ปัจจุบัน การเมืองใหม่ ได้ก้าวมาถึงขั้นการ “สร้างคน”
มองด้วยสายตาของผู้ทำงานด้านทฤษฎี สามารถตีความ หรือสะท้อนถึงนัยสำคัญของการ “ก้าวมาถึง” ได้ว่า การเมืองใหม่ได้พัฒนามาแล้ว “สามก้าวใหญ่” คือ
ก้าวแรก สร้างขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอุดมการณ์การเมืองใหม่ได้สำเร็จ
ก้าวที่สอง ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ กองหน้าของขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้สำเร็จ
ก้าวที่สาม ดำเนินการสร้างคนการเมืองใหม่อย่างเป็นระบบ
มองในเชิงกระบวนการขับเคลื่อน ก็จะเห็นถึงความเชื่อมโยงกันของความเป็น “เหตุปัจจัย” ซึ่งกันและกันของพัฒนาการสามก้าวนี้ เห็นถึงกฎเกณฑ์พัฒนาการของการเมืองใหม่ประเทศไทย ที่ไม่มีใครหักล้างหรือปฏิเสธได้ หากเขาผู้นั้นพร้อมที่จะยอมรับความเป็นจริง
นั่นคือ ยอมรับว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอุบัติขึ้นตามความจำเป็นของสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังจะตกเป็นสมบัติส่วนตัวของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ มวลชนชาวไทยไม่มีทางเลือกต้องรวมตัวกันเข้าดำเนินการต่อสู้ขับไล่และโค่นล้มระบอบทักษิณ ในที่สุดก็นำมาซึ่งอุดมการณ์การเมืองใหม่
ในทางการเมือง อุดมการณ์การเมืองใหม่ ก็คือ “ธง” ชี้นำการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ซึ่งในทางปฏิบัติ จำเป็นจะต้องสร้างเครื่องมือทางการเมืองที่จำเป็นขึ้นมาเป็นหัวหอกขับเคลื่อน เพื่อให้อุดมการณ์การเมืองใหม่ปรากฏเป็นจริง การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พรรคการเมืองใหม่ที่เป็นเครื่องมือของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอุดมการณ์ เกิดจากมติร่วมกันของมวลมหาชนชาวพันธมิตรฯ ในตัวเองจึงมีศักยภาพพิเศษเหนือพรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ การสร้างคนการเมืองใหม่จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่สุด เพื่อขับเคลื่อนการทำงานของพรรคการเมืองใหม่ ตามความเรียกร้องต้องการของสถานการณ์และยุคสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพพิเศษของตนเองอย่างแท้จริง จึงเป็น “ยุทธศาสตร์ใหญ่” ของพรรคการเมืองใหม่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในบริบทหรือสภาพแวดล้อมทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ ที่อำนาจบริหารประเทศส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในมือของนักการเมืองน้ำเน่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ยังขาดมาตรการจัดการปัญหาการทุจริตโกงกินของนักการเมืองในสังกัด และข้าราชการในสายบังคับบัญชา พฤติกรรมคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในแทบทุกด้าน สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติประชาชนอย่างยิ่งยวด ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ยังอยู่ในระยะเพิ่งก่อตั้ง มีงานมากมายต้องลงมือ “เริ่ม” ทำ การพัฒนาและสร้างคนการเมืองใหม่จึงต้องเร่งดำเนินการ ควบคู่ไปกับการสะสางปัญหาต่างๆ ซึ่งปัญหาไม่น้อยมาจาก “คน” ภายในขบวนการฯ เอง
กลุ่มเป้าหมายแรกที่เราจะสร้างความเป็นคนการเมืองใหม่ขึ้นมา ก็คือผู้ปฏิบัติงานในระดับต่างๆ
คนกลุ่มนี้ ปัจจุบันกำลังแสดงบทบาทเป็นข้อต่อหรือฟันเฟืองหรือ “คานงัด” สำคัญยิ่งยวดของการสร้างพรรคการเมืองใหม่ให้เข้มแข็ง ทั้งการขยายสมาชิก การก่อตั้งสาขาพรรคและศูนย์ประสานงานพรรค เพื่อรองรับการขับเคลื่อนทางด้านการเมืองของพรรค ทั้งในรูปนโยบายและการตระเตรียมบุคคลที่จะเป็นตัวแทนของพรรคก้าวขึ้นสู่เวทีเลือกตั้ง
พวกเขาจะต้องเร่งปรับตัวเองให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในทุกๆ ด้าน ในทันที มิเช่นนั้น กระบวนการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ ที่พรรคการเมืองใหม่อยู่ในฐานะ “หัวหอก” จะสะดุด พลาดจังหวะและโอกาส ซึ่งในที่สุดจะทำให้สังคมไทยผิดหวัง กระทั่ง “สิ้นหวัง” ต่อพรรคฯ และขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะคือความเสื่อมศรัทธาต่อ “การเมืองใหม่”
จุดเริ่มต้นของการปรับปรุง พัฒนา หรือสร้างคนการเมืองใหม่อยู่ตรงไหน? อะไรคือมาตรฐานขั้นต้นของคุณสมบัติผู้ปฏิบัติงานพรรคการเมืองใหม่?
ในทัศนะของผู้เขียน ที่มีส่วนรับผิดชอบงาน “สร้างคน” ของสถาบันการเมืองใหม่ หน่วยงานหนึ่งของพรรคการเมืองใหม่ เห็นว่า ผู้ปฏิบัติงานพรรคการเมืองใหม่ทุกระดับ จะต้องเริ่มปรับปรุง ยกระดับ พัฒนาด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรของสถาบันการเมืองใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
มาตรฐานขั้นต่ำก็คือ “ทำงานได้ ทำงานเป็น”
ทำงานได้ หมายถึงพร้อมรับผิดชอบการงานที่ได้รับมอบหมาย ทั้งในด้านความรู้ความสามารถ ที่สำคัญคือมี “จิตอาสา” พร้อมสละเวลาส่วนตัวมาทำงานส่วนรวมอย่างไม่มีเงื่อนไข
ทำงานเป็น หมายถึงรู้จักทำงานร่วมกับคนอื่น รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน ซึ่งจะต้องถือเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้งเสมอ
การทำงานเป็นยังมีความหมายถึงการทำงานกับผู้นำให้เป็น เช่น เมื่อมีปัญหาจะต้องหาทางแก้ไขด้วยสติปัญญารวมหมู่ ระดมสมองของทีมงานอย่างเต็มที่ จนกระทั่งได้ข้อสรุปแล้วจึงนำเสนอต่อฝ่ายนำหรือผู้นำ ต้องหลีกเลี่ยงการ “เตะผ่าน” ปัญหาไปยังผู้นำโดยไม่ผ่านการทำงานของตนเองอย่างเต็มที่เสียก่อน
การทำงานกับฝ่ายนำหรือผู้นำเช่นนี้ สะท้อนถึงความ “ถนอมรัก” ผู้นำ ไม่ปล่อยให้ผู้นำเผชิญกับปัญหาสารพัด และเมื่อมีเสียงครหาหรือตำหนิติเตียน โจมตีจากฝ่ายต่างๆ ก็ชี้นิ้วโยนความรับผิดชอบให้แก่ผู้นำ ทำให้ผู้นำ “รับเละ” ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการเอาตัวเองรอด ปล่อยให้ผู้นำตกเป็นเป้ารับคมหอกคมดาบแต่เดียวดาย
การถนอมรักฝ่ายนำหรือผู้นำของพรรคฯ ในทางปฏิบัติก็คือต้องหาทาง “ช่วย” ผู้นำในทุกๆ เรื่อง ด้วยการปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จ ให้ผู้นำสามารถขับเคลื่อนงานของพรรคในระดับองค์รวมได้อย่างมั่นใจ
นี่คือนัยของการ “ทำงานเป็น” ในบริบทของการทำงานร่วมกันภายในพรรค
ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเร่งพัฒนา ยกระดับ ปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้มีอุดมการณ์ มีความคิด มีแนวคิด มีทฤษฎี มีหลักวิธีในการคิดและการทำงาน หรือ “คิดเป็น ทำเป็น” เพื่อให้สามารถ “ทำได้ ทำเป็น” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้การพัฒนาขยายตัวของพรรคการเมืองใหม่ เครือข่ายพันธมิตรฯ ตลอดจนขบวนการการเมืองภาคประชาชนดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สามารถแสดงบทบาทเป็น “ปัจจัยกำหนด” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ได้ตามเจตนารมณ์ของมวลมหาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คือกระบวนการสร้าง “เอกลักษณ์” หรือ “โมเดล” โดยรวมของคนการเมืองใหม่ที่แตกต่างไปจากคนการเมืองเก่า แตกต่างไปจากคนทำงานทั่วๆ ไป
เป็น “คุณสมบัติร่วม” ที่จะต้องสร้างขึ้นมาในท่ามกลางการทำงาน การเคลื่อนไหว การต่อสู้ ทั้งด้วยความพยายามของตนเอง และด้วยระบบ กลไก การศึกษา อบรม ของพรรคฯ
มองด้วยสายตาของผู้ทำงานด้านทฤษฎี สามารถตีความ หรือสะท้อนถึงนัยสำคัญของการ “ก้าวมาถึง” ได้ว่า การเมืองใหม่ได้พัฒนามาแล้ว “สามก้าวใหญ่” คือ
ก้าวแรก สร้างขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอุดมการณ์การเมืองใหม่ได้สำเร็จ
ก้าวที่สอง ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ กองหน้าของขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้สำเร็จ
ก้าวที่สาม ดำเนินการสร้างคนการเมืองใหม่อย่างเป็นระบบ
มองในเชิงกระบวนการขับเคลื่อน ก็จะเห็นถึงความเชื่อมโยงกันของความเป็น “เหตุปัจจัย” ซึ่งกันและกันของพัฒนาการสามก้าวนี้ เห็นถึงกฎเกณฑ์พัฒนาการของการเมืองใหม่ประเทศไทย ที่ไม่มีใครหักล้างหรือปฏิเสธได้ หากเขาผู้นั้นพร้อมที่จะยอมรับความเป็นจริง
นั่นคือ ยอมรับว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอุบัติขึ้นตามความจำเป็นของสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังจะตกเป็นสมบัติส่วนตัวของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ มวลชนชาวไทยไม่มีทางเลือกต้องรวมตัวกันเข้าดำเนินการต่อสู้ขับไล่และโค่นล้มระบอบทักษิณ ในที่สุดก็นำมาซึ่งอุดมการณ์การเมืองใหม่
ในทางการเมือง อุดมการณ์การเมืองใหม่ ก็คือ “ธง” ชี้นำการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ซึ่งในทางปฏิบัติ จำเป็นจะต้องสร้างเครื่องมือทางการเมืองที่จำเป็นขึ้นมาเป็นหัวหอกขับเคลื่อน เพื่อให้อุดมการณ์การเมืองใหม่ปรากฏเป็นจริง การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พรรคการเมืองใหม่ที่เป็นเครื่องมือของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีอุดมการณ์ เกิดจากมติร่วมกันของมวลมหาชนชาวพันธมิตรฯ ในตัวเองจึงมีศักยภาพพิเศษเหนือพรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ การสร้างคนการเมืองใหม่จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่สุด เพื่อขับเคลื่อนการทำงานของพรรคการเมืองใหม่ ตามความเรียกร้องต้องการของสถานการณ์และยุคสมัย เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพพิเศษของตนเองอย่างแท้จริง จึงเป็น “ยุทธศาสตร์ใหญ่” ของพรรคการเมืองใหม่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในบริบทหรือสภาพแวดล้อมทางการเมืองของประเทศไทยขณะนี้ ที่อำนาจบริหารประเทศส่วนใหญ่ยังตกอยู่ในมือของนักการเมืองน้ำเน่า พรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ยังขาดมาตรการจัดการปัญหาการทุจริตโกงกินของนักการเมืองในสังกัด และข้าราชการในสายบังคับบัญชา พฤติกรรมคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ ยังปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในแทบทุกด้าน สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติประชาชนอย่างยิ่งยวด ขณะที่พรรคการเมืองใหม่ยังอยู่ในระยะเพิ่งก่อตั้ง มีงานมากมายต้องลงมือ “เริ่ม” ทำ การพัฒนาและสร้างคนการเมืองใหม่จึงต้องเร่งดำเนินการ ควบคู่ไปกับการสะสางปัญหาต่างๆ ซึ่งปัญหาไม่น้อยมาจาก “คน” ภายในขบวนการฯ เอง
กลุ่มเป้าหมายแรกที่เราจะสร้างความเป็นคนการเมืองใหม่ขึ้นมา ก็คือผู้ปฏิบัติงานในระดับต่างๆ
คนกลุ่มนี้ ปัจจุบันกำลังแสดงบทบาทเป็นข้อต่อหรือฟันเฟืองหรือ “คานงัด” สำคัญยิ่งยวดของการสร้างพรรคการเมืองใหม่ให้เข้มแข็ง ทั้งการขยายสมาชิก การก่อตั้งสาขาพรรคและศูนย์ประสานงานพรรค เพื่อรองรับการขับเคลื่อนทางด้านการเมืองของพรรค ทั้งในรูปนโยบายและการตระเตรียมบุคคลที่จะเป็นตัวแทนของพรรคก้าวขึ้นสู่เวทีเลือกตั้ง
พวกเขาจะต้องเร่งปรับตัวเองให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติงานในทุกๆ ด้าน ในทันที มิเช่นนั้น กระบวนการขับเคลื่อนการเมืองใหม่ ที่พรรคการเมืองใหม่อยู่ในฐานะ “หัวหอก” จะสะดุด พลาดจังหวะและโอกาส ซึ่งในที่สุดจะทำให้สังคมไทยผิดหวัง กระทั่ง “สิ้นหวัง” ต่อพรรคฯ และขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะคือความเสื่อมศรัทธาต่อ “การเมืองใหม่”
จุดเริ่มต้นของการปรับปรุง พัฒนา หรือสร้างคนการเมืองใหม่อยู่ตรงไหน? อะไรคือมาตรฐานขั้นต้นของคุณสมบัติผู้ปฏิบัติงานพรรคการเมืองใหม่?
ในทัศนะของผู้เขียน ที่มีส่วนรับผิดชอบงาน “สร้างคน” ของสถาบันการเมืองใหม่ หน่วยงานหนึ่งของพรรคการเมืองใหม่ เห็นว่า ผู้ปฏิบัติงานพรรคการเมืองใหม่ทุกระดับ จะต้องเริ่มปรับปรุง ยกระดับ พัฒนาด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรของสถาบันการเมืองใหม่ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
มาตรฐานขั้นต่ำก็คือ “ทำงานได้ ทำงานเป็น”
ทำงานได้ หมายถึงพร้อมรับผิดชอบการงานที่ได้รับมอบหมาย ทั้งในด้านความรู้ความสามารถ ที่สำคัญคือมี “จิตอาสา” พร้อมสละเวลาส่วนตัวมาทำงานส่วนรวมอย่างไม่มีเงื่อนไข
ทำงานเป็น หมายถึงรู้จักทำงานร่วมกับคนอื่น รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน ซึ่งจะต้องถือเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นตัวตั้งเสมอ
การทำงานเป็นยังมีความหมายถึงการทำงานกับผู้นำให้เป็น เช่น เมื่อมีปัญหาจะต้องหาทางแก้ไขด้วยสติปัญญารวมหมู่ ระดมสมองของทีมงานอย่างเต็มที่ จนกระทั่งได้ข้อสรุปแล้วจึงนำเสนอต่อฝ่ายนำหรือผู้นำ ต้องหลีกเลี่ยงการ “เตะผ่าน” ปัญหาไปยังผู้นำโดยไม่ผ่านการทำงานของตนเองอย่างเต็มที่เสียก่อน
การทำงานกับฝ่ายนำหรือผู้นำเช่นนี้ สะท้อนถึงความ “ถนอมรัก” ผู้นำ ไม่ปล่อยให้ผู้นำเผชิญกับปัญหาสารพัด และเมื่อมีเสียงครหาหรือตำหนิติเตียน โจมตีจากฝ่ายต่างๆ ก็ชี้นิ้วโยนความรับผิดชอบให้แก่ผู้นำ ทำให้ผู้นำ “รับเละ” ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการเอาตัวเองรอด ปล่อยให้ผู้นำตกเป็นเป้ารับคมหอกคมดาบแต่เดียวดาย
การถนอมรักฝ่ายนำหรือผู้นำของพรรคฯ ในทางปฏิบัติก็คือต้องหาทาง “ช่วย” ผู้นำในทุกๆ เรื่อง ด้วยการปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จ ให้ผู้นำสามารถขับเคลื่อนงานของพรรคในระดับองค์รวมได้อย่างมั่นใจ
นี่คือนัยของการ “ทำงานเป็น” ในบริบทของการทำงานร่วมกันภายในพรรค
ด้วยเหตุนี้ ผู้ปฏิบัติงานจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเร่งพัฒนา ยกระดับ ปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้มีอุดมการณ์ มีความคิด มีแนวคิด มีทฤษฎี มีหลักวิธีในการคิดและการทำงาน หรือ “คิดเป็น ทำเป็น” เพื่อให้สามารถ “ทำได้ ทำเป็น” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้การพัฒนาขยายตัวของพรรคการเมืองใหม่ เครือข่ายพันธมิตรฯ ตลอดจนขบวนการการเมืองภาคประชาชนดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สามารถแสดงบทบาทเป็น “ปัจจัยกำหนด” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ได้ตามเจตนารมณ์ของมวลมหาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คือกระบวนการสร้าง “เอกลักษณ์” หรือ “โมเดล” โดยรวมของคนการเมืองใหม่ที่แตกต่างไปจากคนการเมืองเก่า แตกต่างไปจากคนทำงานทั่วๆ ไป
เป็น “คุณสมบัติร่วม” ที่จะต้องสร้างขึ้นมาในท่ามกลางการทำงาน การเคลื่อนไหว การต่อสู้ ทั้งด้วยความพยายามของตนเอง และด้วยระบบ กลไก การศึกษา อบรม ของพรรคฯ