ASTVผู้จัดการรายวัน – “เทือก” เสนอตั้งคตม.สกัดเหตุป่วน พร้อมใช้กฎหมายพิเศษสั่งตำรวจ-ทหารควบคุมสถานการณ์ กำชับทุกกระทรวงเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัย รับมีจุดเสี่ยงหลายจุด ตั้งทีมเฉพาะกิจร่วมอารักขาองค์คณะคดียึดทรัพย์แม้วเข้มจัดที่พักพิเศษความปลอดภัยสูงก่อนดีเดย์อ่านคำพิพากษา 26 ก.พ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวานนี้ (15 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้นั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คันใหม่เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อปฏิบัติภารกิจตามปกติ โดยเปลี่ยนจากรถเบนซ์ เป็นรถแลนด์โรเวอร์สกันกระสุน ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการดูแล ความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.หลังเกิดเหตุวางระเบิดสร้างสถานการณ์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพณิชย์การพระนคร และเหตุวางระเบิดที่ศาลฎีกาว่า ตนจะประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของทุกกระทรวงให้กำชับไปยังหน่วยงานทุกหน่วยงานว่า สถานที่สำคัญของตัวเองจะต้องดูแลอย่างเข้มข้น จะหวังพึ่งเฉพาะเจ้าหน้าที่จากภายนอก หรือเจ้าหน้าที่ ฝ่ายความมั่นคงอย่างเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตา และหามาตรการช่วยกันดูแล เพราะเราทราบว่ามีเป้าหมายในเรื่องของสถานที่
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุยิงระเบิด เอ็ม 79 ใกล้ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นศูนย์อำนาจ ของรัฐบาล และลอบวางระเบิดใกล้ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจตุลาการจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้จะเข้มงวดขันและซักซ้อมความเข้าใจกับทุกหน่วยงาน เพราะจริงๆ แล้วตอนที่เราประเมินสถานการณ์กันในการประชุม เราก็ทราบว่ามีเป้าหมายเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่ และมีสถานที่สำคัญอยู่หลายแห่งที่คาดว่าเป็นเป้าหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าสิ่งสำคัญเวลาเกิดเหตุแต่ละครั้งไม่สามารถจับใครได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องกำชับเร่งรัดไป ซึ่งทางหน่วยงานจะต้องมีภาพเหตุการณ์ เพราะมีกล้องวงจรปิด ต้องเร่งรัดทำตรงนี้ให้ได้
“มาร์ค” ถกปลัดฯ ดูแลหน่วยงานตัวเอง
วันเดียวกันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ที่กระทรวงมหาดไทย หลังการประชุม นายปณิธาน วัฒนายากร รอง เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตี ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ทบวง กรม เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เพื่อให้เตรียมข้อมูล ที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะชี้แจง
“นายกฯก็ได้ยืนยันกับทางปลัดกระทรวงว่า รัฐบาลไม่มีความขัดแย้งกับใคร ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากความรุนแรงบ้างในทางการเมือง แต่มีแผน ก็มีระบบเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยเรียบร้อย ขอให้ทุกส่วนราชการเฝ้าระวังดูแลสถานที่ราชการ ของตนเองให้ดี และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และต้องมีระบบในการดูแลรักษาความเรียบร้อยสถานที่ราชการด้วย โดยต้องเฝ้าระวังในเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบจากการชุมนุมหรืออะไรที่จะมีการพัฒนาไปก็ให้มีการเฝ้าระวังให้ดี สถานที่ราชการ สำคัญของหน่วยราชการที่ถูกระเบิดก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากจุดตรวจที่มีอยู่กว่า 200 จุด จะเพิ่มอีกจุด นายปณิธาน กล่าวว่า เพิ่ม 100 กว่าจุดก่อน และก็ดูความเหมาะสมเป็นลำดับต่อไปว่าควรจะเพิ่มหรือลด ส่วนวันที่ 26 ก.พ.กำลังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์อยู่ ส่วนสถานที่ราชการที่ต้องดูแลคือ ทำเนียบฯ องค์กรอิสระ สถาบันตุลาการ
“สุเทพ” รับเหตุบึ้มเกินกว่าที่คาด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีการประชุมฝ่ายความมั่นคงที่ กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อประเมินสถานการณ์ เหตุที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2 วันที่ผ่านมาดูแล้วมันมากเกินกว่า เราคาดการณ์เอาไว้พอสมควร เช่น กรณีใช้ M 79 ยิงมา หรือกรณีที่ไป วางระเบิดที่ศาลฎีกา ดังนั้นฝ่ายความมั่นคง ก็คงจะต้องมีการปรับวิธีการทำงาน ให้มากเป็นพิเศษ เช่น ให้มีหน่วยลาดตระเวนที่เดินเท้า หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งต้องทำกันอย่างเต็มที่
ส่วนทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นคนกลุ่มเดียวกันที่ทำหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เอาว่าเป็นข้อสงสัยก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปสรุป ตนพยายามระมัดระวังไม่ไปกล่าวหาใคร ง่าย ๆ รอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อถามว่าแล้วเหตุการณ์รถยนต์แทรกขบวนของนายกรัฐมนตรีที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำไมจับกุมไม่ได้ นายสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่พยายามดำเนินการอยู่ ใครที่เป็นผู้สงสัยก็จะทำทุกอย่างที่กฎหมายให้ไว้ ส่วนการรักษาความปลอดภัยนายกฯนั้นเจ้าหน้าที่ ที่ติดตามก็จะมีหน้าที่ดูแลนายกฯให้ถึงที่หมาย ส่วนการจับกุมก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งก็พยายามอยู่ ซึ่งเป็นคนละภารกิจกัน
สั่งเช็ครายบุคคลใครทำผิดฟันทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังการประชุม นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมได้กำหนดมาตรการในการป้องกันเหตุร้ายให้มีโอกาสเกิดขึ้น น้อยที่สุด โดยจะทำหลายระดับ ตั้งแต่เฝ้าระวังสถานที่ราชการ โดยแบ่งเป็นเป็น ในส่วนของ กทม. ให้ พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. เป็นผู้รับผิดชอบจัดกำลัง ตั้งจุดตรวจค้นอาวุธต่างๆ และให้มีการจัดชุดลาดตระเวน ตรวจสถานที่สำคัญ ๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้กำลังมากเนื่องจากต้องจัดจำนวนหลายจุด ดังนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหารไปเป็นเจ้าพนักงานผู้ช่วยตำรวจด้วย
สำหรับในต่างจังหวัดนั้นได้มอบให้แม่ทัพภาค และ ผอ.กอ.รมน.ภาค รวมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดไปดำเนินการจัดทำแผนป้องกันรักษาสถานที่ราชการ ต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกัน สำหรับบุคคลสำคัญ ๆ ก็จะจัดกำลังดูแลอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น
นอกจากนี้จะให้มีคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายติดตามดูแลพฤติกรรมของบุคคล ต่างๆ ถ้ามีใครที่กระทำการใดๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีทันที แม้ว่า การดำเนินคดีนั้นบางอย่างอาจจะมีขั้นตอนที่ยากลำบากเช่นการจะเข้าไปตรวจค้นบ้าน ผู้ต้องสงสัยต้องไปขอหมายศาลก่อน ซึ่งกว่าศาลจะออกใบอนุญาตให้ได้ก็ต้องมีพยาน หลักฐานต่างๆ ชัดเจน แต่เราก็จะพยายามทำ เพราะเป้าหมายเราคือต้องการป้องปราม
เสนอ ครม.ตั้ง คตม.คุมสถานการณ์
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้เลขาธิการสภาความมั่นคง เสนอต่อ นายกรัฐมนตรีในการประชุมครม.วันนี้ (16 ก.พ.)ให้มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) โดยมีตน ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย รมว.กลาโหม และรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ รวมถึง ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และอธิบดีกรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และติดตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา และสามารถที่จะเรียกให้ส่วนราชการต่างๆ รายงานความสำเร็จ ความก้าวหน้า ที่ได้กำหนดไว้ตามแผนดังกล่าว โดยคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานเฝ้าระวังทุกเรื่องและติดตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่มีระยะเวลากำหนด
“คณะกรรมการชุดนี้จะดูทั้งหมด รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์นั้น ๆ ว่าจำเป็นที่จะประกาศใช้กฎหมายพิเศษด้วย ถ้ามีสถานการณ์ที่คณะกรรมการชุดนี้ เห็นว่า ไม่สามารถใช้กฎหมายธรรมดาได้ ก็จะเป็นผู้นำเสนอต่อ ครม.ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป”
นายสุเทพ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้จะเน้นในเรื่องของการป้องกันเป็นสำคัญ และหวังว่าเราจะสามารถป้องกันเหตุได้ และถ้ามีกรณีการชุมนุมกันและมีการกระทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เมื่อถามว่าในการขอกำลังพลเรือนและทหารมาช่วยจะเริ่มเมื่อไหร่ นายสุเทพ กล่าวว่า แล้วแต่ฝ่ายนครบาลจะร้องขอไป
ตร.-ทหารตั้งจุดสกัดตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.
พล.ต.ดิฎฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. แถลงว่าหน่วยงานด้านข่าวกรอง รายงานตรงกันว่าจะมีการก่อกวนสร้างสถานการณ์ในสถานที่สำคัญๆ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ สถานการณ์บานปลายและเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตั้งแต่เวลา 19.00 น.ของวันที่ 15 ก.พ.นี้เป็นต้นไป ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในจะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มีการตั้งจุดตรวจ จุดเฝ้าระวังและลาดตระเวนในเขตพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ โดยให้ตำรวจตั้งจัดตรวจ สถานีตำรวจละ 2 จุด ส่วนจังหวัดต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการชุมนุมหรือก่อเหตุได้ให้แต่ละจังหวัดเตรียมจัดทำแผนรองรับไว้ หากรัฐบาลกำหนดไปว่าประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง หรือใช้แผนอย่างไร ให้เรียกใช้หน่วยกำลังในพื้นที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้
“ที่ประชุมยังมีความเห็นในการขอใช้อำนาจการบริหาราชการแผ่นดินของ นายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) โดยมีนายสุเทพ เป็นประธาน เพื่อประสานการปฏิบัติทุกส่วนงานให้มีความสอดคล้อง และเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
พล.ต.ดิษฐพร กล่าวว่า คตม. มีหน้าที่ติดตามแผนการการปฏิบัติงานที่ได้แบ่ง มอบให้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 8 แผน ที่เกี่ยวกับการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทุกภาคส่วน เน้นให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีความพยายามที่จะประคับประคองบ้านเมือง และให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ เช่น การดูแลไม่ให้เกิดการปลุกระดมในสถานศึกษา
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า หากในภายภาคหน้า สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป และมีความจำเป็นที่ ครม. จะต้องประกาศกฎหมายพิเศษ คตม.จะเปลี่ยนสภาพเป็นศูนย์อำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) จุดประสงค์หลักของการตั้ง คตม.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการป้องกันการชุมนุมของ กลุ่มเสื้อแดง แต่เป็นเรื่องของการักษาเอกภาพของหน่วยงานหลักแต่ละหน่วย ซึ่งมีหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยงาน และมีคณะที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายทั้ง สมช. สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจ ดังนั้น จึงอยากให้มีคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนต่างๆเพื่อประสานการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นมูลเหตุมาจาก เหตุการณ์ที่มีผู้ลอบวางระเบิดที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร และที่ศาลฎีกา เพราะมีข้อมูลข่าวสารว่าจะมีการก่อกวนและมีการสร้างสถานการณ์ในสถานที่สำคัญต่างๆ
ส่วนการตั้งจุดตรวจของทหารในขั้นต้นจะมีแต่ในพื้นที่กรุงเทพชั้นใน 5-8 จุด ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร และทหารจากหน่วยต่างๆ จากกองทัพภาคที่ 1 จำนวน 200 นาย เช่น บ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา หน้าวัดเบญจมบพิตร สวนจิตรลดา ศาลฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งการเตรียมรับมือในสถานการณ์
เชื่อเอ็ม 79 ยิงมาจากสนามม้านางเลิ้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างการประชุมหน่วยงานความมั่นคงที่กองทัพบก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานว่ากองพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าทำการเข้าพิสูจน์หลักฐานและ เก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุบริเวณด้านนอกรั้วฝั่ง พาณิชย์พระนครฯ ซึ่งเป็นเศษวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของเอ็ม 79 มากกว่า 10 ชิ้น โดยมีการวิเคราะห์การตกกระทบกับกิ่งไม้ก่อนลงมาที่ รถยนต์ 3 คัน พบว่าวิถีการยิงน่าจะมาจากบริเวณสนามม้านางเลิ้ง โดยมีเป้าหมายการยิงเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ยิงไม่ถึงเป้าหมาย
ส่วนระเบิดซีโฟร์ ที่พบบริเวณรั้วศาลฎีกานั้น ไม่สามารถระบุได้ว่ามีเป้าหมาย สร้างความเสียหาย หรือ ก่อกวน เพราะ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจพิสูจน์พบว่า มีส่วนประกอบของวัตถุระเบิดจริง จึงได้ใช้ปืนทำลายวัตถุระเบิดเขายิงทันที ทำให้ไม่ทราบว่า มีการต่อวงจรครบและพร้อมในการจุดระเบิดหรือไม่ แต่หลังทำลายเสร็จพบส่วนประกอบของ ซีโฟร์ และนาฬิกาอยู่ในที่เกิดเหตุ
“ประวิตร” ฮึ่มต้องจับมือบึ้มให้ได้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่าจะต้องติดตามมือยิง เอ็ม 79 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และมือวางระเบิดซีโฟร์ ที่บริเวณ ศาลอาญามาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเรียกหน่วยงาน ด้านความมั่นคงที่รับผิดชอบประเมินสถานการณ์บ้านเมืองในวันเดียวกันนี้ ซี่งเราคง ดำเนินการตามที่ทางหน่วยงานด้านความมั่นคงพิจารณา คือการป้องกันที่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุที่ร้ายแรงเพื่อที่จะดูและประชาชนให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
“ต้องดูว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงมีข่าวสารอะไรที่จะดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายรแรง ส่วนคนร้ายคนต้องการสร้างสถานการณ์ เพื่อจุดชนวนเชื่อมโยงไปถึงวันพิจารณาตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้หรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ แต่คงจะเป็นเรื่องป่วน ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน ด้านความมั่นคง ก็จะต้องพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรที่จะให้เกิดความเรียบร้อย ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และเชื่อว่าสถานการณ์คงไม่บานปลาย และขณะนี้ยังไม่ได้จัดส่งทหารออกไปช่วย”
ให้ฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจคำพูด “เสธ.แดง”
สำหรับการดำเนินการในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตาม พ.ร.บ.วินัยของทหาร เพราะเรามีกฎระเบียบของทหารอยู่ ทุกอย่างจะต้องดำเนินการไปตามนั้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนจะเรียก พล.ต.ขัตติยะ มาให้คณะกรรมการสอบสวน ทั้งนี้การดำเนินการต้องเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่า ดูเหมือนว่าระยะเวลาจะยาวนานไป และทาง พล.ต.ขัตติยะ ก็ไม่ยอมมาให้ปากคำ และมีเหตุการณ์อย่าง ต่อเนื่อง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มีกฎเกณฑ์ของกฎหมายอยู่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งกฎหมายธรรมดา และ กฎหมายอาญา ก็เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าล่าสุด พล.ต.ขัตติยะ ออกมาปฏิเสธว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ทำเนียบฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าหากทำจริงจะมีการประกาศล่วงหน้า คำพูดตรงนี้ สามารถเอาผิดได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้จะต้องพิจารณาดูว่า คำพูดของ พล.ต.ขัตติยะ ผิดกฎหมายหรือไม่ จะต้องพิจารณาร่วมกันหลายฝ่าย
พร้อมจัดรถรับส่งองค์คณะคดียึดทรัพย์
นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่ามีการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ซึ่งมีนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน โดยได้แสดงความห่วงใยเรื่องการลอบวางระเบิดซีโฟร์ที่ข้างศาลฎีกา ซึ่งตนได้แจ้งต่อที่ประชุมทราบว่า ได้ประชุมคณะกรรมการที่รับผิดชอบดูแลการรักษาความปลอดภัยแล้ว โดยตำรวจนครบาลจะเพิ่มกำลังสายตรวจ และเพิ่มตำรวจร่วม รปภ.ของศาล ตรวจตราบริเวณศาลฎีกานับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้
ขณะเดียวกันตนได้แจ้งต่อนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วว่าให้ประสานกับผู้พิพากษาองค์คณะว่าหากท่านใด รู้สึกไม่สบายใจ ต้องการจะขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล หรือ ต้องการรถราชการ รับ -ส่งในการเดินทาง หรือบ้านพัก สำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมจะดำเนินการจัดหาให้ ซึ่งในส่วนของบ้านพักนั้นไม่ใช่การจัดเป็นเซฟเฮ้าส์ แต่เป็นเพียงการจัดหาที่พักชั่วคราวให้ผู้พิพากษาองค์คณะที่อาจจะรู้สึกไม่สบายใจในการเดินทาง ส่วนจะเป็นสถานที่ใดคงตอบไม่ได้
“จตุพร” เตรียมแฉเอกสารรัฐปราบเสื้อแดง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง แถลงว่า ในวันนี้ (16 ก.พ.) ตนจะแถลงเปิดเอกสารลับ เป็นแผนล้อมปราบคนเสื้อแดงโดยรัฐบาลใช้โมเดลของ เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 มาประยุกต์ใช้กับแผนสงกรานต์เลือด เพื่อใช้เป็นวิธี ล้อมปราบประชาชน โดยระบุจะมีการสร้างสถานการณ์หลายแห่ง โดยหนึ่งในสถานที่ดังกล่าวคือ โรงพยาบาลศิริราช ที่ถือเป็นการกระทำที่บังอาจมาก ทำให้คนที่เข้าร่วมประชุมด้วยบางคนรับไม่ได้ จึงนำเอกสารดังกล่าวมาให้ตน เป็นเพาเวอร์พอยท์ 37 หน้า จากวอร์รูม ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานประชุม ร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นั่งเป็นประธานต่อจาก นายอภิสิทธิ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. เข้าร่วมประชุมกันวางแผนล้อมปราบคนเสื้อแดง
นายจตุพร กล่าวว่าภายในเอกสารลับมีการกำหนดเขตพื้นที่ กำหนดวัน กำหนดการวางกำลังอาวุธ โดยมีรายละเอียดว่าหน่วยไหนรับผิดชอบอย่างไร ชุดไหนใช้ M16 แต่เอกสารดังกล่าวต้องใช้เวลาอธิบาย เนื่องจากใช้รหัสทหารที่คนทั่วไปไม่รู้ความหมาย ซึ่งก็อยากจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นประธานวางแผนฆ่าประชาชนได้อย่างไร
นายจตุพร อ้างว่าว่า มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้กลุ่มคนเสื้อแดง ตกเป็นจำเลยสังคม ในเหตุการณ์ยิง เอ็ม 79 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยมีการวัดระยะเวทีของกลุ่ม นปช. ที่จะตั้งเวทีบนสะพานชมัยมรุเชษฐ ซึ่งคนของรัฐบาลยิงมาจากสนามม้านางเลิ้ง แต่เมื่อพลาดก็ได้ภาพความรุนแรง ส่วนเรื่องระเบิดซีโฟร์ที่วางห่างจากศาลฎีกา 250 เมตร ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้รัฐบาล ได้ประโยชน์ และทำให้ประชาชนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียประโยชน์
ขู่ “อภิสิทธิ์” ไม่รอดถ้าแดงถูกฆ่า
นายจตุพร กล่าวว่าในวันที่ 26 ก.พ. กลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันว่าจะไม่มีการ ไปชุมนุมที่ศาลฎีกา เพราะจุดยืนชัดเจนว่ากระบวนการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ถูกต้อง และที่ยังไม่มีการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ เพราะอยากเห็นอิทธิฤทธิ์ ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายของคนเสื้อแดงครั้งต่อไป อาจจะไปธนาคารกรุงเทพ หรือไปที่บ้านของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี และรัฐบุรุษ ที่ท่าแร้ง เขตบางเขน ที่เชื่อว่ามีการนิติกรรมอำพรางกับที่ปรึกษาของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง เพื่ออธิบายว่าตนเองไม่มีบ้าน ซึ่งนี่เป็นเป้าหมายหนึ่งของ การดาวกระจาย
“ขณะนี้รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะทำร้ายคนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุม เมื่อเราประกาศการชุมนุมแล้วประชาชนไม่ปลอดภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ควรปลอดภัยเช่นกัน นายอภิสิทธิ์คิดว่าฆ่าพวกตนแล้วนายอภิสิทธิ์จะรอดหรือ ให้ไปถาม นพ.อรรถสิทธิ เวชชาชีวะ บิดาของนายอภิสิทธิ์ว่าถ้าฆ่าทุกคน ทั้งนพ.อรรถสิทธิ์ และตัวนายอภิสิทธิ์ จะรอดหรือ อาวุธที่มีอยู่ไม่พอสังหารคนเสื้อแดงหรอก เราจะนัดเมื่อเราจะชนะเท่านั้น ถ้ายังไม่พร้อมมีอีกหลายที่ที่จะไป”
“แม้ว” รีบปัดไม่เกี่ยวเหตุบึ้ม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่าได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงเหตุการณ์ระเบิดใกล้ทำเนียบฯ และลอบวางระเบิดข้างศาลฎีกา ไม่เกี่ยวกับท่าน และขอปฏิเสธทุกกรณีที่พยายามจะเชื่อมโยงมายังพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ อีกทั้งยังเชื่อว่าระหว่างนี้จนถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทนน่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
“หลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าคนที่ลงมือทำจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เหมือนเชื่อว่าเป็นฝีมือของพ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง จึงอยากให้คิดในมุมกลับว่า ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้จะไปทำให้ศาลเกิดความ รู้สึกเป็นลบทำไม พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะคู่ความคงไม่ไปดำเนินการอะไรอย่างนั้น เพราะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง อยากเรียกร้องให้ยุติการสร้างสถานการณ์เสียที สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือหาคนผิด นำพยานหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน”
เตรียมรับมือหากถูกยึดทรัพย์ไว้แล้ว
นายนพดล กล่าวว่า สำหรับการตัดสินคดียึดทรัพย์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังยืนยันขอความเป็นธรรมจากศาลและสื่อมวลชน เพราะขณะนี้มีบางรายการพยายามกดดันชี้นำศาล ซึ่งเราก็ไม่สบายใจ พ.ต.ท.ทักษิณจะรอคำตัดสินที่เมืองดูไบ ส่วนอดีตภริยา และบุตรนั้นน่าจะอยู่ในประเทศไทย โดยเบื้องต้นพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวได้เตรียมการไว้หมดแล้วไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรแต่คงลงรายละเอียดไม่ได้ แต่ขอย้ำว่าแนวทางของท่านเป็นแนวทางสันติและไม่ใช่แนวทาง การข่มขู่ศาล ถ้าคำตัดสินออกมาและสามารถอธิบายนักกฎหมายและสังคมได้อย่างชัดเจนบ้านเมืองจะไปได้ คงไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่องทางดังกล่าวเป็นการร้องต่อศาลโลกใช่หรือไม่หรือจะใช้ช่องทางในประเทศก่อน นายนพดลกล่าวว่า เงิน 7.6 หมื่นล้านบาทเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่มีคู่ความคนใดไม่คิดเตรียมแผนการรองรับไว้ และตามหลักแล้วหากมีพยานหลักฐานใหม่สามารถยื่นต่อองค์คณะได้อยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่พูดได้คือเป็นช่องทางสันติไม่ใช้ความรุนแรง
จวก “เสธ.แดง” ชอบอ้าง “แม้ว”
นายนพดล ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง มัก ออกมา ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของตนเองว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหากพ.ต.ท.ทักษิณมีอะไรก็จะพูดผ่านตน จึงอยากให้ประชาชนและทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าพล.ต.ขัตติยะไม่ใช่คนที่จะพูดหรือดำเนินการใดๆ แทนพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้กลุ่มนปช.เองก็มีความวิตกกังวลเช่นเดียวกัน เราไม่อยากให้มีการทำอะไรรุนแรงหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนใต้ดินเพราะมันจะเสียหายต่อพ.ต.ท.ทักษิณ อาจสร้างความสับสนให้ประชาชนได้ จึงขอฝากพล.ต.ขัตติยะด้วยว่า หากจะเคลื่อนไหวใดๆอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวานนี้ (15 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้นั่งรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คันใหม่เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อปฏิบัติภารกิจตามปกติ โดยเปลี่ยนจากรถเบนซ์ เป็นรถแลนด์โรเวอร์สกันกระสุน ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการดูแล ความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.หลังเกิดเหตุวางระเบิดสร้างสถานการณ์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร วิทยาเขตพณิชย์การพระนคร และเหตุวางระเบิดที่ศาลฎีกาว่า ตนจะประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของทุกกระทรวงให้กำชับไปยังหน่วยงานทุกหน่วยงานว่า สถานที่สำคัญของตัวเองจะต้องดูแลอย่างเข้มข้น จะหวังพึ่งเฉพาะเจ้าหน้าที่จากภายนอก หรือเจ้าหน้าที่ ฝ่ายความมั่นคงอย่างเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยกันเฝ้าระวังเป็นหูเป็นตา และหามาตรการช่วยกันดูแล เพราะเราทราบว่ามีเป้าหมายในเรื่องของสถานที่
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุยิงระเบิด เอ็ม 79 ใกล้ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นศูนย์อำนาจ ของรัฐบาล และลอบวางระเบิดใกล้ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจตุลาการจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้จะเข้มงวดขันและซักซ้อมความเข้าใจกับทุกหน่วยงาน เพราะจริงๆ แล้วตอนที่เราประเมินสถานการณ์กันในการประชุม เราก็ทราบว่ามีเป้าหมายเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่ และมีสถานที่สำคัญอยู่หลายแห่งที่คาดว่าเป็นเป้าหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าสิ่งสำคัญเวลาเกิดเหตุแต่ละครั้งไม่สามารถจับใครได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องกำชับเร่งรัดไป ซึ่งทางหน่วยงานจะต้องมีภาพเหตุการณ์ เพราะมีกล้องวงจรปิด ต้องเร่งรัดทำตรงนี้ให้ได้
“มาร์ค” ถกปลัดฯ ดูแลหน่วยงานตัวเอง
วันเดียวกันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ที่กระทรวงมหาดไทย หลังการประชุม นายปณิธาน วัฒนายากร รอง เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แถลงว่า นายกรัฐมนตี ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ทบวง กรม เกี่ยวกับสถานการณ์การเมือง เพื่อให้เตรียมข้อมูล ที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้ทุกหน่วยงานพร้อมที่จะชี้แจง
“นายกฯก็ได้ยืนยันกับทางปลัดกระทรวงว่า รัฐบาลไม่มีความขัดแย้งกับใคร ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากความรุนแรงบ้างในทางการเมือง แต่มีแผน ก็มีระบบเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยเรียบร้อย ขอให้ทุกส่วนราชการเฝ้าระวังดูแลสถานที่ราชการ ของตนเองให้ดี และทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และต้องมีระบบในการดูแลรักษาความเรียบร้อยสถานที่ราชการด้วย โดยต้องเฝ้าระวังในเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบจากการชุมนุมหรืออะไรที่จะมีการพัฒนาไปก็ให้มีการเฝ้าระวังให้ดี สถานที่ราชการ สำคัญของหน่วยราชการที่ถูกระเบิดก็จะต้องดูแลเป็นพิเศษ”
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากจุดตรวจที่มีอยู่กว่า 200 จุด จะเพิ่มอีกจุด นายปณิธาน กล่าวว่า เพิ่ม 100 กว่าจุดก่อน และก็ดูความเหมาะสมเป็นลำดับต่อไปว่าควรจะเพิ่มหรือลด ส่วนวันที่ 26 ก.พ.กำลังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์อยู่ ส่วนสถานที่ราชการที่ต้องดูแลคือ ทำเนียบฯ องค์กรอิสระ สถาบันตุลาการ
“สุเทพ” รับเหตุบึ้มเกินกว่าที่คาด
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีการประชุมฝ่ายความมั่นคงที่ กองบัญชาการกองทัพบก เพื่อประเมินสถานการณ์ เหตุที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 2 วันที่ผ่านมาดูแล้วมันมากเกินกว่า เราคาดการณ์เอาไว้พอสมควร เช่น กรณีใช้ M 79 ยิงมา หรือกรณีที่ไป วางระเบิดที่ศาลฎีกา ดังนั้นฝ่ายความมั่นคง ก็คงจะต้องมีการปรับวิธีการทำงาน ให้มากเป็นพิเศษ เช่น ให้มีหน่วยลาดตระเวนที่เดินเท้า หรือรถจักรยานยนต์ ซึ่งต้องทำกันอย่างเต็มที่
ส่วนทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นคนกลุ่มเดียวกันที่ทำหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า เอาว่าเป็นข้อสงสัยก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปสรุป ตนพยายามระมัดระวังไม่ไปกล่าวหาใคร ง่าย ๆ รอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนเพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อถามว่าแล้วเหตุการณ์รถยนต์แทรกขบวนของนายกรัฐมนตรีที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำไมจับกุมไม่ได้ นายสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่พยายามดำเนินการอยู่ ใครที่เป็นผู้สงสัยก็จะทำทุกอย่างที่กฎหมายให้ไว้ ส่วนการรักษาความปลอดภัยนายกฯนั้นเจ้าหน้าที่ ที่ติดตามก็จะมีหน้าที่ดูแลนายกฯให้ถึงที่หมาย ส่วนการจับกุมก็เป็นหน้าที่ของตำรวจ ซึ่งก็พยายามอยู่ ซึ่งเป็นคนละภารกิจกัน
สั่งเช็ครายบุคคลใครทำผิดฟันทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังการประชุม นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมได้กำหนดมาตรการในการป้องกันเหตุร้ายให้มีโอกาสเกิดขึ้น น้อยที่สุด โดยจะทำหลายระดับ ตั้งแต่เฝ้าระวังสถานที่ราชการ โดยแบ่งเป็นเป็น ในส่วนของ กทม. ให้ พล.ต.ท. สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. เป็นผู้รับผิดชอบจัดกำลัง ตั้งจุดตรวจค้นอาวุธต่างๆ และให้มีการจัดชุดลาดตระเวน ตรวจสถานที่สำคัญ ๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้กำลังมากเนื่องจากต้องจัดจำนวนหลายจุด ดังนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่พลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหารไปเป็นเจ้าพนักงานผู้ช่วยตำรวจด้วย
สำหรับในต่างจังหวัดนั้นได้มอบให้แม่ทัพภาค และ ผอ.กอ.รมน.ภาค รวมกับ ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดไปดำเนินการจัดทำแผนป้องกันรักษาสถานที่ราชการ ต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกัน สำหรับบุคคลสำคัญ ๆ ก็จะจัดกำลังดูแลอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น
นอกจากนี้จะให้มีคณะกรรมการฝ่ายกฎหมายติดตามดูแลพฤติกรรมของบุคคล ต่างๆ ถ้ามีใครที่กระทำการใดๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีทันที แม้ว่า การดำเนินคดีนั้นบางอย่างอาจจะมีขั้นตอนที่ยากลำบากเช่นการจะเข้าไปตรวจค้นบ้าน ผู้ต้องสงสัยต้องไปขอหมายศาลก่อน ซึ่งกว่าศาลจะออกใบอนุญาตให้ได้ก็ต้องมีพยาน หลักฐานต่างๆ ชัดเจน แต่เราก็จะพยายามทำ เพราะเป้าหมายเราคือต้องการป้องปราม
เสนอ ครม.ตั้ง คตม.คุมสถานการณ์
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้เลขาธิการสภาความมั่นคง เสนอต่อ นายกรัฐมนตรีในการประชุมครม.วันนี้ (16 ก.พ.)ให้มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) โดยมีตน ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน ส่วนกรรมการประกอบด้วย รมว.กลาโหม และรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ รวมถึง ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และอธิบดีกรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และติดตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา และสามารถที่จะเรียกให้ส่วนราชการต่างๆ รายงานความสำเร็จ ความก้าวหน้า ที่ได้กำหนดไว้ตามแผนดังกล่าว โดยคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานเฝ้าระวังทุกเรื่องและติดตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่มีระยะเวลากำหนด
“คณะกรรมการชุดนี้จะดูทั้งหมด รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์นั้น ๆ ว่าจำเป็นที่จะประกาศใช้กฎหมายพิเศษด้วย ถ้ามีสถานการณ์ที่คณะกรรมการชุดนี้ เห็นว่า ไม่สามารถใช้กฎหมายธรรมดาได้ ก็จะเป็นผู้นำเสนอต่อ ครม.ว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป”
นายสุเทพ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้จะเน้นในเรื่องของการป้องกันเป็นสำคัญ และหวังว่าเราจะสามารถป้องกันเหตุได้ และถ้ามีกรณีการชุมนุมกันและมีการกระทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เมื่อถามว่าในการขอกำลังพลเรือนและทหารมาช่วยจะเริ่มเมื่อไหร่ นายสุเทพ กล่าวว่า แล้วแต่ฝ่ายนครบาลจะร้องขอไป
ตร.-ทหารตั้งจุดสกัดตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.
พล.ต.ดิฎฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. แถลงว่าหน่วยงานด้านข่าวกรอง รายงานตรงกันว่าจะมีการก่อกวนสร้างสถานการณ์ในสถานที่สำคัญๆ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ สถานการณ์บานปลายและเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตั้งแต่เวลา 19.00 น.ของวันที่ 15 ก.พ.นี้เป็นต้นไป ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในจะมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มีการตั้งจุดตรวจ จุดเฝ้าระวังและลาดตระเวนในเขตพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ โดยให้ตำรวจตั้งจัดตรวจ สถานีตำรวจละ 2 จุด ส่วนจังหวัดต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการชุมนุมหรือก่อเหตุได้ให้แต่ละจังหวัดเตรียมจัดทำแผนรองรับไว้ หากรัฐบาลกำหนดไปว่าประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง หรือใช้แผนอย่างไร ให้เรียกใช้หน่วยกำลังในพื้นที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ได้
“ที่ประชุมยังมีความเห็นในการขอใช้อำนาจการบริหาราชการแผ่นดินของ นายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ความมั่นคง (คตม.) โดยมีนายสุเทพ เป็นประธาน เพื่อประสานการปฏิบัติทุกส่วนงานให้มีความสอดคล้อง และเท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
พล.ต.ดิษฐพร กล่าวว่า คตม. มีหน้าที่ติดตามแผนการการปฏิบัติงานที่ได้แบ่ง มอบให้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 8 แผน ที่เกี่ยวกับการมอบหมายให้แต่ละหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนทุกภาคส่วน เน้นให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีความพยายามที่จะประคับประคองบ้านเมือง และให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตตามปกติ เช่น การดูแลไม่ให้เกิดการปลุกระดมในสถานศึกษา
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า หากในภายภาคหน้า สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป และมีความจำเป็นที่ ครม. จะต้องประกาศกฎหมายพิเศษ คตม.จะเปลี่ยนสภาพเป็นศูนย์อำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) จุดประสงค์หลักของการตั้ง คตม.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการป้องกันการชุมนุมของ กลุ่มเสื้อแดง แต่เป็นเรื่องของการักษาเอกภาพของหน่วยงานหลักแต่ละหน่วย ซึ่งมีหน่วยงานความมั่นคงหลายหน่วยงาน และมีคณะที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายทั้ง สมช. สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจ ดังนั้น จึงอยากให้มีคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากส่วนต่างๆเพื่อประสานการปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นมูลเหตุมาจาก เหตุการณ์ที่มีผู้ลอบวางระเบิดที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพาณิชย์พระนคร และที่ศาลฎีกา เพราะมีข้อมูลข่าวสารว่าจะมีการก่อกวนและมีการสร้างสถานการณ์ในสถานที่สำคัญต่างๆ
ส่วนการตั้งจุดตรวจของทหารในขั้นต้นจะมีแต่ในพื้นที่กรุงเทพชั้นใน 5-8 จุด ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร และทหารจากหน่วยต่างๆ จากกองทัพภาคที่ 1 จำนวน 200 นาย เช่น บ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา หน้าวัดเบญจมบพิตร สวนจิตรลดา ศาลฎีกา กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งการเตรียมรับมือในสถานการณ์
เชื่อเอ็ม 79 ยิงมาจากสนามม้านางเลิ้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างการประชุมหน่วยงานความมั่นคงที่กองทัพบก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายงานว่ากองพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าทำการเข้าพิสูจน์หลักฐานและ เก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุบริเวณด้านนอกรั้วฝั่ง พาณิชย์พระนครฯ ซึ่งเป็นเศษวัสดุที่เป็นส่วนประกอบของเอ็ม 79 มากกว่า 10 ชิ้น โดยมีการวิเคราะห์การตกกระทบกับกิ่งไม้ก่อนลงมาที่ รถยนต์ 3 คัน พบว่าวิถีการยิงน่าจะมาจากบริเวณสนามม้านางเลิ้ง โดยมีเป้าหมายการยิงเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ยิงไม่ถึงเป้าหมาย
ส่วนระเบิดซีโฟร์ ที่พบบริเวณรั้วศาลฎีกานั้น ไม่สามารถระบุได้ว่ามีเป้าหมาย สร้างความเสียหาย หรือ ก่อกวน เพราะ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจพิสูจน์พบว่า มีส่วนประกอบของวัตถุระเบิดจริง จึงได้ใช้ปืนทำลายวัตถุระเบิดเขายิงทันที ทำให้ไม่ทราบว่า มีการต่อวงจรครบและพร้อมในการจุดระเบิดหรือไม่ แต่หลังทำลายเสร็จพบส่วนประกอบของ ซีโฟร์ และนาฬิกาอยู่ในที่เกิดเหตุ
“ประวิตร” ฮึ่มต้องจับมือบึ้มให้ได้
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่าจะต้องติดตามมือยิง เอ็ม 79 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร และมือวางระเบิดซีโฟร์ ที่บริเวณ ศาลอาญามาดำเนินคดีให้ได้ ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเรียกหน่วยงาน ด้านความมั่นคงที่รับผิดชอบประเมินสถานการณ์บ้านเมืองในวันเดียวกันนี้ ซี่งเราคง ดำเนินการตามที่ทางหน่วยงานด้านความมั่นคงพิจารณา คือการป้องกันที่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุที่ร้ายแรงเพื่อที่จะดูและประชาชนให้เกิดความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
“ต้องดูว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงมีข่าวสารอะไรที่จะดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายรแรง ส่วนคนร้ายคนต้องการสร้างสถานการณ์ เพื่อจุดชนวนเชื่อมโยงไปถึงวันพิจารณาตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้หรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ แต่คงจะเป็นเรื่องป่วน ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงาน ด้านความมั่นคง ก็จะต้องพิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรที่จะให้เกิดความเรียบร้อย ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และเชื่อว่าสถานการณ์คงไม่บานปลาย และขณะนี้ยังไม่ได้จัดส่งทหารออกไปช่วย”
ให้ฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจคำพูด “เสธ.แดง”
สำหรับการดำเนินการในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ตาม พ.ร.บ.วินัยของทหาร เพราะเรามีกฎระเบียบของทหารอยู่ ทุกอย่างจะต้องดำเนินการไปตามนั้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนจะเรียก พล.ต.ขัตติยะ มาให้คณะกรรมการสอบสวน ทั้งนี้การดำเนินการต้องเป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่า ดูเหมือนว่าระยะเวลาจะยาวนานไป และทาง พล.ต.ขัตติยะ ก็ไม่ยอมมาให้ปากคำ และมีเหตุการณ์อย่าง ต่อเนื่อง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มีกฎเกณฑ์ของกฎหมายอยู่แล้วไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งกฎหมายธรรมดา และ กฎหมายอาญา ก็เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าล่าสุด พล.ต.ขัตติยะ ออกมาปฏิเสธว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ทำเนียบฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าหากทำจริงจะมีการประกาศล่วงหน้า คำพูดตรงนี้ สามารถเอาผิดได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้จะต้องพิจารณาดูว่า คำพูดของ พล.ต.ขัตติยะ ผิดกฎหมายหรือไม่ จะต้องพิจารณาร่วมกันหลายฝ่าย
พร้อมจัดรถรับส่งองค์คณะคดียึดทรัพย์
นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่ามีการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ซึ่งมีนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน โดยได้แสดงความห่วงใยเรื่องการลอบวางระเบิดซีโฟร์ที่ข้างศาลฎีกา ซึ่งตนได้แจ้งต่อที่ประชุมทราบว่า ได้ประชุมคณะกรรมการที่รับผิดชอบดูแลการรักษาความปลอดภัยแล้ว โดยตำรวจนครบาลจะเพิ่มกำลังสายตรวจ และเพิ่มตำรวจร่วม รปภ.ของศาล ตรวจตราบริเวณศาลฎีกานับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันนัดอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้
ขณะเดียวกันตนได้แจ้งต่อนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วว่าให้ประสานกับผู้พิพากษาองค์คณะว่าหากท่านใด รู้สึกไม่สบายใจ ต้องการจะขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแล หรือ ต้องการรถราชการ รับ -ส่งในการเดินทาง หรือบ้านพัก สำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมจะดำเนินการจัดหาให้ ซึ่งในส่วนของบ้านพักนั้นไม่ใช่การจัดเป็นเซฟเฮ้าส์ แต่เป็นเพียงการจัดหาที่พักชั่วคราวให้ผู้พิพากษาองค์คณะที่อาจจะรู้สึกไม่สบายใจในการเดินทาง ส่วนจะเป็นสถานที่ใดคงตอบไม่ได้
“จตุพร” เตรียมแฉเอกสารรัฐปราบเสื้อแดง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง แถลงว่า ในวันนี้ (16 ก.พ.) ตนจะแถลงเปิดเอกสารลับ เป็นแผนล้อมปราบคนเสื้อแดงโดยรัฐบาลใช้โมเดลของ เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 มาประยุกต์ใช้กับแผนสงกรานต์เลือด เพื่อใช้เป็นวิธี ล้อมปราบประชาชน โดยระบุจะมีการสร้างสถานการณ์หลายแห่ง โดยหนึ่งในสถานที่ดังกล่าวคือ โรงพยาบาลศิริราช ที่ถือเป็นการกระทำที่บังอาจมาก ทำให้คนที่เข้าร่วมประชุมด้วยบางคนรับไม่ได้ จึงนำเอกสารดังกล่าวมาให้ตน เป็นเพาเวอร์พอยท์ 37 หน้า จากวอร์รูม ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานประชุม ร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ นั่งเป็นประธานต่อจาก นายอภิสิทธิ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. เข้าร่วมประชุมกันวางแผนล้อมปราบคนเสื้อแดง
นายจตุพร กล่าวว่าภายในเอกสารลับมีการกำหนดเขตพื้นที่ กำหนดวัน กำหนดการวางกำลังอาวุธ โดยมีรายละเอียดว่าหน่วยไหนรับผิดชอบอย่างไร ชุดไหนใช้ M16 แต่เอกสารดังกล่าวต้องใช้เวลาอธิบาย เนื่องจากใช้รหัสทหารที่คนทั่วไปไม่รู้ความหมาย ซึ่งก็อยากจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นประธานวางแผนฆ่าประชาชนได้อย่างไร
นายจตุพร อ้างว่าว่า มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้กลุ่มคนเสื้อแดง ตกเป็นจำเลยสังคม ในเหตุการณ์ยิง เอ็ม 79 ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร โดยมีการวัดระยะเวทีของกลุ่ม นปช. ที่จะตั้งเวทีบนสะพานชมัยมรุเชษฐ ซึ่งคนของรัฐบาลยิงมาจากสนามม้านางเลิ้ง แต่เมื่อพลาดก็ได้ภาพความรุนแรง ส่วนเรื่องระเบิดซีโฟร์ที่วางห่างจากศาลฎีกา 250 เมตร ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้รัฐบาล ได้ประโยชน์ และทำให้ประชาชนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียประโยชน์
ขู่ “อภิสิทธิ์” ไม่รอดถ้าแดงถูกฆ่า
นายจตุพร กล่าวว่าในวันที่ 26 ก.พ. กลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันว่าจะไม่มีการ ไปชุมนุมที่ศาลฎีกา เพราะจุดยืนชัดเจนว่ากระบวนการพิจารณาคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ถูกต้อง และที่ยังไม่มีการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ เพราะอยากเห็นอิทธิฤทธิ์ ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ดาวกระจายของคนเสื้อแดงครั้งต่อไป อาจจะไปธนาคารกรุงเทพ หรือไปที่บ้านของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรี และรัฐบุรุษ ที่ท่าแร้ง เขตบางเขน ที่เชื่อว่ามีการนิติกรรมอำพรางกับที่ปรึกษาของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเบียร์ช้าง เพื่ออธิบายว่าตนเองไม่มีบ้าน ซึ่งนี่เป็นเป้าหมายหนึ่งของ การดาวกระจาย
“ขณะนี้รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะทำร้ายคนเสื้อแดงที่ออกมาชุมนุม เมื่อเราประกาศการชุมนุมแล้วประชาชนไม่ปลอดภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ควรปลอดภัยเช่นกัน นายอภิสิทธิ์คิดว่าฆ่าพวกตนแล้วนายอภิสิทธิ์จะรอดหรือ ให้ไปถาม นพ.อรรถสิทธิ เวชชาชีวะ บิดาของนายอภิสิทธิ์ว่าถ้าฆ่าทุกคน ทั้งนพ.อรรถสิทธิ์ และตัวนายอภิสิทธิ์ จะรอดหรือ อาวุธที่มีอยู่ไม่พอสังหารคนเสื้อแดงหรอก เราจะนัดเมื่อเราจะชนะเท่านั้น ถ้ายังไม่พร้อมมีอีกหลายที่ที่จะไป”
“แม้ว” รีบปัดไม่เกี่ยวเหตุบึ้ม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่าได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงเหตุการณ์ระเบิดใกล้ทำเนียบฯ และลอบวางระเบิดข้างศาลฎีกา ไม่เกี่ยวกับท่าน และขอปฏิเสธทุกกรณีที่พยายามจะเชื่อมโยงมายังพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ อีกทั้งยังเชื่อว่าระหว่างนี้จนถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทนน่าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
“หลังเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าคนที่ลงมือทำจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เหมือนเชื่อว่าเป็นฝีมือของพ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง จึงอยากให้คิดในมุมกลับว่า ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้จะไปทำให้ศาลเกิดความ รู้สึกเป็นลบทำไม พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะคู่ความคงไม่ไปดำเนินการอะไรอย่างนั้น เพราะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง อยากเรียกร้องให้ยุติการสร้างสถานการณ์เสียที สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือหาคนผิด นำพยานหลักฐานมาแสดงให้ชัดเจน”
เตรียมรับมือหากถูกยึดทรัพย์ไว้แล้ว
นายนพดล กล่าวว่า สำหรับการตัดสินคดียึดทรัพย์นั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังยืนยันขอความเป็นธรรมจากศาลและสื่อมวลชน เพราะขณะนี้มีบางรายการพยายามกดดันชี้นำศาล ซึ่งเราก็ไม่สบายใจ พ.ต.ท.ทักษิณจะรอคำตัดสินที่เมืองดูไบ ส่วนอดีตภริยา และบุตรนั้นน่าจะอยู่ในประเทศไทย โดยเบื้องต้นพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวได้เตรียมการไว้หมดแล้วไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรแต่คงลงรายละเอียดไม่ได้ แต่ขอย้ำว่าแนวทางของท่านเป็นแนวทางสันติและไม่ใช่แนวทาง การข่มขู่ศาล ถ้าคำตัดสินออกมาและสามารถอธิบายนักกฎหมายและสังคมได้อย่างชัดเจนบ้านเมืองจะไปได้ คงไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่องทางดังกล่าวเป็นการร้องต่อศาลโลกใช่หรือไม่หรือจะใช้ช่องทางในประเทศก่อน นายนพดลกล่าวว่า เงิน 7.6 หมื่นล้านบาทเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่มีคู่ความคนใดไม่คิดเตรียมแผนการรองรับไว้ และตามหลักแล้วหากมีพยานหลักฐานใหม่สามารถยื่นต่อองค์คณะได้อยู่แล้ว ซึ่งสิ่งที่พูดได้คือเป็นช่องทางสันติไม่ใช้ความรุนแรง
จวก “เสธ.แดง” ชอบอ้าง “แม้ว”
นายนพดล ยังกล่าวถึงกรณีที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง มัก ออกมา ให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของตนเองว่าพ.ต.ท.ทักษิณได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหากพ.ต.ท.ทักษิณมีอะไรก็จะพูดผ่านตน จึงอยากให้ประชาชนและทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันว่าพล.ต.ขัตติยะไม่ใช่คนที่จะพูดหรือดำเนินการใดๆ แทนพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้กลุ่มนปช.เองก็มีความวิตกกังวลเช่นเดียวกัน เราไม่อยากให้มีการทำอะไรรุนแรงหรือเกี่ยวข้องกับกระบวนใต้ดินเพราะมันจะเสียหายต่อพ.ต.ท.ทักษิณ อาจสร้างความสับสนให้ประชาชนได้ จึงขอฝากพล.ต.ขัตติยะด้วยว่า หากจะเคลื่อนไหวใดๆอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน.