ASTV ผู้จัดการรายวัน - “ส.ว.เรืองไกร” เลิกเป็นอีแอบ โดดขึ้นเวทีเสวนาเสื้อแดง ปวารณาตัวเองป้องทรัพย์ “นช.ทักษิณ” ลั่นคำพิพากษาศุกร์นี้ส่งผลต่อ ศก. จี้ “มาร์ค” ตอบเสียภาษีค่าส่งเอสเอ็มเอส 17 ล้านเบอร์ พร้อมทวง กกต.เอาผิดเงิน 258 ล้าน ปชป. ท้า “อภิสิทธิ์” ถอยยุบสภา
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวในงานเสวนา เรื่อง “ทิศทางประเทศไทยปี 2553” ว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐมนตรีไม่ว่าจะทำอะไร ซึ่งได้เคยร้องเรียนไปแล้วหลายครั้ง หากผู้บริหารบ้านเมืองใส่ใจ และดำเนินการเหมือนกันทุกกรณี แบบนี้ถือว่ามีมาตรฐานเดียว แต่ถ้าหากมีการตรวจสอบหนักไปด้านใดด้านหนึ่งก็จะเรียกว่าหลายมาตรฐาน โดยกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเอสเอ็มเอส 17 ล้านเบอร์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2551สมควรจะต้องเสียภาษีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ได้เงียบหายไปปีกว่า ปรากฏว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน นายอภิสิทธิ์ได้ระบุว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เสียภาษี อีกทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้ออกมาชี้แจงว่าไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยดำเนินการ คือ เรื่องเงิน 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีที่เอาเงิน กกต. ไปใช้ โดยประเด็นดังกล่าว ในเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้ร้องเรียนไปทาง กกต.แล้ว แต่ทำไมจนถึงปัจจุบัน กกต.ยังคงป่วยอยู่ ไม่ยอมวินิจฉัยเรื่องนี้ ทั้งที่มีหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
สำหรับการพิจารณาคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้มีความสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะทรัพย์สินจำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ยังคงเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งเท่าที่ตนศึกษาข้อมูลเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ทำให้ทราบว่า การที่กล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฏหมาย หรือเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ตรงนี้มีการตั้งข้อสงสัยกันว่า เงินขายหุ้น 76,000 ล้านบาททำไมไม่เสียภาษี ซึ่งเรื่องนี้ต้องไล่เรียงกันให้ชัดเจน
“เงิน 76,000 ล้านบาทได้มาอย่างไร ซึ่งจากการที่ผมติดตามเรื่องนี้ต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2543 ตระกูลชินวัตรกับดามาพงศ์ มีหุ้นก้อนนี้อยู่แล้ว โดยทั้งคุณหญิงพจมานและพ.ต.ท.ทักษิณ ได้แบ่งหุ้นออกไปให้กับนายพานทองแท้ บุตรชาย ต่อจากนั้นเมื่อ น.ส.พินทองทา บุตรสาวได้บรรลุนิติภาวะ ก็ได้ให้หุ้นผ่านทางตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน”
หลังจากที่ขายหุ้นได้เงินแล้ว ก็เกิดปัญหาว่าเงินก้อนนี้สมควรยึดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็บอกว่าน่าจะยึดบางส่วน ในขณะที่บางคนก็บอกว่าไม่สมควรยึด โดยข้อเท็จจริงแล้วพอตนได้เสาะแสวงหาข้อมูลว่า ถ้าหากคำนวณมูลค่าการขายเมื่อปี 2551 ได้ หุ้นละ 2 เท่าตัว วันนี้สมควรจะยึด 152,000 ล้านบาทใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากวันที่ 23 ม.ค.2551 ครอบครัวนายกฯ ทักษิณ ขายได้ครึ่งหนึ่ง วันนี้สมควรยึด 38,000 ล้านบาทใช่หรือไม่ ดังนั้น ยึดหรือไม่ยึดทั้งหมด มันไม่มีตรรกะที่ชัดเจน แต่ที่สำคัญ ตนจะไม่พูดเรื่องนี้ หากเอไอเอส ไม่มีปัญหาฟ้องร้องอยู่กับทีโอที ทำให้เป็นที่มาของการฟ้องร้องเรื่องการแปรสัญญาสัมปทานภาษีสรรพสามิต ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาได้อย่างไร
“การจ่ายภาษีสัมปทาน เอไอเอสต้องจ่ายให้ทีโอทีร้อยละ 25 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อต้นปี 2546 ไปตราพระราชกำหนดแก้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตและตรา พ.ร.ก.ภาษีพิกัดสรรพสามิต โดยเมื่อกุมภาพันธ์ก็ออกเป็นมติ ครม. พอถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ตัดสิน วันนั้นมี ส.ส.จำนวนมากไปยื่นคำร้อง ซึ่งผู้นำในวันนั้นชื่อ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงมีอยู่ในเว็บไซต์” นายเรืองไกรกล่าว
ช่วงต่อมา ผู้ดำเนินรายการได้ให้วิทยากรที่มาร่วมบรรยายพูดถึงความรู้สึกที่ พ.ต.ท.ทักษิณบรรยายไป นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่าไปสักระยะหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการก็ตัดบทแล้วถามว่าจริงๆ นายเรืองไกร "สีเหลือง" หรือ "สีแดง" ผู้คนในห้องเสวนาต่างรอฟังคำตอบ โดยนายเรืองไกร มองไปที่เนคไทสีแดงของตนเองแล้วชูขึ้นมานิดหน่อย พร้อมยิ้มก่อนกล่าวว่า ตนอยู่บนหลักและจุดยืนของตนเอง
นอกจากนี้ ในช่วงของการถาม-ตอบ นายเรืองไกร ยังแสดงความเห็นสอดคล้องกับผู้ร่วมเสวนาด้วยว่า เพื่อให้ความขัดแย้งในประเทศบรรเทาเบาบางลงและประเทศสามารถเดินหน้าต่อไป รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องยอมถอยด้วยการประกาศยุบสภาด้วย
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวในงานเสวนา เรื่อง “ทิศทางประเทศไทยปี 2553” ว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2550 ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐมนตรีไม่ว่าจะทำอะไร ซึ่งได้เคยร้องเรียนไปแล้วหลายครั้ง หากผู้บริหารบ้านเมืองใส่ใจ และดำเนินการเหมือนกันทุกกรณี แบบนี้ถือว่ามีมาตรฐานเดียว แต่ถ้าหากมีการตรวจสอบหนักไปด้านใดด้านหนึ่งก็จะเรียกว่าหลายมาตรฐาน โดยกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ส่งเอสเอ็มเอส 17 ล้านเบอร์ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2551สมควรจะต้องเสียภาษีหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ได้เงียบหายไปปีกว่า ปรากฏว่าเมื่ออาทิตย์ก่อน นายอภิสิทธิ์ได้ระบุว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เสียภาษี อีกทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ได้ออกมาชี้แจงว่าไม่จำเป็นต้องเสียภาษี
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่สมาชิกพรรคเพื่อไทยดำเนินการ คือ เรื่องเงิน 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ และกรณีที่เอาเงิน กกต. ไปใช้ โดยประเด็นดังกล่าว ในเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้ร้องเรียนไปทาง กกต.แล้ว แต่ทำไมจนถึงปัจจุบัน กกต.ยังคงป่วยอยู่ ไม่ยอมวินิจฉัยเรื่องนี้ ทั้งที่มีหน้าที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง
สำหรับการพิจารณาคดียึดทรัพย์ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้มีความสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะทรัพย์สินจำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ยังคงเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งเท่าที่ตนศึกษาข้อมูลเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี ทำให้ทราบว่า การที่กล่าวหาว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฏหมาย หรือเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย ตรงนี้มีการตั้งข้อสงสัยกันว่า เงินขายหุ้น 76,000 ล้านบาททำไมไม่เสียภาษี ซึ่งเรื่องนี้ต้องไล่เรียงกันให้ชัดเจน
“เงิน 76,000 ล้านบาทได้มาอย่างไร ซึ่งจากการที่ผมติดตามเรื่องนี้ต่อเนื่อง ทำให้รู้ว่าเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2543 ตระกูลชินวัตรกับดามาพงศ์ มีหุ้นก้อนนี้อยู่แล้ว โดยทั้งคุณหญิงพจมานและพ.ต.ท.ทักษิณ ได้แบ่งหุ้นออกไปให้กับนายพานทองแท้ บุตรชาย ต่อจากนั้นเมื่อ น.ส.พินทองทา บุตรสาวได้บรรลุนิติภาวะ ก็ได้ให้หุ้นผ่านทางตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน”
หลังจากที่ขายหุ้นได้เงินแล้ว ก็เกิดปัญหาว่าเงินก้อนนี้สมควรยึดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็บอกว่าน่าจะยึดบางส่วน ในขณะที่บางคนก็บอกว่าไม่สมควรยึด โดยข้อเท็จจริงแล้วพอตนได้เสาะแสวงหาข้อมูลว่า ถ้าหากคำนวณมูลค่าการขายเมื่อปี 2551 ได้ หุ้นละ 2 เท่าตัว วันนี้สมควรจะยึด 152,000 ล้านบาทใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากวันที่ 23 ม.ค.2551 ครอบครัวนายกฯ ทักษิณ ขายได้ครึ่งหนึ่ง วันนี้สมควรยึด 38,000 ล้านบาทใช่หรือไม่ ดังนั้น ยึดหรือไม่ยึดทั้งหมด มันไม่มีตรรกะที่ชัดเจน แต่ที่สำคัญ ตนจะไม่พูดเรื่องนี้ หากเอไอเอส ไม่มีปัญหาฟ้องร้องอยู่กับทีโอที ทำให้เป็นที่มาของการฟ้องร้องเรื่องการแปรสัญญาสัมปทานภาษีสรรพสามิต ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาได้อย่างไร
“การจ่ายภาษีสัมปทาน เอไอเอสต้องจ่ายให้ทีโอทีร้อยละ 25 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อต้นปี 2546 ไปตราพระราชกำหนดแก้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตและตรา พ.ร.ก.ภาษีพิกัดสรรพสามิต โดยเมื่อกุมภาพันธ์ก็ออกเป็นมติ ครม. พอถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ตัดสิน วันนั้นมี ส.ส.จำนวนมากไปยื่นคำร้อง ซึ่งผู้นำในวันนั้นชื่อ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงมีอยู่ในเว็บไซต์” นายเรืองไกรกล่าว
ช่วงต่อมา ผู้ดำเนินรายการได้ให้วิทยากรที่มาร่วมบรรยายพูดถึงความรู้สึกที่ พ.ต.ท.ทักษิณบรรยายไป นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่าไปสักระยะหนึ่ง ผู้ดำเนินรายการก็ตัดบทแล้วถามว่าจริงๆ นายเรืองไกร "สีเหลือง" หรือ "สีแดง" ผู้คนในห้องเสวนาต่างรอฟังคำตอบ โดยนายเรืองไกร มองไปที่เนคไทสีแดงของตนเองแล้วชูขึ้นมานิดหน่อย พร้อมยิ้มก่อนกล่าวว่า ตนอยู่บนหลักและจุดยืนของตนเอง
นอกจากนี้ ในช่วงของการถาม-ตอบ นายเรืองไกร ยังแสดงความเห็นสอดคล้องกับผู้ร่วมเสวนาด้วยว่า เพื่อให้ความขัดแย้งในประเทศบรรเทาเบาบางลงและประเทศสามารถเดินหน้าต่อไป รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องยอมถอยด้วยการประกาศยุบสภาด้วย