ถึงวันนี้ชัดเจนร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า วันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่จะเริ่มต้นขึ้นเวลา 13.00 น.ในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.53
**จะไม่มีการเลื่อนออกไป ไม่ว่าด้วยกรณีใดๆทั้งสิ้น
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะทุกอย่างตามหลักสัจธรรมของโลกคือ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติกับการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พบว่า แม้มีหลายกรณีที่อาจทำให้การอ่านคำพิพากษาตามกำหนดนัดวันที่ 26 ก.พ. ถูกเลื่อนออกไป
เช่น องค์คณะมาไม่ครบ 9 คน เพราะมีตุลาการผู้พิจารณาสำนวนคดียึดทรัพย์บางคนเกิดเจ็บป่วยรุนแรงแบบกะทันหัน
หรือการเขียนคำพิพากษาเสร็จไม่ทัน คือหลังจากองค์คณะทั้ง 9 คนอ่านความเห็นในการวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ส่วนตนเสร็จแล้ว แต่เมื่อนำความเห็นส่วนใหญ่มาเขียนเป็นคำพิพากษา ปรากฏว่ายังไม่แล้วเสร็จ เพราะมีรายละเอียดมากในการเขียนและจัดพิมพ์คำพิพากษาออกมาในวันดังกล่าว ซึ่งในทางปฏิบัติก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่ายากที่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้ จนหลายคนบอกว่า แทบปิดประตูไปได้เลย
ไม่มีทางที่จะมีเหตุให้การอ่านคำพิพากษาเลื่อนออกไปอย่างที่กระแสข่าวร่ำลืออย่างหนักในวงกว้าง เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
**โดยลือกันว่า มีบุคคลระดับสูงในบ้านเมืองบางคนแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเมืองหลังวันที่ 26 ก.พ. และเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่พร้อมพอกับการรับมือสิ่งที่จะตามมา หลังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์
**โดยเฉพาะเหตุวุ่นวายแบบสงครามใต้ดิน
**อาทิ การลอบวางระเบิดในที่สาธารณะที่จะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์ จึงต้องการให้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป จึงมีการประสานงานไปยังบุคคลระดับสูงในศาลฎีกาบางคน เพื่อแจ้งความเป็นห่วงใยในเรื่องนี้ต่อองค์คณะฯ
ข่าวลือดังกล่าว ถูกเร่งกระพืออย่างหนักถึงขั้นถูกนำไปกระซิบข้างหู พวกแมงเม่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ทว่าไม่ได้ผล เพราะบทเรียนเรื่อง “ข่าวลืออัปมงคล” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนหน้านี้ที่มีการสอบสวนจับกุมคนที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือดังกล่าว ทำให้ข่าวลือเรื่องการขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป ไม่ได้รับการสนองตอบเท่าที่ควร
อีกทั้งมีคำยืนยันจากฝ่ายศาลฎีกาฯออกมาหลายรอบว่า นัดหมาย 26 ก.พ. 53 ยากจะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
เห็นได้จากสัญญาณต่างๆ เช่น กรณีที่กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเจ้าภาพร่อนหนังสือเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงเดินทางไปทำข่าวที่ศาลฎีกาฯ เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้นักข่าว-ช่างภาพ ได้ถ่ายภาพห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ที่องค์คณะผู้พิจารณาสำนวนคดียึดทรัพย์จะพร้อมกันขึ้นนั่งบัลลังก์ เพื่ออ่านคำพิพากษายาวนานหลายชั่วโมงแบบทุกซอกทุกมุม
พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ มาบรรยายที่มาที่ไปของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ– อำนาจหน้าที่และขอบเขตการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ –การประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ เพื่อลงมติคัดเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาไปเป็นองค์คณะผู้พิจารณาสำนวนคดีที่ส่งมาให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิจารณา และวิธีพิจารณาคดีขององค์คณะฯ ซึ่งเป็นการพิจารณาแบบระบบไต่สวน ที่ให้องค์คณะทำหน้าที่ไต่สวนหาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีก่อนการตัดสินคดี
การที่กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเรื่องนี้ ถือว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้รู้กันดีว่าศาลฎีกาฯ เข้มงวดกวดขันระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบที่ทำการศาลฎีกา และศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างมาก
**หากไม่ใช่คนของศาลฎีกาฯไม่มีทางที่จะเดินทางผ่านรั้วของศาลฎีกาฯไปได้ อย่าว่าแต่จะขึ้นไปห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ที่คุมเข้ม ไม่ยอมให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องย่างกรายเข้าไปได้แบบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้เลย
จึงแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายศาลฎีกาฯได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลในการต้องการให้ประชาชนได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการพิจารณาและตัดสินคดีของศาลฎีกาฯว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร มีการเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ร้องคืออัยการ-คตส. และฝ่ายผู้ถูกร้องคือ ทักษิณ ชินวัตร และผู้ร้องคัดค้านคำสั่งยึดทรัพย์ เช่น พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ พานทองแท้ และพินทองทา ชินวัตร ได้สู้คดีกันอย่างไร
**อันย้ำให้เห็นว่าศาลฎีกาฯ พร้อมแล้วกับการรับมือทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น จะไม่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปอย่างที่มีกระแสข่าว ขอเพียงตอนนี้จะต้องพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้กับประชาชนว่า การตัดสินคดีของศาลฎีกาฯเป็นอย่างไร
ส่วนสิ่งที่จะเกิดหลัง 26 ก.พ.53 ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือก้อนอิฐ ก็พร้อมรับมือเสมอ
รวมถึงกรณีล่าสุดคำให้สัมภาษณ์ของ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง รองอัยการสูงสุด ที่ระบุว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับ นายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แล้วยืนยันว่า ขณะนี้การเตรียมพร้อมต่างๆ ของศาลฎีกาฯ เช่น ห้องพิจารณาคดี ระบบรักษาความปลอดภัย การถ่ายทอดเสียงออกมานอกห้องพิจารณาคดี เพื่อให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าไปในห้องพิจารณาคดีได้ ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะติดตามคดียึดทรัพย์ ด้วยการได้ฟังเสียงการอ่านคำพิพากษาตั้งแต่แผ่นแรก จนถึงแผ่นสุดท้ายแบบไม่มีชะงัก
**นี่ก็ยิ่งตอกย้ำ ไม่มีเลื่อน องค์คณะฯ นั่งบัลลังก์พิพากษาคดียึดทรัพย์แน่
**จะยึดหมด-ยึดบางส่วน หรือจะยกคำร้อง คนทั้งประเทศไม่มีรอเก้อแน่นอน
ยิ่งกับเหตุที่ว่าองค์คณะฯ จะไม่พร้อม ไม่มาหรือป่วย อันนี้ ยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะจะเกิดผลทางการเมืองทันที หากการอ่านคำตัดสินคดียึดทรัพย์ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นด้วยประการเช่นนี้ จะส่งผลต่อเครดิตความน่าเชื่อถือของศาลอย่างหนัก
และคงไม่มีองค์คณะฯคนไหนจะยอมให้ตัวเองตกเป็นเป้าถูกพูดถึงของคนทั้งประเทศไปได้ หากไม่มาร่วมอ่านความเห็นในการวินิจฉัยคดีส่วนตนต่อที่ประชุมองค์คณะฯและร่วมขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.
และอย่าลืมว่า ถึงขณะนี้ยังไม่เคยมีบรรทัดฐาน หรือแนวปฏิบัติว่าหากในวันอ่านคำพิพากษา องค์คณะฯมาไม่ครบ เช่น ป่วย จะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะทุกคดีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีสักครั้งที่องค์คณะฯ จะมาไม่ครบ จึงทำให้ไม่เคยมีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษา
ดังนั้น ต่อให้วันที่ 26 ก.พ. มีองค์คณะฯคนใดมาไม่ครบ ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าการอ่านคำพิพากษาจะถูกเลื่อนออกไป อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับการหารือร่วมกันขององค์คณะฯว่า จะเห็นควรอย่างไร
**แต่เชื่อเถอะ จะมีเหตุต้องเลื่อนด้วยเหตุจากองค์คณะฯ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน เอาแค่ดูรายชื่อองค์คณะแต่ละคน จะพบว่าล้วนเป็นระดับตุลาการชั้นผู้ใหญ่ของวงการศาลยุติธรรม ได้แก่ รองประธานศาลฎีกา-ประธานแผนกในศาลฎีกา และผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ที่ล้วนแล้วแต่มากด้วยชื่อเสียงเกียรติคุณที่สร้างมาจากการเป็นตุลาการมาทั้งชีวิต คงไม่มาทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าของสังคม กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้แน่นอน
เพราะแค่วันนี้ก็เห็นแล้วว่า กระแสสังคมมุ่งให้ความสนใจติดตามคดียึดทรัพย์ และจากนี้ไปข่าวลือ-ข่าวลวงต่างๆ จะยิ่งออกมามากต่อมาก ทั้งบนดิน และใต้ดิน
**อย่างล่าสุด ที่โฆษกพรรคการเมืองใหม่ สำราญ รอดเพชร ออกมาปูดเรื่องข่าวลือใต้ดิน ว่าจะมีการติด “สินบน” ตุลาการคดียึดทรัพย์คนละพันล้าน
ข่าวลือแบบนี้มันมีอยู่จริง และเป็นการปล่อยข่าวทั้งใต้ดิน-วงสนทนาการเมืองทั้งวงเล็ก-วงใหญ่ เพื่อดิสเครดิตศาล เพียงแต่ไม่มีใครนำมากระตุกเตือนสังคม จนทำให้คนไม่รู้ความจริงพลอยเชื่อไปด้วยคิดว่า ศาลติดสินบนได้
ก็ดีที่ สำราญ รอดเพชร ออกมาแพลมเสียก่อน เพื่อบอกกับสังคมว่าให้ระวัง เพราะเวลานี้มันกำลังเล่นสงครามการข่าวทุกอย่าง เพื่อหวังผลทางการเมือง ก่อนที่การตัดสินคดียึดทรัพย์ จะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.
เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ตัว นช.ทักษิณ-แกนนำเสื้อแดง พยายามดิสเครดิต คตส.ด้วยการบอกว่า คตส.มุ่งมั่นทำคดียึดทรัพย์เพราะต้องการจะได้ส่วนแบ่ง 25 % หากศาลตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท อันเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท
จนคนเสื้อแดงหลงเข้าใจผิดกันทั้งประเทศมาถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ระเบียบ คตส. ก็บอกชัดว่า คตส.ไม่มีสิทธิ์ได้ค่าตอบแทนอย่างอื่นนอกจากเงินเดือนเท่านั้น แถมคดียึดทรัพย์ก็ไม่มีการแจ้งเบาะแส หรือแจ้งการนำสืบให้ คตส.เพราะคดีนี้ คตส.สอบสวนเองทั้งหมด แล้วจะมีส่วนแบ่งได้อย่างไร
**เห็นหรือยังว่า การปั่นข่าว สร้างความเข้าใจผิดเช่นนี้ มันมีขึ้นจริง เพื่อหวังให้การตัดสินคดียึดทรัพย์ เกิดความปั่นป่วนทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ. ทุกฝ่ายจึงต้องรู้เท่าทันและเข้าใจการตัดสินคดียึดทรัพย์ให้ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นเหยื่อกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะใช้คดียึดทรัพย์มาปลุกกระแสเกลียดชังศาลยุติธรรม และขอความเห็นใจ ความสงสารให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร
---------------
(พรุ่งนี้ติดตาม เดินหน้าพิพากษา ยึดทรัพย์ทักษิณ ตอนสอง ว่าด้วยประเด็น องค์คณะลงมติอย่างไร- คำพิพากษาคดีใครเป็นคนเขียน และแผนป้องกันความปลอดภัย 9 ตุลาการคดียึดทรัพย์)
**จะไม่มีการเลื่อนออกไป ไม่ว่าด้วยกรณีใดๆทั้งสิ้น
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝัน เพราะทุกอย่างตามหลักสัจธรรมของโลกคือ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติกับการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พบว่า แม้มีหลายกรณีที่อาจทำให้การอ่านคำพิพากษาตามกำหนดนัดวันที่ 26 ก.พ. ถูกเลื่อนออกไป
เช่น องค์คณะมาไม่ครบ 9 คน เพราะมีตุลาการผู้พิจารณาสำนวนคดียึดทรัพย์บางคนเกิดเจ็บป่วยรุนแรงแบบกะทันหัน
หรือการเขียนคำพิพากษาเสร็จไม่ทัน คือหลังจากองค์คณะทั้ง 9 คนอ่านความเห็นในการวินิจฉัยคดียึดทรัพย์ส่วนตนเสร็จแล้ว แต่เมื่อนำความเห็นส่วนใหญ่มาเขียนเป็นคำพิพากษา ปรากฏว่ายังไม่แล้วเสร็จ เพราะมีรายละเอียดมากในการเขียนและจัดพิมพ์คำพิพากษาออกมาในวันดังกล่าว ซึ่งในทางปฏิบัติก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่ายากที่จะเกิดเหตุเช่นนั้นได้ จนหลายคนบอกว่า แทบปิดประตูไปได้เลย
ไม่มีทางที่จะมีเหตุให้การอ่านคำพิพากษาเลื่อนออกไปอย่างที่กระแสข่าวร่ำลืออย่างหนักในวงกว้าง เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
**โดยลือกันว่า มีบุคคลระดับสูงในบ้านเมืองบางคนแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การเมืองหลังวันที่ 26 ก.พ. และเห็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่พร้อมพอกับการรับมือสิ่งที่จะตามมา หลังการอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์
**โดยเฉพาะเหตุวุ่นวายแบบสงครามใต้ดิน
**อาทิ การลอบวางระเบิดในที่สาธารณะที่จะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์ จึงต้องการให้มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป จึงมีการประสานงานไปยังบุคคลระดับสูงในศาลฎีกาบางคน เพื่อแจ้งความเป็นห่วงใยในเรื่องนี้ต่อองค์คณะฯ
ข่าวลือดังกล่าว ถูกเร่งกระพืออย่างหนักถึงขั้นถูกนำไปกระซิบข้างหู พวกแมงเม่าในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ทว่าไม่ได้ผล เพราะบทเรียนเรื่อง “ข่าวลืออัปมงคล” ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนหน้านี้ที่มีการสอบสวนจับกุมคนที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือดังกล่าว ทำให้ข่าวลือเรื่องการขอให้ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไป ไม่ได้รับการสนองตอบเท่าที่ควร
อีกทั้งมีคำยืนยันจากฝ่ายศาลฎีกาฯออกมาหลายรอบว่า นัดหมาย 26 ก.พ. 53 ยากจะเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
เห็นได้จากสัญญาณต่างๆ เช่น กรณีที่กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเจ้าภาพร่อนหนังสือเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงเดินทางไปทำข่าวที่ศาลฎีกาฯ เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อให้นักข่าว-ช่างภาพ ได้ถ่ายภาพห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ที่องค์คณะผู้พิจารณาสำนวนคดียึดทรัพย์จะพร้อมกันขึ้นนั่งบัลลังก์ เพื่ออ่านคำพิพากษายาวนานหลายชั่วโมงแบบทุกซอกทุกมุม
พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ มาบรรยายที่มาที่ไปของการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ– อำนาจหน้าที่และขอบเขตการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ –การประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ เพื่อลงมติคัดเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาไปเป็นองค์คณะผู้พิจารณาสำนวนคดีที่ส่งมาให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิจารณา และวิธีพิจารณาคดีขององค์คณะฯ ซึ่งเป็นการพิจารณาแบบระบบไต่สวน ที่ให้องค์คณะทำหน้าที่ไต่สวนหาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีก่อนการตัดสินคดี
การที่กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการเรื่องนี้ ถือว่าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้รู้กันดีว่าศาลฎีกาฯ เข้มงวดกวดขันระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบที่ทำการศาลฎีกา และศาลฏีกาแผนกคดีอาญาฯ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันอย่างมาก
**หากไม่ใช่คนของศาลฎีกาฯไม่มีทางที่จะเดินทางผ่านรั้วของศาลฎีกาฯไปได้ อย่าว่าแต่จะขึ้นไปห้องพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ ที่คุมเข้ม ไม่ยอมให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องย่างกรายเข้าไปได้แบบเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาได้เลย
จึงแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายศาลฎีกาฯได้ให้ความร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลในการต้องการให้ประชาชนได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการพิจารณาและตัดสินคดีของศาลฎีกาฯว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร มีการเปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ร้องคืออัยการ-คตส. และฝ่ายผู้ถูกร้องคือ ทักษิณ ชินวัตร และผู้ร้องคัดค้านคำสั่งยึดทรัพย์ เช่น พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ พานทองแท้ และพินทองทา ชินวัตร ได้สู้คดีกันอย่างไร
**อันย้ำให้เห็นว่าศาลฎีกาฯ พร้อมแล้วกับการรับมือทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น จะไม่มีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปอย่างที่มีกระแสข่าว ขอเพียงตอนนี้จะต้องพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ ในการประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้กับประชาชนว่า การตัดสินคดีของศาลฎีกาฯเป็นอย่างไร
ส่วนสิ่งที่จะเกิดหลัง 26 ก.พ.53 ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือก้อนอิฐ ก็พร้อมรับมือเสมอ
รวมถึงกรณีล่าสุดคำให้สัมภาษณ์ของ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง รองอัยการสูงสุด ที่ระบุว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับ นายฐานันท์ วรรณโกวิท ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แล้วยืนยันว่า ขณะนี้การเตรียมพร้อมต่างๆ ของศาลฎีกาฯ เช่น ห้องพิจารณาคดี ระบบรักษาความปลอดภัย การถ่ายทอดเสียงออกมานอกห้องพิจารณาคดี เพื่อให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าไปในห้องพิจารณาคดีได้ ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะติดตามคดียึดทรัพย์ ด้วยการได้ฟังเสียงการอ่านคำพิพากษาตั้งแต่แผ่นแรก จนถึงแผ่นสุดท้ายแบบไม่มีชะงัก
**นี่ก็ยิ่งตอกย้ำ ไม่มีเลื่อน องค์คณะฯ นั่งบัลลังก์พิพากษาคดียึดทรัพย์แน่
**จะยึดหมด-ยึดบางส่วน หรือจะยกคำร้อง คนทั้งประเทศไม่มีรอเก้อแน่นอน
ยิ่งกับเหตุที่ว่าองค์คณะฯ จะไม่พร้อม ไม่มาหรือป่วย อันนี้ ยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะจะเกิดผลทางการเมืองทันที หากการอ่านคำตัดสินคดียึดทรัพย์ต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นด้วยประการเช่นนี้ จะส่งผลต่อเครดิตความน่าเชื่อถือของศาลอย่างหนัก
และคงไม่มีองค์คณะฯคนไหนจะยอมให้ตัวเองตกเป็นเป้าถูกพูดถึงของคนทั้งประเทศไปได้ หากไม่มาร่วมอ่านความเห็นในการวินิจฉัยคดีส่วนตนต่อที่ประชุมองค์คณะฯและร่วมขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.
และอย่าลืมว่า ถึงขณะนี้ยังไม่เคยมีบรรทัดฐาน หรือแนวปฏิบัติว่าหากในวันอ่านคำพิพากษา องค์คณะฯมาไม่ครบ เช่น ป่วย จะต้องเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะทุกคดีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีสักครั้งที่องค์คณะฯ จะมาไม่ครบ จึงทำให้ไม่เคยมีการเลื่อนการอ่านคำพิพากษา
ดังนั้น ต่อให้วันที่ 26 ก.พ. มีองค์คณะฯคนใดมาไม่ครบ ก็ยังไม่มีหลักประกันว่าการอ่านคำพิพากษาจะถูกเลื่อนออกไป อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับการหารือร่วมกันขององค์คณะฯว่า จะเห็นควรอย่างไร
**แต่เชื่อเถอะ จะมีเหตุต้องเลื่อนด้วยเหตุจากองค์คณะฯ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน เอาแค่ดูรายชื่อองค์คณะแต่ละคน จะพบว่าล้วนเป็นระดับตุลาการชั้นผู้ใหญ่ของวงการศาลยุติธรรม ได้แก่ รองประธานศาลฎีกา-ประธานแผนกในศาลฎีกา และผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ที่ล้วนแล้วแต่มากด้วยชื่อเสียงเกียรติคุณที่สร้างมาจากการเป็นตุลาการมาทั้งชีวิต คงไม่มาทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าของสังคม กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้แน่นอน
เพราะแค่วันนี้ก็เห็นแล้วว่า กระแสสังคมมุ่งให้ความสนใจติดตามคดียึดทรัพย์ และจากนี้ไปข่าวลือ-ข่าวลวงต่างๆ จะยิ่งออกมามากต่อมาก ทั้งบนดิน และใต้ดิน
**อย่างล่าสุด ที่โฆษกพรรคการเมืองใหม่ สำราญ รอดเพชร ออกมาปูดเรื่องข่าวลือใต้ดิน ว่าจะมีการติด “สินบน” ตุลาการคดียึดทรัพย์คนละพันล้าน
ข่าวลือแบบนี้มันมีอยู่จริง และเป็นการปล่อยข่าวทั้งใต้ดิน-วงสนทนาการเมืองทั้งวงเล็ก-วงใหญ่ เพื่อดิสเครดิตศาล เพียงแต่ไม่มีใครนำมากระตุกเตือนสังคม จนทำให้คนไม่รู้ความจริงพลอยเชื่อไปด้วยคิดว่า ศาลติดสินบนได้
ก็ดีที่ สำราญ รอดเพชร ออกมาแพลมเสียก่อน เพื่อบอกกับสังคมว่าให้ระวัง เพราะเวลานี้มันกำลังเล่นสงครามการข่าวทุกอย่าง เพื่อหวังผลทางการเมือง ก่อนที่การตัดสินคดียึดทรัพย์ จะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.
เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ตัว นช.ทักษิณ-แกนนำเสื้อแดง พยายามดิสเครดิต คตส.ด้วยการบอกว่า คตส.มุ่งมั่นทำคดียึดทรัพย์เพราะต้องการจะได้ส่วนแบ่ง 25 % หากศาลตัดสินยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท อันเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท
จนคนเสื้อแดงหลงเข้าใจผิดกันทั้งประเทศมาถึงทุกวันนี้ ทั้งที่ระเบียบ คตส. ก็บอกชัดว่า คตส.ไม่มีสิทธิ์ได้ค่าตอบแทนอย่างอื่นนอกจากเงินเดือนเท่านั้น แถมคดียึดทรัพย์ก็ไม่มีการแจ้งเบาะแส หรือแจ้งการนำสืบให้ คตส.เพราะคดีนี้ คตส.สอบสวนเองทั้งหมด แล้วจะมีส่วนแบ่งได้อย่างไร
**เห็นหรือยังว่า การปั่นข่าว สร้างความเข้าใจผิดเช่นนี้ มันมีขึ้นจริง เพื่อหวังให้การตัดสินคดียึดทรัพย์ เกิดความปั่นป่วนทั้งก่อนและหลังวันที่ 26 ก.พ. ทุกฝ่ายจึงต้องรู้เท่าทันและเข้าใจการตัดสินคดียึดทรัพย์ให้ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นเหยื่อกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีจะใช้คดียึดทรัพย์มาปลุกกระแสเกลียดชังศาลยุติธรรม และขอความเห็นใจ ความสงสารให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร
---------------
(พรุ่งนี้ติดตาม เดินหน้าพิพากษา ยึดทรัพย์ทักษิณ ตอนสอง ว่าด้วยประเด็น องค์คณะลงมติอย่างไร- คำพิพากษาคดีใครเป็นคนเขียน และแผนป้องกันความปลอดภัย 9 ตุลาการคดียึดทรัพย์)