ศูนย์ข่าวเชียงใหม่– ปัญหาหมอกควันในภาคเหนือเริ่มวิกฤตแล้ว ลำปางถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีดำทั่วเมือง ขณะที่คุณภาพอากาศทั้งลำปาง-ลำพูนเกินมาตรฐานแล้ว ขณะที่จ.เชียงใหม่ ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เผยเริ่มมีรายงานพบการเกิดจุดความร้อนและการเผาในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น แต่ยืนยันคุณภาพอากาศยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พร้อมกำชับทุกอำเภอดูแลจัดการอย่างเข้มงวดให้มีการเผาในที่โล่งน้อยที่สุด ขณะเดียวกันเตรียมนำเครื่องบดย่อยเศษวัสดุเพื่อผลิตปุ๋ยหมักออกให้บริการ หวังช่วยลดการเผา
รายงานข่าวจากจังหวัดลำปาง แจ้งว่า สภาพบรรยากาศในตัวเมืองลำปาง ในช่วงสายวานนี้ (9 ก.พ.) มองจากมุมสูง ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทาดำ โดยสามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)พบว่า จ.ลำพูน และลำปาง มีค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานแล้ว โดยพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีอนุภาคเล็กกว่า10ไมครอน ซึ่งวัดได้จนถึงเวลา 09.00 น. วานนี้(9 ก.พ.) อยู่ที่ 124.3 ไมโครกรัม( มคก.)/ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 120 มคก./ลบ.ม.
สำหรับจังหวัดลำปาง ที่สถานีตรวจวัดสภาพอากาศ ศาลากลางจังหวัดลำปาง หลังเก่า อ.เมือง จ.ลำปาง พบว่ามีปริมาณเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าสถานการณ์หมอกควันของลำปางปีนี้มาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันคือยังคงมีการลักลอบเผาป่าทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ การเผาหญ้าในที่โล่ง เช่น การเผาหญ้าแห้ง เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตรในช่วงฤดูฝน รวมถึงไฟป่า ที่หน่วยงานยังขาดประสิทธิภาพในการควบคุมและระงับเหตุ ทำให้เกิดฝุ่นควัน
นอกจากนี้ สภาพความกดอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นยังก่อให้เกิดหมอกในตอนเช้า เมื่อหยดน้ำในอากาศรวมตัวกับฝุ่นละอองและสารมลพิษในอากาศเกิดเป็นลักษณะของ smog (smoke fog) คือ ควันปนหมอก จึงเกิดสภาพฟ้าหลัว จากนั้นในช่วงบ่ายก็ค่อยเจือจางหายไปแต่ไม่หมดเสียทีเดียว
อีกสาเหตุหนึ่งคือเขตเมืองลำปาง มีสภาพเป็นแอ่งกระทะ ทำให้หมอกควันเข้ามาปกคลุมในพื้นที่ ทำให้ประสบปัญหาเป็นประจำทุกปี ถึงแม้จะมีการรณรงค์มาก่อนล่วงหน้าแต่ก็ยังมีการลักลอบเผาป่าหญ้าแห้ง
ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เตรียมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวของเข้าประชุมเป็นการด่วน เพื่อสรุปและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับการท่องเที่ยวของจังหวัด
**เชียงใหม่คุณภาพอากาศยังได้มาตรฐาน
ขณะที่จ.เชียงใหม่ นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์หมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กของจังหวัดเชียงใหม่ว่า ขณะนี้คุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 และค่าดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ ยังคงอยู่ในระดับที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ
ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีรายงานพบการเกิดจุดความร้อน(Hot Spot) และการเผาเพิ่มขึ้น โดยมีรายงานมากในพื้นที่อ.แม่แจ่ม อมก๋อย เชียงดาว และดอยสะเก็ด ซึ่งได้มีการสั่งการกำชับให้แต่ละพื้นที่เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมและระมัดระวังการเผาแล้ว ทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่สูง
สำหรับการดำเนินการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กในระดับพื้นที่ของแต่ละอำเภอนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มีการสั่งการในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ในทุกอำเภอแล้ว พร้อมทั้งมีการเน้นย้ำกำชับให้นายอำเภอ ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการแจ้งเตือนและดูแลจัดการกับการเผาในที่โล่งทุกชนิด
ขณะเดียวกันนายอมรพันธุ์ กล่าวว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่กำลังจะได้รับการสนับสนุนเครื่องจักรสำหรับการบดย่อยเศษกิ่งไม้ใบไม้และเศษวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิง จำนวนประมาณ 20 เครื่อง จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.) เพื่อนำออกใช้งานให้บริการประชาชนในการบดย่อยเศษวัสดุต่างๆ เพื่อผลิตปุ๋ยหมักแทนการเผา ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาการเผาลงได้แล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้อีกด้วย เชื่อว่าการดำเนินการนี้น่าจะได้ผลในการช่วยบรรเทาปัญหาได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนในปี 2553 ว่า ตามปกติทุกปีในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เป็นต้นไป สถานการณ์ของปัญหาจะเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่ในปีนี้เนื่องจากมีฝนตกลงมา จึงทำให้สถานการณ์ของหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังไม่รุนแรง ถึงในระดับที่เป็นปัญหา โดยในช่วงนี้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก10 ไมครอน ที่ตรวจวัดได้อยู่ในระดับประมาณ 60-70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามและคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย และของสิงคโปร์ ที่มองภาพรวมของสถานการณ์ปัญหานี้ทั้งภูมิภาค ระบุว่าจากนี้เป็นต้นไปมีแนวโน้มที่อากาศจะแห้งมากขึ้น ประกอบกับ ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเริ่มส่งผลทำให้สถานการณ์ของปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
รายงานข่าวจากจังหวัดลำปาง แจ้งว่า สภาพบรรยากาศในตัวเมืองลำปาง ในช่วงสายวานนี้ (9 ก.พ.) มองจากมุมสูง ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทาดำ โดยสามารถที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)พบว่า จ.ลำพูน และลำปาง มีค่าคุณภาพอากาศเกินมาตรฐานแล้ว โดยพบว่าปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีอนุภาคเล็กกว่า10ไมครอน ซึ่งวัดได้จนถึงเวลา 09.00 น. วานนี้(9 ก.พ.) อยู่ที่ 124.3 ไมโครกรัม( มคก.)/ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ขณะที่ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 120 มคก./ลบ.ม.
สำหรับจังหวัดลำปาง ที่สถานีตรวจวัดสภาพอากาศ ศาลากลางจังหวัดลำปาง หลังเก่า อ.เมือง จ.ลำปาง พบว่ามีปริมาณเกินมาตรฐาน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าสถานการณ์หมอกควันของลำปางปีนี้มาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา
สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดปัญหาหมอกควันคือยังคงมีการลักลอบเผาป่าทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ การเผาหญ้าในที่โล่ง เช่น การเผาหญ้าแห้ง เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับทำการเกษตรในช่วงฤดูฝน รวมถึงไฟป่า ที่หน่วยงานยังขาดประสิทธิภาพในการควบคุมและระงับเหตุ ทำให้เกิดฝุ่นควัน
นอกจากนี้ สภาพความกดอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นยังก่อให้เกิดหมอกในตอนเช้า เมื่อหยดน้ำในอากาศรวมตัวกับฝุ่นละอองและสารมลพิษในอากาศเกิดเป็นลักษณะของ smog (smoke fog) คือ ควันปนหมอก จึงเกิดสภาพฟ้าหลัว จากนั้นในช่วงบ่ายก็ค่อยเจือจางหายไปแต่ไม่หมดเสียทีเดียว
อีกสาเหตุหนึ่งคือเขตเมืองลำปาง มีสภาพเป็นแอ่งกระทะ ทำให้หมอกควันเข้ามาปกคลุมในพื้นที่ ทำให้ประสบปัญหาเป็นประจำทุกปี ถึงแม้จะมีการรณรงค์มาก่อนล่วงหน้าแต่ก็ยังมีการลักลอบเผาป่าหญ้าแห้ง
ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เตรียมเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวของเข้าประชุมเป็นการด่วน เพื่อสรุปและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนเนื่องจากเกรงว่าจะกระทบกับการท่องเที่ยวของจังหวัด
**เชียงใหม่คุณภาพอากาศยังได้มาตรฐาน
ขณะที่จ.เชียงใหม่ นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์หมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กของจังหวัดเชียงใหม่ว่า ขณะนี้คุณภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM10 และค่าดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ ยังคงอยู่ในระดับที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ
ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีรายงานพบการเกิดจุดความร้อน(Hot Spot) และการเผาเพิ่มขึ้น โดยมีรายงานมากในพื้นที่อ.แม่แจ่ม อมก๋อย เชียงดาว และดอยสะเก็ด ซึ่งได้มีการสั่งการกำชับให้แต่ละพื้นที่เพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมและระมัดระวังการเผาแล้ว ทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่สูง
สำหรับการดำเนินการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็กในระดับพื้นที่ของแต่ละอำเภอนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้มีการสั่งการในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ในทุกอำเภอแล้ว พร้อมทั้งมีการเน้นย้ำกำชับให้นายอำเภอ ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการแจ้งเตือนและดูแลจัดการกับการเผาในที่โล่งทุกชนิด
ขณะเดียวกันนายอมรพันธุ์ กล่าวว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์ จังหวัดเชียงใหม่กำลังจะได้รับการสนับสนุนเครื่องจักรสำหรับการบดย่อยเศษกิ่งไม้ใบไม้และเศษวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิง จำนวนประมาณ 20 เครื่อง จากองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ (อบจ.) เพื่อนำออกใช้งานให้บริการประชาชนในการบดย่อยเศษวัสดุต่างๆ เพื่อผลิตปุ๋ยหมักแทนการเผา ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาการเผาลงได้แล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้อีกด้วย เชื่อว่าการดำเนินการนี้น่าจะได้ผลในการช่วยบรรเทาปัญหาได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนในปี 2553 ว่า ตามปกติทุกปีในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เป็นต้นไป สถานการณ์ของปัญหาจะเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่ในปีนี้เนื่องจากมีฝนตกลงมา จึงทำให้สถานการณ์ของหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังไม่รุนแรง ถึงในระดับที่เป็นปัญหา โดยในช่วงนี้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก10 ไมครอน ที่ตรวจวัดได้อยู่ในระดับประมาณ 60-70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามและคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย และของสิงคโปร์ ที่มองภาพรวมของสถานการณ์ปัญหานี้ทั้งภูมิภาค ระบุว่าจากนี้เป็นต้นไปมีแนวโน้มที่อากาศจะแห้งมากขึ้น ประกอบกับ ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเริ่มส่งผลทำให้สถานการณ์ของปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ