนักการเมืองกับข้าราชการเท่านั้น
นายคมสันกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลฯ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ในหลักการของรัฐธรรมนูญปี 40 เต็มๆ เพียงแต่รัฐธรรมนูญปี 2550 รับลูกในเรื่องของการดำเนินคดีอาญา แต่ไปเพิ่มให้สามารถอุทธรณ์ได้ผ่านการยื่นที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้พิจารณาหลักฐานใหม่ แต่ถ้าเป็นการพิจารณาโดนรัฐธรรมนูญปี 2540 เรื่องนี้ก็ถือว่าจบไปแล้ว
ทั้งนี้ คิดว่าศาลฯ พยายามสอนประชาชนค่อนข้างมาก เพราะความจริงจะยึดหมดก็ทำได้ แต่ก็มีการตีความกฎหมายมากในกรณีศึกษาเชิงเปรียบเทียบจะให้ยึดหมดหรือไม่หมด แต่การกระทำที่นำไปสู่การยึดทรัพย์จะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา แต่ตามกฎหมายไม่ใช่ เพราะนี่เป็นมาตรการพิเศษที่ใช้นักการเมืองโดยเฉพาะ “คำพิพากษาเป็นการประจานการเล่นหุ้นที่มีการหมุนอยู่เพียงกลุ่มเดียวตลอดเวลา มีการถ่ายโอนกันเองเพื่อให้ราคาสูงขึ้นในระดับหนึ่ง และยังเอื้อประโยชน์ไปถึงกิจการส่วนตัว” นายคมสันกล่าว และว่า
คดีนี้ในแง่พฤติการณ์ เชื่อว่าคำพิพากษานี้ครบถ้วนกระบวนทุกวิธีการ มีการวินิจฉัยครบทุกประเด็น และอำนาจศาล และยังชี้ไปที่การร่ำรวยหุ้นของของ พ.ต.ท.ทักษิณ 1,400 ล้านหุ้น เกินกว่าในบัญชีที่ยื่น ป.ป.ช.ไว้ มีทรัพย์เพิ่มขึ้นจากบัญชี พิจารณาต่อได้ว่าทรัพย์นั้นควรจะถูกยึดได้เพียงใด
ในแง่ข้อกฎหมาย ศาลฯ เลือกช่องอธิบายต่อประชาชน ฐานะที่ 1 คือร่ำรวยผิดปกติ ร่ำรวยจากอำนาจหน้าที่ หากพิจารณาจากบัญชีย้อนหลังก็สามารถที่ยึดได้เลย แต่ศาลเลือกวิธีอธิบายข้อต่อสู้ของผู้ร้องและผู้ถูกร้องว่ามีการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ส่วนกระบวนการยึดทรัพย์ ศาลฯ เลือกอธิบายประโยคที่ครบถ้วน และการวินิจฉัยยึดทรัพย์ในประเด็นที่ถกเถียงกัน
ทั้งนี้ หากศาลพิจารณาทางเลือกที่ 2 ศาลฯ อาจยึดทรัพย์ได้มากขึ้นจากบัญชีทรัพย์สิน ในที่นี้มีหลายแบบที่เป็นเงิน ที่ดิน หุ้น และสิทธิอย่างอื่นหรือมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ในทางวิชาการที่สามารถโต้ตอบกันได้
บทเรียนทางสังคมประเด็นนี้ตอบสนองหลายกลุ่ม เป็นการสอนสังคมให้เข้าใจพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกับการโกง การยัดใต้โต๊ะเหมือนสมัยก่อน คำพิพากษาศาลฯ ได้ขยายความเข้ามาใจของสังคมที่ชี้ถึงการประพฤติอมิชอบ และศาลฯยังสอนให้สังคมเรียนรู้พฤติกรรมที่เป็นแบบเดิม ว่าไม่ใช่แล้วจะเรียกเงินโดยเขียนใบเสร็จบนมือก็หมดไปแล้ว
กฎหมายฉบับนี้มี 2 ฐานะถือชี้ถึงปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบโดยกฎหมาย แม้การประทำที่ชอบโดยกฎหมาย แต่แสวงหาทุจริตก็สามารถเอาผิดได้ ส่วนกรณีออก พ.ร.ก.ที่ไม่ชอบทางกฎหมายก็สามารถเอาผิดได้เช่นกัน
นายคมสันกล่าวว่า คดีถอดถอน 9 องคณะศาลที่กลุ่มไม่เห็นด้วยจะยื่นถอดถอนโดยอ้างคำวินิจฉัยขิองศาลรัฐธรรมนูญ มีสามประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ การปรับค่าสัมปทาน และการนำค่าสัมปทานมาหักเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งก็โยงกันทั้งหมด
การนำค่าสัมปทานไปหักเป็นค่าภาษี หลังจากสัญญาปรับจะไปที่ 30% อัตราปัจจุบันอยู่ที่ 25% ที่ออกพิกัดอัตราภาษี ด้วยเหตุผลรัฐมีรายได้สองทาง และเก็บภาษีได้ร้อยละ 10 ของรายได้ คือเสียภาษี 35% แต่พอออกพระราชกำหนด มาปรับค่าสัมปทานมาหักภาษีเแต่หักออกไป 10% เหลือเพียง 15%
เห็นว่า ในคำพิพากษาหากปรับ 25% บริษัทฯ ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย คือหากินสัมปทานเป็นศูนย์ ตรงนี้พิจารณาได้ว่า ทำไมถึงเกี่ยว เมื่อโยงกับค่าปรับสัมปานก็ไปอ้างเชื่อมโยงโครงข่าย แต่ บริษัท แทค ขณะนั้นไปรับสัมปทานจาก กสท เนื่องจากหมายเลยโทรศัทพ์ก็ต้องเชื่อมายัง ทศท และก็คิด 200 บาทต่อลูกค่า 1 คนที่ใช้ระบบใช้ก่อนจ่ายหลัง ทำให้ต้นทุดบริษัท แทกสูงกว่า AIS เขาก็ไม่ขาดทุน ยังได้กำไรอยู่ แต่ AIS ก็ใช้ฐานเดิม ที่ใช้ข้อมูลจากบริษัทดิจิตัลโฟนลิงค์ สัมปทานเดิม
คำพิพากษาศาลก็บอกว่า เมื่อมีค่าโครงข่ายก็มีปัญหาว่าจ่ายก่อนใช้ทีหลัง มีแบบพรีเพด แบบเติมเงิน ก็ใช้หลักการเดิมจะจ่ายได้หรือไม่ ไม่ต้องจ่าย 200 ผ่านยังประชาชน จึงขอต่อรองให้จ่าย 18% จากราคาหน้าบัตร ถ้าฟังดูก็ถือว่าแฟร์ดี ก็เลยถือโอกาสนี้มาขอปรับสัญญาจากอัตราก้าวหน้า โดยปรับขอ 20% โดยขอในอัตราคงที่ ทำให้จ่ายค่าสัมปทานน้อยลง อัตราค่าเชื่อมโครงข่ายเป็นศูนย์ และไม่ถึงกับต้องจ่าย ก็เลยโยงให้บริษัทชินคอร์ปจ่ายกำไรน้อยลง
“กรณีวินิจฉัยขัดกับศาลรัฐธรรมนูญว่าการตรากฎหมายโดยชอบ การพิจารณาขอบเขตอำนาจศาลพิจารณาค่อนข้างชัด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามวิธีการออก พ.ร.ก.ตามไว้หรือไม่เท่านั้น พ.ร.ก.นี้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ไม่ได้พิจารณาว่าการออก ออกโดยสุจริตหรือไม่”
นายคมสันกล่าวว่า แต่ศาลฎีกาฯ ระบุว่า การออก พ.ร.ก.อันนี้ส่งผลให้เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ปที่มี พ.ต.ท.ทักษิณกับครอบครัว บอกว่าการตรา พ.ร.ก.ชอบ แต่การที่กฎหมายศาลฎีกาไม่ได้พิจารณาว่ามิชอบโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญเลย แต่เป็นการพิจารณาการเอื้อประโยชน์ที่เข้าฐานที่จะให้ยึดทรัพย์ได้ ดังนั้นจึงเห็นว่า ร้องได้แต่ทำไม่ได้ เหมือนกับที่เลขาธิการศาลฎีกาว่าจะเอาแน่กับคนที่ยื่นถอดถอน
นายคมสันกล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องยุติเล่นการเมืองเลยหรือไม่ เห็นด้วยกับที่ อ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ออกมาพูด เพราะมาตราที่บอกคือรัฐธรรมนูญปี 2540 ส่วนรัฐธรรมนูญปี 2550 คือ มาตราที่เขียนต่อมาตรา 106 วรรค 7 ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามที่ติดตัวตลอดชีวิต บุคคลที่รับสมัคร ส.ส.ต้องไม่เป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้ริบทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่เหมือนกับ 101 นักการเมืองพรรคไทยรักไทย และไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่ เพราะกรณีนายรักเกียรติก็ถูกยึดทรัพย์ก็ต้องห้ามเล่นการเมืองติดตัวตลอดชีวิต ถ้าจะกลับมาก็ต้องไปฉีก รัฐธรรมนูญปี 2540 ด้วย เพราะ ส.ส.-นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง ถ้าเป็น ส.ส.ไม่ได้ ก็เป็นนายกฯ ไม่ได้
ขณะที่การอุทธรณ์เห็นว่าคงทำได้ลำบาก และคำพิพากษานี้จะทำให้มีคนต้องถูกดำเนินคดีใน ป.ป.ช.อีกกว่า 10 คน เป็นอย่างต่ำที่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่ทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของชาติ
ด้าน นายประพันธ์กล่าวว่า ตนเคยเขียนวิพากษ์วิจารณ์บริษัท AIS ถึงเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภคที่ใม่เป็นธรรม บทเรียนจากศาลเห็นว่า ทักษิณโกงเอาเปรียบประชาชนจริง จนมีคำพิพากษาว่า สร้างความเสียหายให้แก่ประชาชน เรามีความสุขใจที่พิสูจน์ว่าคนไทยทั่วโลกว่า ทักษิณไม่ได้มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติจริงๆ คำพิพากษานี้จะอยู่ในวงการนิติศาสตร์ เป็นบทเรียนสอนประชาชนว่าคนโกงเขาโกงกันอย่างไร บทเรียนนี้จะชี้ถึงธาตุแท้นักการเมืองที่ใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเอง คำพิพากษานี้อธิบายทุกขั้นตอน เห็นได้ว่าไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนที่ชั่วช้าไปกว่านี้แล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่เคยเห็นนักการเมืองคนที่ไหนที่โกงขนาดนี้ โกงทั้งโคตร โคตรโกงเห็นชัดที่สุด
ขณะที่ข้อโต้แย้งต่างๆ ศาลวินิจฉัยได้ละเอียดจะเห็นความแตกต่างจากการยึดทรัพย์ โดยสรุปบทเรียนจากคณะ รสช. ที่ตั้งตัวเป็นศาลยึดทรัพย์เอง ขณะเดียวกันประชาชนทั่วไปก็ควรที่ต้องอ่าน พฤติกรรม 5 ประการ ที่ได้ใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์แก่ตัวเอง ให้ตัวเองร่ำรวยทางธุรกิจของตัวเอง หุ้นที่โอนให้คนในครอบครัว หรือในต่างประเทศ ที่ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีการโอนทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ทั้งหมดและเชื่อว่าคดีนี้จะมีการขยายผลต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10 คดี
ขณะเดียวกัน ขอเรียกร้องไปยัง ป.ป.ช.ให้เร่งพิจารณารถพยาบาล ที่สำนวนอยู่กับนายภักดี โพธิศิริ และคดีซีทีเอ็กซ์ ที่มีนายจเด็จ พรไชยา ป.ป.ช.เป็นเจ้าของสำนวน
นายประพันธ์กล่าวว่า ใครที่จะไปยื่นถอดถอนองค์คณะศาลฎีกานั้นไม่มีสิทธิยื่น เพราะว่าศาลทำถูกต้องเพราะในรัฐบาลทักษิณ การออก พ.ร.ก.เป็นอำนาจ ครม.ที่ออก พ.ร.ก.และเมื่อขอให้ศาลตีความ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้บอกว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้สามารถที่จะไปเอื้อประโยชน์ให้ใครได้ แต่กฎหมายนั้นออกแล้วไปแล้วและเอื้อประโยชน์กับใคร ซึ่งศาลฎีกาก็พิจารณาว่า เอื้อประโยชน์กับกลุ่มชินฯ
“มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกันเลย เพราะมีนักกฎหมายโง่ๆ ทักษิณก็แพ้ทุกศาล ทำไมไม่ออกประเด็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาไว้แล้วว่า ไม่ได้ซุกหุ้นเพราะก็อ้างไมได้ เพราะตอนนั้นไปซุกกับคนใช้ ยาม คนขับรถแต่ครั้งนี้ไปซุกกับลูกเมีย ดั้งนั้น จึงไม่มีสิทธิถอดถอน และยังเข้าข่ายหมิ่นศาลหากยื่นโดยไม่มีเหตุผล”
ขณะที่ นายสุนันท์กล่าวว่า หากมีใครมาขัดขวางคำพิพากษาอาจจะต้องแสดงพลังให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้น 2 วันนี้ นักลงทุนต่างประเทศต่างซื้อสวนทาง ซึ่งถือว่าผิดเจตนารมณ์ของเสื้อแดงที่เป็นพวกหมาเห่าใบตองแห้ง ทำให้คนไม่กลัวไล่ซื้อหุ้น และนักลงทุนต่างประเทศเขาก็อ่านขาดว่า เสื้อแดงไร้น้ำยาเป็นพวกหมาเห่าใบตองแห้ง ไม่มีอะไรแล้ว
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า กลุ่มทุนเทมาเส็กอ่านสถานการณ์ออก เขาถอนเงินสดออกมาโดยการปันผลพิเศษจากเครือชินคอร์ป และ AIS 1-3 บาท เขาได้จ่ายพิเศษ 5 บาทกว่า โดยเอากำลังสะสมทั้งหมดมาจ่ายงวดเดียวก่อนที่จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ให้ยึดทรัพย์ เขามองลึกว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างไร เขาก็ถอนออกมา
“เขาคงเห็นว่า ถ้ามีการแก้สัมปทานก็อาจจะกำไรน้อยหรือขาดทุน ถ้ามีการแก้สัญญาหมื่นล้านก็อาจจะเหลือไม่กี่พันล้าน หรือขาดทุน เทมาเส็กก็เลยจ่ายปันผลมากกว่าปกติ เพราะถ้าถูกฟ้องย้อนหลังกำไรสะสมก็จะดึงออกไม่ได้ ก็ต้องจ่ายให้รัฐ เรื่องนี้พอขอเขาจ่าย ก.ล.ต.ไทยเราก็กลับอนุมัติไปให้ ไม่มีการตั้งข้อสังเกตใดว่าต้องจ่ายปันผลพิเศษออกมา เทมาเส็กก็เอาเงินสดออกไปแล้ว ดังนั้น ถ้าแก้สัมปทานมาเป็นแบบเดิม เทมาเส็กก็จะพัง และหุ้นมีแนวโน้มที่จะตกอย่างต่อเนื่อง”
นายสุนันท์กล่าวว่า ตลาดหุ้นอาจจะต้องเกร็งตัวอีกประมาณวันที่ 12-14 มี.ค.ที่เสื้อแดงชุมนุม แต่คิดว่าต่างชาติก็คงมองแบบเดิม คือ ลักษณะหมาเห่าใบตองแห้ง ไม่มีความรุนแรงถึงช่วงสงกรานต์ สถานการณ์การเมืองอาจะเปราะบาง แต่เชื่อจะไม่มีเหตุการณ์ มีแต่พวกสร้างสถานการณ์ เพราะตลาดหุ้นหรือแม้แต่แบงก์กรุงเทพเขาก็ไม่กลัว และเชื่อว่าวันนั้นถ้ายึดหมดคงจะมีคนตายหลายคนเพราะขนาดยึดไม่หมด ยังร้องไห้ปานจะขาดใจตาย