xs
xsm
sm
md
lg

ปัจฉิมสมรภูมิของทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร. ฤทธาคนี

คดีสำคัญที่สุดคดีหนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ คือ คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท จากการครอบครองของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ใช้อำนาจรัฐกระทำการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความยโสโอหังกับสถาบัน ถึงขั้นกล่าวคำพูดเป็นเชิงกระทบกระเทียบให้กระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านความเชื่อมระหว่างประธานองคมนตรีกับพระมหากษัตริย์ จนเป็นอมตะวจีอุบาทว์ของทักษิณตลอดไป

ที่กล่าวกับหัวหน้าส่วนราชการระดับ 10 ขึ้นไปในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2549 โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง โดยมีข้อความสำคัญที่ว่า “วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญไม่ใช้รัฐธรรมนูญ คือ บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา” แต่วลีอุบาทว์คือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”

คำถามว่าทำไมทักษิณจึงพูด มีนักวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปถึงเจตนาของทักษิณไว้สองประการ คือ ประการแรก ขัดใจที่บุคคลดังกล่าวเข้ามามีบทบาทให้ระบบการปกครองประชาธิปไตยตามแบบทักษิณ ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างสวยงามตามที่วางแผนไว้ และประการที่สอง เหยียดบุคคลที่พูดพาดพิงถึงว่า ใครๆ คิดว่าเป็นผู้มีบารมี แต่ในสายตาทักษิณบุคคลผู้นี้ไม่มีบารมีอย่างที่คนอื่นๆ เข้าใจเลย ดังนั้น ต่อให้บุคคลดังกล่าวพยายามเข้ามามีบทบาทแก้ไขปัญหายุ่งยากตามครรลองที่สั่งทำได้ตามอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ และก่อผลกระทบต่อ “ระบบรัฐธรรมนูญ” คือระบบการปกครองประชาธิปไตยแบบทักษิณ ก็จะไม่สามารถให้มา “วุ่นวาย” ได้อย่างแท้จริง

และในการประชุมสภาในวันนั้นทักษิณย้ำว่า อำนาจนอกรัฐธรรมนูญนี้อยู่คนละฟากกับทักษิณซึ่งอยู่ในระบบรัฐธรรมนูญ และสัญญาณธงใดๆ ที่อยู่คนละฟากกับทักษิณย่อมไม่มีความหมายหรือมีอำนาจเหนือกว่าเขา และกำชับว่า “หยุดได้แล้ว”

แต่มีผู้รู้หลายท่านได้นิยามศัพท์คำว่า “บารมี” มีรากศัพท์ว่า บรม หมายความว่าความสูงสุด ความล้ำเลิศ และสังคมไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ในยุครัตนโกสินทร์อันเป็นระบบธรรมะกษัตริย์ซึ่งต่างกับอยุธยา ที่มีลักษณะดำรงฐานะเป็นเทพสมมติ มีบารมีสูงล้น ทั้งยังมีฐานะเยี่ยงเป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี รวมทั้งหมายความว่าคุณความดี หรือคุณสมบัติอื่นที่ทำให้บุคคลนั้นเป็นที่รัก ที่ศรัทธา และเป็นเหตุให้ผู้อื่นเคารพยำเกรง

จึงต้องวิเคราะห์ว่าทักษิณหมายถึงอะไรกันแน่ ที่บารมีตรงกับความหมายทางอักษรศาสตร์ ซึ่งมีผู้คนได้วิเคราะห์กันแบบชาวบ้านๆ ว่า “คนไทยทุกคนมีสิทธิทางรัฐธรรมนูญ เสมอภาคกัน โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ส.ส. แต่พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ทรงไม่สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรได้”

นอกจากนี้แล้วทักษิณได้ใช้อำนาจรัฐ โกงกินบ้านเมืองลักษณะต่างๆ ทั้งตรงๆ และ อ้อมๆ ด้วยเล่ห์ทางกฎหมายที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น การเลือก กกต. เพราะถ้าทักษิณสามารถควบคุมวุฒิสมาชิกได้ ทักษิณก็ควบคุม กกต.ได้ เช่น คดีที่เกิดขึ้นในห้วงสุดท้ายของทักษิณ ก่อนที่จะถูกรัฐประหาร อันเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดทักษิณได้ขณะนั้น ทำให้ กกต.อันเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งถูกรัฐบาลทักษิณแทรกแซงเพราะบรรดาวุฒิสมาชิกถูกควบคุมโดยทักษิณแต่ กกต.ถูกเลือกจาก ส.ว.จนทำให้ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต. ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาจำคุกในข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ โดยปล่อยให้ผู้สมัครคนเดิมย้ายไปสมัครเขตอื่น ในการเลือกตั้งซ่อมหลังการเลือกตั้งครั้งแรกคะแนนไม่ถึงร้อยละ 20

พฤติกรรมทุจริตบางส่วนที่มีพยานชัดเจนหรือพิสูจน์ทราบได้ ทำให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ที่ตรวจสอบเฉพาะเกี่ยวกับรัฐบาลทักษิณเท่านั้น สถาปนาตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 โดยมีเรื่องราวการโกงเกิดขึ้นก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งสื่อมวลชนได้ออกข่าวโจมตีการทุจริตคดโกงกินเมืองเหล่านั้น จนเป็นเรื่องซ้ำซากมากมายหลายเรื่อง เช่น โครงการรับจำนำลำไยอบแห้งปี พ.ศ. 2547 แต่กรณียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทนั้น มีมูลเหตุจากการที่ คตส.กล่าวหาว่าทักษิณร่ำรวยผิดปกติ เพราะใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์บริษัท AIS และ ซัน แซทเทลไลท์ หลายกรณีและวิธีการ ได้แก่

1. ให้ TOT ลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2. ปรับเกณฑ์การคำนวณ 3. ออกกฎหมายแปลงส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิต 4. ให้ TOT เช่าดาวเทียมโดยไม่มีความจำเป็น 5. สั่งให้ EXIM BANK ปล่อยเงินกู้รัฐบาลพม่า เพื่อซื้อดาวเทียม 6. เอาการเจรจา FTA เอื้อดาวเทียมของบริษัทตัวเองแลกกับประโยชน์ของชาติ จึงสรุปได้ว่าบริษัทโทรคมนาคมภายใต้ร่มบารมีของทักษิณร่ำรวย แต่รัฐขาดรายได้เพื่อพัฒนาชาติ

ทำไมวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 จึงเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของทักษิณ คำตอบคือ 1. ถ้าเงิน 76,000 ล้านบาท ถูกพิพากษาให้ยึดเข้าเป็นเงินแผ่นดิน ทักษิณจะหมดทุนในการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจคืน 2. ขวัญกำลังใจของผู้แสวงประโยชน์จากเงินทักษิณ ตกต่ำจนแปรพักตร์ทรยศทักษิณ 3. ถ้าแพ้คดีนี้แล้ว จะโยงไปถึงคดีอื่นๆ ด้วยซึ่งให้โทษทักษิณ

หลังจากการสูญเสียอำนาจของทักษิณตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 ทักษิณประกาศสงครามสารสนเทศและสงครามปฏิวัติประชาชน แต่ยังไม่มีเงื่อนไขสูงสุดในการสร้างกระแสประชาชนเพื่อล้มรัฐบาล เช่น 14 ตุลาคม 2516 หรือ 17 พฤษภาคม 2535 ที่เงื่อนไขการเมืองชัดเจนกว่าการปลุกระดมเพื่อคนคนเดียวซึ่งใช้เล่ห์กล เงินตรา และความเป็นเจ้าหนี้ ทุ่มเท ซึ่งปัญญาชนทั้งชาติมองเห็นทะลุปรุโปร่งแล้วจึงไม่ร่วมมือ

แต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นวันพิพากษาอนาคตทักษิณอย่างแท้จริง ดังนั้น ในรอบเดือนที่ผ่านมา ทักษิณทุ่มเททรัพยากรทั้งมวลเพื่อทำสงครามกับประเทศชาติครั้งสุดท้าย

สมรภูมิครั้งสุดท้ายที่รุนแรงโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ได้แก่ สมรภูมิกรุงเบอร์ลิน (Battle of Berlin) ซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของกองทัพนาซีเยอรมนี ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1945 จนถึงวันที่ 2พฤษภาคม ปีเดียวกัน หลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้ที่นอร์มังดี ชายฝั่งทะเลตะวันตกของฝรั่งเศส ฝ่ายนาซีเยอรมนีก็พ่ายแพ้มาเรื่อย รวมทั้งที่สำคัญคือแนวต้านตะวันออกที่ฮิตเลอร์หวังที่จะยึดกรุงมอสโก แต่พ่ายแพ้ต่อกองทัพแดง เป็นผลสร้างความแค้นให้กับกองทัพรัสเซีย ซึ่งสะสมความแค้นจนเข้าตีกระหนาบกรุงเบอร์ลินด้วยความรุนแรงและโหดร้าย

โดยใช้ทหาร 1,500,000 คน รถถัง 6,500 คัน เครื่องบินรบ 7,500 ลำ ปืนใหญ่กว่า 41,600 ถล่มใส่กองทัพนาซีเยอรมนีที่มีทหารเหลือ 766,750 คน รถถัง 1,519 คัน เครื่องบินรบ 2,224 ลำ ใช้กำลังป้องกันกรุงเบอร์ลิน 49,000 คน หรือกำลังรบเปรียบเทียบ 1,500,000 ต่อ 49,000 สรุปสมรภูมิกรุงเบอร์ลินมีทหารตายและบาดเจ็บ รวม 461,367 คน แต่ประชาชนได้รับเคราะห์กรรมเกินพรรณนา ทั้งถูกฆ่า ถูกข่มขืน ถูกทิ้งให้ตายด้วยความหิวโหย โหดร้าย และการบาดเจ็บกว่า 50,000 คน เพราะฝ่ายหนึ่งจะต้องแก้แค้นให้ได้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการเพียงความอยู่รอด

ความแค้นและความต้องการความอยู่รอดรวมอยู่ในตัวทักษิณอยู่แล้ว ดังนั้น ในช่วงเดือนที่ผ่านมา สงครามจิตวิทยาทุกรูปแบบถูกนำประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการข่มขู่ สร้างแรงกดดันในระบบราชการและระบบศาล รวมทั้งขู่ที่จะฆ่าผู้พิพากษาคดี 76,000 ล้านบาท สร้างข่าวลือ โดยเฉพาะการติดสินบนผู้พิพากษา

ผลที่ต้องการคือให้ นักลงทุนระงับที่จะเข้ามาลงทุน นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกการจอง ทำให้เศรษฐกิจย่อยถูกทำลายทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนหวาดผวา ขวัญเสื่อม กังวลใจเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การขาดแคลนอาหาร และน้ำ ทั้งเป็นการทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลและสถาบันตำรวจ

ข่าวลือการติดสินบนนั้น หวังให้ระบบศาลสถิตยุติธรรมของไทยขาดศรัทธาและความเชื่อมั่น ทั้ง 2 กรณี คือ ศาลรับสินบน หรือศาลถูกอำนาจมืดสั่งการ และทักษิณหวังที่จะใช้ข่าวลือสร้างกระแสความอยุติธรรมในประเทศไทย เพื่อกระเพื่อมสังคมโลกพิเคราะห์ว่าประเทศไทยไม่ยึดหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งทักษิณหวังผลพึ่งองค์กร NGO สากล กดดันรัฐบาลไทยด้วย NGO อนาธิปไตยที่สนับสนุนเขา

กลยุทธ์การกดดันและข่มขู่กองทัพ ก็เป็นการยั่วยุให้ทหารตอบโต้ หรือหวังที่จะป้องกันมิให้ทหารเคลื่อนย้ายกำลังออกมาปราบปรามการจลาจลของพวกตนร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ สามารถสร้างความสับสนในกองทัพได้ เพราะมีทหารที่รับเงินจากทักษิณ เป็นหนี้ทักษิณ และหวังอำนาจจากทักษิณ ให้การสนับสนุนทักษิณและพวก จนทำให้ถึงขั้นทหารอาจจะเกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากทำงาน

แต่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการแตกแยกของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล กับแกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ โดยพล.อ.พัลลภประกาศจะไม่ลงไปช่วยหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่น 13 เมษายน 2553 และยังปรารภถึงการชุมนุมคนถึง 1,000,000 คน ในพื้นที่ กทม. ย่อมต้องเกิดความรุนแรง

ข้อพิพาทคือ พล.อ.พัลลภ ประกาศใช้กองทัพประชาชนโดยไม่ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงก่อน ซึ่ง เสธ.แดง ออกมาขู่ให้นายจตุพรขอโทษ พล.อ.พัลลภ และชี้แจงว่าจะใช้กองทัพประชาชนยึดอำนาจรัฐบาล และเมื่อทหารออกมาปราบจะทำอย่างไร นายจตุพร ต้องตอบให้ได้ เสธ.แดง พูดต่อไปว่า “ต้องใช้กำลังคนยึดสภา เพื่อนำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาใช้แทนฉบับปัจจุบัน และจะปราบกองทัพได้ต้องมี 4 ประการ คือ 1. ต้องมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย 2. ต้องเอาครอบครัวทหารทั้งหมดออกมาสยบทหารที่สนับสนุนรัฐบาล 3. ให้พลทหารอยู่บ้านกับครอบครัว พ่อแม่ 4. กองทัพประชาชนของทักษิณออกมาเป็นพวกส่งกำลังบำรุงให้กับคนเสื้อแดง

ความขัดแย้งเกิดจากเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ กลุ่มพล.อ.พัลลภ กับ พล.ต.ขัตติยะ ต้องการบริหารงบประมาณในการใช้จ่ายการรบครั้งนี้ และการเป็นผู้นำการล้มล้างรัฐบาลเพื่อผลภายหน้า จึงขัดกับกลุ่มนายจตุพร และพวกที่เป็นแกนนำมาก่อน บริหารงบประมาณการป่วนเมืองมาก่อน และต้องการอำนาจรัฐ รวมทั้งการยอมรับจากทักษิณว่าเป็นผู้มอบอำนาจรัฐกลับคืนให้ทักษิณ

เรื่องแตกเป็นก๊กนั้น เป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อก่อนสิ้นกรุงศรีอยุธยาก็เกิดก๊กต่างๆ แล้ว แต่เป็นเพียงรวมตัวเพื่อความอยู่รอดจากการปล้นฆ่าของพม่าและจากก๊กอื่นที่มาปล้นฆ่า แต่หลังจากวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 ราชอาณาจักรอยุธยาล่มสลาย บ้านเมืองอยู่ในสภาพมิคสัญญี มีการปล้น ฆ่า เผา ข่มขืนทั้งแผ่นดิน ก๊กต่างๆ จึงเกิดขึ้นเป็นปึกแผ่น เพราะพม่าไม่ต้องการเศวตฉัตรหรือเอาอยุธยาเป็นเมืองขึ้น แต่ต้องการปล้นเมือง จึงเกิดก๊กขึ้น 6 ก๊ก คือ

1. ก๊กสุกี้นายกอง นายทหารพม่าโจรใหญ่ที่ปล้นเมืองต่อไป แม้กระทั่งไม่มีอะไรให้ปล้นแล้ว ร่วมกับพวกทรยศชาติ เช่น นายทองอิน 2. ก๊กพระพิษณุโลก หรือนายเรือง 3. ก๊กเจ้าพระฝาง หรือสมีเรือน 4. ก๊กพระยานครศรีธรรมราช หรือหนู รวมทั้งก๊กเจ้าตากสิน อันเป็นก๊กที่มีอุดมการณ์รักชาติอย่างแท้จริง สู้ทนรบทัพจับศึกกับพม่าจนได้รับเอกราช และศักดิ์ศรีชาติคืนจากพม่า และสามารถปราบก๊กที่ต้องการเพียงอำนาจ โลภลาภ ยศ สรรเสริญ ขาดความเป็นไทยสำเร็จราบคาบ

ปัจจุบันสังคมไทยก็มีก๊กต่างๆ พอสมควร เห็นได้จากการแย่งชิงอำนาจรัฐด้วยกลยุทธ์ทางการเมือง หวังและคิดถึงแต่ประโยชน์เฉพาะตนและพวกเท่านั้น เห็นว่าศักดิ์ศรีตนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติบ้านเมือง แต่ก๊กที่อันตรายที่สุดในขณะนี้ คือ ก๊กทักษิณ หรือก๊กคนเสื้อแดง ที่มุ่งมั่นเพื่อตัวเองอย่างแท้จริง ระวังเทวดาที่คุ้มครองชาติไทยจะไม่ไว้ชีวิต อย่างเช่นชะตากรรมของคนที่มุ่งร้ายต่อแผ่นดินในอดีต

                 nidd.riddhagni@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น