หลากแง่หลายมุมเกี่ยวกับทฤษฎี
ทฤษฎีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การประกาศ “จุดเทียนปัญญา” ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน ในสภาวะเป็นจริงของประเทศไทยวันนี้ การต่อสู้ด้วยปัญญาของมวลมหาชนเท่านั้น จึงจะนำไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด
ทฤษฎีการเมืองใหม่ก็คือปัญญาที่เป็นระบบ สะท้อนการเข้าถึงความจริงในระดับแก่นแท้ที่มีความเป็นสัจธรรมของการเมืองประเทศไทย โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน ผู้แสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้
ทฤษฎีนี้จะทำหน้าที่ยึดโยงแนวคิด ทัศนะ และจุดยืนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ไว้บนฐานร่วมเดียวกัน ขับเคลื่อนไปบนเส้นทางเดียวกันตั้งแต่ต้นจนปลาย
จนถึงวันนี้ พอจะอธิบายได้ว่า ทฤษฎีการเมืองใหม่ เป็นปรัชญาการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่เริ่มจากความเป็นจริงแห่งยุคสมัย ยึดมั่นในความเป็นจริงของประเทศไทย และถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ทฤษฎีที่ถูกต้อง จะแสดงออกถึงอานุภาพยิ่งใหญ่เสมอ มีสถานภาพเป็น “อาวุธทางปัญญา” ของมวลมหาชนได้จริง สามารถพิสูจน์ตนเองในท่ามกลางการปฏิบัติที่เป็นจริงได้เสมอ
ผู้นำเสนอทฤษฎี มิใช่ผู้สร้างทฤษฎีโดยตรง แต่เป็นผู้ประมวลปรากฏการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ จากนั้นใช้ทักษะและความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งความเป็น “นักคิด” เฉพาะตน ทำการศึกษา กลั่นกรองหา “ความจริง” ในระดับที่ลึกซึ้งลงไป พบเห็น “ปมเงื่อน” หรือตัวกำหนดหลักที่แสดงบทบาทครอบงำ ชักนำตัวกำหนดอื่นๆ ให้ดำเนินไปบนเส้นทางของตนเอง ในที่สุดก็จะเกิด “จินตภาพ” ในระดับเหตุผลที่เป็นนามธรรม สะท้อนแก่นแท้ที่มีลักษณะกฎเกณฑ์กำหนดความเป็นไปของการเมืองในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน สามารถอธิบายซ้ำได้ทุกแง่ทุกมุม “โดยที่ยังไม่เคยมีใครอธิบายมาก่อน”
โดยนัยดังกล่าว ผู้เขียนหาใช่ผู้สร้างทฤษฎีไม่ แต่เป็นเพียงผู้นำเสนอทฤษฎี ทำหน้าที่ของผู้ที่สนใจใฝ่รู้ใน “ความจริง” เท่านั้นเอง
ผู้สร้างทฤษฎีตัวจริง คือ “ผู้สร้างปรากฏการณ์” ในปัจจุบันก็คือ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไล่เรียงไปตั้งแต่ 5 แกนนำ จนถึงมวลชนชาวพันธมิตรฯ ทุกผู้ทุกนาม
บางแง่บางมุมเกี่ยวกับทฤษฎีการเมืองใหม่
ปัจจุบันทฤษฎีการเมืองใหม่ ในส่วนที่ผู้เขียนนำเสนอหลักๆ ก็เช่น ทฤษฎีธูป 3 ดอก และทฤษฎี 3 ดาบกายสิทธิ์ เป็นต้น
ทฤษฎีธูป 3 ดอก นำเสนอหลักคิดสำคัญ 3 ประการคือ 1. ประชาชนเป็นเจ้าภาพ (ในการสร้างการเมืองใหม่) 2. (ด้วยการ) สร้างอำนาจประชาชน 3. (เพื่อ) ต่อสู้เอาชนะอำนาจกลุ่มทุนสามานย์(การเมืองเก่า) สถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจกลุ่มทุนสามานย์
เมื่อแกนนำพันธมิตรฯ ใช้หลักคิดทั้งสามนี้ประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวต่อสู้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในหมู่มวลชน จนกระทั่งสามารถโค่นล้มอำนาจการปกครองในระบอบทักษิณเป็นเบื้องต้น อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุทธการ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่” ที่มวลมหาชนชาวไทยเป็น “เจ้าภาพ”อย่างแท้จริง ตั้งแต่ต้นจนจบ
กระนั้น ลำพังทฤษฎีธูป 3 ดอก ยังไม่พอ ยังจำเป็นต้องสร้างทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” ขึ้นมาเสริม เพราะในระหว่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ประชาชนแสดงตนเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง สามารถสร้างอำนาจกำหนดอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้สำเร็จแล้วนั้น ลำพังอำนาจของประชาชนโดดๆ ยังไม่พอที่จะโค่นอำนาจปกครอง (รัฐบาลหุ่นเชิดสมัยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี) ของกลุ่มทุนสามานย์ เนื่องจากดุลอำนาจที่เป็นอยู่ยังไม่อาจนำไปสู่การพลิกกระดาน จำเป็นจะต้องอาศัย “อำนาจในระบบ” ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไปในทางที่เสริมอำนาจประชาชน จนกระทั่งอำนาจประชาชนอยู่ในฐานะ “เหนือกว่า”อำนาจปกครองของรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ(อย่างสัมพัทธ์หรือชั่วคราว) เช่น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน รัฐบาลหุ่นเชิดสมชายก็ล่มสลาย อำนาจปกครองในระบอบทักษิณก็พังครืน สถานการณ์การเมืองประเทศไทยพลิกผันครั้งใหญ่ กลุ่มการเมืองในระบอบทักษิณตกเป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา หมดความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐ กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณตกเป็นรองในทันที
อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของศาล และอำนาจอิทธิพลของฝ่ายทหาร ที่ร่วมกันกระทำต่อรัฐบาลหุ่นเชิดสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปลายปี 2551 ก็ด้วยการ “กำหนด” ของอำนาจประชาชน อันเกิดจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหญ่แบบ “ม้วนเดียวจบ” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยกขบวนรุกทะลวง “หัวใจ” ระบบอำนาจบริหารประเทศ ซึ่งก็คือสนามบินหลักทั้งสองแห่งของประเทศไทย (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) ยังผลให้การแสดงบทบาทของศาลและกองทัพเป็นไปในทิศทางที่ภาคประชาชนต้องการ เกิดอานุภาพจากการ “หลอมรวมกัน”ของอำนาจสามฝ่ายอย่างเฉียบพลัน กลายเป็นอำนาจทำลายล้างกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณในบัดดล
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมองเห็นสถานภาพที่เป็นจริงของอำนาจ “ดาบกายสิทธิ์” ทั้ง 3 นี้ให้ชัดเจน ว่าอำนาจประชาชนเป็นอำนาจกำหนดที่มีความยั่งยืนในตัว แสดงบทบาทเป็น “ผู้กำหนด” หรือ “ผู้กำกับ” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยความร่วมมือจากอำนาจในระบบที่เป็น “อำนาจหลัก” ในสังคมไทยสองฝ่าย คืออำนาจศาล และอำนาจกองทัพ ขณะที่อำนาจศาลและอำนาจกองทัพ แม้จะทรงไว้ซึ่งความเป็นสถาบันอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ แต่เมื่อแสดงบทบาทร่วมกับอำนาจประชาชนในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็จะอยู่ในฐานะ “อำนาจเสริมชั่วครั้งชั่วคราว”
ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” จึงนำมาใช้ได้ในคราวจำเป็น ขณะที่ทฤษฎี “ธูป 3 ดอก” จะต้องนำมาใช้ประสานกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดเวลา
โดยสารบบแล้ว ทฤษฎี “ธูป 3 ดอก” เป็นทฤษฎีตั้งต้น ส่วนทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” เป็นทฤษฎีต่อเนื่อง ทั้งสองทฤษฎีประกอบกันเข้าเป็น “ระบบทฤษฎี” ที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะนำไปใช้เป็นอาวุธ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคต แน่นอนที่สุด ณ วันนี้ ลำพังเพียงทฤษฎีทั้งสองนี้ ยังไม่พอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยได้อย่างรอบด้าน เบ็ดเสร็จ จำเป็นต้องสร้างทฤษฎีใหม่ๆ เสริมเพิ่มขึ้นอีก อุปมาต้นไม้ที่ยังอ่อนเยาว์ จะต้องเจริญเติบโต แตกกิ่งก้านสาขาจนได้ที่แล้วจึงจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ออกดอกออกผล
พิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ต้องมีอะไรต้องสงสัยหรือ “คาใจ” ต่อไปอีกแล้ว ว่า “ต้นไม้ใหญ่” แห่งขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ในสองมิติคือ มิติกายภาพ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ประกอบไปได้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ รวมถึงกลุ่ม องค์กร สหภาพแรงงาน ฯลฯ ตลอดจนพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยึดมั่นในแนวทางการเมืองใหม่ในทางใดทางหนึ่ง จะยิ่งพัฒนาเติบใหญ่
ในอีกมิติหนึ่ง คือ มิติทางปรัชญาและความคิดทฤษฎี จะปรากฏเป็นระบบปรัชญาและความคิดทฤษฎีที่สมบูรณ์รอบด้าน เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน พร้อมสำหรับการนำไปใช้ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติต่อสู้ในทุกรูปแบบและทุกสถานการณ์ กลายเป็นอาวุธทางปัญญาอันทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ความเติบใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ และความสมบูรณ์ของระบบความคิดทฤษฎี จะพัฒนาควบคู่กันไป อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นที่มาของกันและกัน ทั้งสองด้านของเหรียญนี้จะส่งเสริม ผลักใส เชื่อมโยง เกาะเกี่ยวซึ่งกันและกัน แปรเปลี่ยนไปเป็นซึ่งกันและกันอย่างไม่หยุดยั้ง ขบวนการฯ ยิ่งเติบใหญ่ ระบบความคิดทฤษฎียิ่งสมบูรณ์
ฉันใดฉันนั้น ระบบความคิดทฤษฎียิ่งสมบูรณ์รอบด้าน ขบวนการฯ ก็ยิ่งพัฒนาเข้มแข็ง เติบใหญ่ มี “เครื่องมือ” ที่ใช้ได้ใช้ดี เช่น “พรรคการเมืองใหม่” ที่เรากำลังช่วยกันสร้าง
ทฤษฎีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
การประกาศ “จุดเทียนปัญญา” ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน ในสภาวะเป็นจริงของประเทศไทยวันนี้ การต่อสู้ด้วยปัญญาของมวลมหาชนเท่านั้น จึงจะนำไปสู่ชัยชนะได้ในที่สุด
ทฤษฎีการเมืองใหม่ก็คือปัญญาที่เป็นระบบ สะท้อนการเข้าถึงความจริงในระดับแก่นแท้ที่มีความเป็นสัจธรรมของการเมืองประเทศไทย โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชน ผู้แสดงบทบาทเป็น “เจ้าภาพ” ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้
ทฤษฎีนี้จะทำหน้าที่ยึดโยงแนวคิด ทัศนะ และจุดยืนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ไว้บนฐานร่วมเดียวกัน ขับเคลื่อนไปบนเส้นทางเดียวกันตั้งแต่ต้นจนปลาย
จนถึงวันนี้ พอจะอธิบายได้ว่า ทฤษฎีการเมืองใหม่ เป็นปรัชญาการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่เริ่มจากความเป็นจริงแห่งยุคสมัย ยึดมั่นในความเป็นจริงของประเทศไทย และถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ทฤษฎีที่ถูกต้อง จะแสดงออกถึงอานุภาพยิ่งใหญ่เสมอ มีสถานภาพเป็น “อาวุธทางปัญญา” ของมวลมหาชนได้จริง สามารถพิสูจน์ตนเองในท่ามกลางการปฏิบัติที่เป็นจริงได้เสมอ
ผู้นำเสนอทฤษฎี มิใช่ผู้สร้างทฤษฎีโดยตรง แต่เป็นผู้ประมวลปรากฏการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ จากนั้นใช้ทักษะและความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งความเป็น “นักคิด” เฉพาะตน ทำการศึกษา กลั่นกรองหา “ความจริง” ในระดับที่ลึกซึ้งลงไป พบเห็น “ปมเงื่อน” หรือตัวกำหนดหลักที่แสดงบทบาทครอบงำ ชักนำตัวกำหนดอื่นๆ ให้ดำเนินไปบนเส้นทางของตนเอง ในที่สุดก็จะเกิด “จินตภาพ” ในระดับเหตุผลที่เป็นนามธรรม สะท้อนแก่นแท้ที่มีลักษณะกฎเกณฑ์กำหนดความเป็นไปของการเมืองในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน สามารถอธิบายซ้ำได้ทุกแง่ทุกมุม “โดยที่ยังไม่เคยมีใครอธิบายมาก่อน”
โดยนัยดังกล่าว ผู้เขียนหาใช่ผู้สร้างทฤษฎีไม่ แต่เป็นเพียงผู้นำเสนอทฤษฎี ทำหน้าที่ของผู้ที่สนใจใฝ่รู้ใน “ความจริง” เท่านั้นเอง
ผู้สร้างทฤษฎีตัวจริง คือ “ผู้สร้างปรากฏการณ์” ในปัจจุบันก็คือ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไล่เรียงไปตั้งแต่ 5 แกนนำ จนถึงมวลชนชาวพันธมิตรฯ ทุกผู้ทุกนาม
บางแง่บางมุมเกี่ยวกับทฤษฎีการเมืองใหม่
ปัจจุบันทฤษฎีการเมืองใหม่ ในส่วนที่ผู้เขียนนำเสนอหลักๆ ก็เช่น ทฤษฎีธูป 3 ดอก และทฤษฎี 3 ดาบกายสิทธิ์ เป็นต้น
ทฤษฎีธูป 3 ดอก นำเสนอหลักคิดสำคัญ 3 ประการคือ 1. ประชาชนเป็นเจ้าภาพ (ในการสร้างการเมืองใหม่) 2. (ด้วยการ) สร้างอำนาจประชาชน 3. (เพื่อ) ต่อสู้เอาชนะอำนาจกลุ่มทุนสามานย์(การเมืองเก่า) สถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจกลุ่มทุนสามานย์
เมื่อแกนนำพันธมิตรฯ ใช้หลักคิดทั้งสามนี้ประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวต่อสู้ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในหมู่มวลชน จนกระทั่งสามารถโค่นล้มอำนาจการปกครองในระบอบทักษิณเป็นเบื้องต้น อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุทธการ “ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่” ที่มวลมหาชนชาวไทยเป็น “เจ้าภาพ”อย่างแท้จริง ตั้งแต่ต้นจนจบ
กระนั้น ลำพังทฤษฎีธูป 3 ดอก ยังไม่พอ ยังจำเป็นต้องสร้างทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” ขึ้นมาเสริม เพราะในระหว่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ประชาชนแสดงตนเป็นเจ้าภาพอย่างแท้จริง สามารถสร้างอำนาจกำหนดอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้สำเร็จแล้วนั้น ลำพังอำนาจของประชาชนโดดๆ ยังไม่พอที่จะโค่นอำนาจปกครอง (รัฐบาลหุ่นเชิดสมัยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี) ของกลุ่มทุนสามานย์ เนื่องจากดุลอำนาจที่เป็นอยู่ยังไม่อาจนำไปสู่การพลิกกระดาน จำเป็นจะต้องอาศัย “อำนาจในระบบ” ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไปในทางที่เสริมอำนาจประชาชน จนกระทั่งอำนาจประชาชนอยู่ในฐานะ “เหนือกว่า”อำนาจปกครองของรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ(อย่างสัมพัทธ์หรือชั่วคราว) เช่น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคพลังประชาชน รัฐบาลหุ่นเชิดสมชายก็ล่มสลาย อำนาจปกครองในระบอบทักษิณก็พังครืน สถานการณ์การเมืองประเทศไทยพลิกผันครั้งใหญ่ กลุ่มการเมืองในระบอบทักษิณตกเป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา หมดความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐ กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณตกเป็นรองในทันที
อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของศาล และอำนาจอิทธิพลของฝ่ายทหาร ที่ร่วมกันกระทำต่อรัฐบาลหุ่นเชิดสมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปลายปี 2551 ก็ด้วยการ “กำหนด” ของอำนาจประชาชน อันเกิดจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ครั้งใหญ่แบบ “ม้วนเดียวจบ” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยกขบวนรุกทะลวง “หัวใจ” ระบบอำนาจบริหารประเทศ ซึ่งก็คือสนามบินหลักทั้งสองแห่งของประเทศไทย (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) ยังผลให้การแสดงบทบาทของศาลและกองทัพเป็นไปในทิศทางที่ภาคประชาชนต้องการ เกิดอานุภาพจากการ “หลอมรวมกัน”ของอำนาจสามฝ่ายอย่างเฉียบพลัน กลายเป็นอำนาจทำลายล้างกลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณในบัดดล
ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมองเห็นสถานภาพที่เป็นจริงของอำนาจ “ดาบกายสิทธิ์” ทั้ง 3 นี้ให้ชัดเจน ว่าอำนาจประชาชนเป็นอำนาจกำหนดที่มีความยั่งยืนในตัว แสดงบทบาทเป็น “ผู้กำหนด” หรือ “ผู้กำกับ” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยความร่วมมือจากอำนาจในระบบที่เป็น “อำนาจหลัก” ในสังคมไทยสองฝ่าย คืออำนาจศาล และอำนาจกองทัพ ขณะที่อำนาจศาลและอำนาจกองทัพ แม้จะทรงไว้ซึ่งความเป็นสถาบันอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ แต่เมื่อแสดงบทบาทร่วมกับอำนาจประชาชนในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็จะอยู่ในฐานะ “อำนาจเสริมชั่วครั้งชั่วคราว”
ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” จึงนำมาใช้ได้ในคราวจำเป็น ขณะที่ทฤษฎี “ธูป 3 ดอก” จะต้องนำมาใช้ประสานกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดเวลา
โดยสารบบแล้ว ทฤษฎี “ธูป 3 ดอก” เป็นทฤษฎีตั้งต้น ส่วนทฤษฎี “3 ดาบกายสิทธิ์” เป็นทฤษฎีต่อเนื่อง ทั้งสองทฤษฎีประกอบกันเข้าเป็น “ระบบทฤษฎี” ที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะนำไปใช้เป็นอาวุธ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในอนาคต แน่นอนที่สุด ณ วันนี้ ลำพังเพียงทฤษฎีทั้งสองนี้ ยังไม่พอที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยได้อย่างรอบด้าน เบ็ดเสร็จ จำเป็นต้องสร้างทฤษฎีใหม่ๆ เสริมเพิ่มขึ้นอีก อุปมาต้นไม้ที่ยังอ่อนเยาว์ จะต้องเจริญเติบโต แตกกิ่งก้านสาขาจนได้ที่แล้วจึงจะกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ออกดอกออกผล
พิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ต้องมีอะไรต้องสงสัยหรือ “คาใจ” ต่อไปอีกแล้ว ว่า “ต้นไม้ใหญ่” แห่งขบวนการการเมืองภาคประชาชนจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน ในสองมิติคือ มิติกายภาพ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ประกอบไปได้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ รวมถึงกลุ่ม องค์กร สหภาพแรงงาน ฯลฯ ตลอดจนพรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ยึดมั่นในแนวทางการเมืองใหม่ในทางใดทางหนึ่ง จะยิ่งพัฒนาเติบใหญ่
ในอีกมิติหนึ่ง คือ มิติทางปรัชญาและความคิดทฤษฎี จะปรากฏเป็นระบบปรัชญาและความคิดทฤษฎีที่สมบูรณ์รอบด้าน เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน พร้อมสำหรับการนำไปใช้ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติต่อสู้ในทุกรูปแบบและทุกสถานการณ์ กลายเป็นอาวุธทางปัญญาอันทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
ความเติบใหญ่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ และความสมบูรณ์ของระบบความคิดทฤษฎี จะพัฒนาควบคู่กันไป อิงอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นที่มาของกันและกัน ทั้งสองด้านของเหรียญนี้จะส่งเสริม ผลักใส เชื่อมโยง เกาะเกี่ยวซึ่งกันและกัน แปรเปลี่ยนไปเป็นซึ่งกันและกันอย่างไม่หยุดยั้ง ขบวนการฯ ยิ่งเติบใหญ่ ระบบความคิดทฤษฎียิ่งสมบูรณ์
ฉันใดฉันนั้น ระบบความคิดทฤษฎียิ่งสมบูรณ์รอบด้าน ขบวนการฯ ก็ยิ่งพัฒนาเข้มแข็ง เติบใหญ่ มี “เครื่องมือ” ที่ใช้ได้ใช้ดี เช่น “พรรคการเมืองใหม่” ที่เรากำลังช่วยกันสร้าง