ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษชี้ฝนตกช่วงนี้ ช่วยทำให้สถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่เชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนยังไร้ปัญหา แต่คาดการณ์แนวโน้มจะเริ่มรุนแรงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศแห้งและปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” เผยเตรียมนัดประชุมประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ก.พ.หารือแนวทางร่วมมือกันป้องกันแก้ไขปัญหา พร้อมส่งรถตรวจวัดคุณภาพอากาศไปประจำอยู่ที่ประเทศพม่าและลาว 3 เดือน เพื่อเก็บข้อมูลช่วยบ่งชี้สถานการณ์
ดร.วิจารย์ สิมาฉายา รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือตอนบนในปี 2553 ว่า ตามปกติทุกปีในช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เป็นต้น สถานการณ์ของปัญหาจะเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น แต่ในปีนี้เนื่องจากมีฝนตกลงมา จึงทำให้สถานการณ์ของหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังไม่รุนแรง ถึงในระดับที่มีเป็นปัญหา โดยในช่วงนี้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก10 ไมครอน ที่ตรวจวัดได้อยู่ในระดับประมาณ 60-70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดไว้ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามและคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาของไทย และของสิงคโปร์ ที่มองภาพรวมของสถานการณ์ปัญหานี้ทั้งภูมิภาค ระบุว่าจากนี้เป็นต้นไปมีแนวโน้มที่อากาศจะแห้งมากขึ้น ประกอบกับ ปรากฏการณ์เอลนีโญ จะเริ่มส่งผลทำให้สถานการณ์ของปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ
ทั้งนี้ ในส่วนของการเตรียมความพร้อมรับมือ ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ระหว่าง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประสานความร่วมมือกันในการเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหานี้แล้ว
สำหรับการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ ดร.วิจารย์ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนมีกำหนดที่จะนัดเพื่อพูดคุยหารือกันเกี่ยวกับปัญหานี้ เพื่อวางแนวทางในการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายร่วมกันในการที่จะลดการเผาและลดจุดความร้อน โดยตระหนักร่วมกันว่า ปัญหาดังกล่าวนี้ไม่มีพรมแดนและส่งผลกระทบถึงกันทั้งหมดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะเดียวกัน ดร.วิจารย์ เผยว่า ในปีนี้กรมควบคุมมลพิษ เตรียมให้การสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่าและลาว ในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ โดยการส่งรถเคลื่อนที่ตรวจวัดคุณภาพ เข้าไปประจำอยู่ที่เมืองท่าขี้เหล็กของพม่า และเวียงวังของลาว เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศไม่มีเครื่องมือดังกล่าว ซึ่งอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าวนี้จะถูกส่งไปประจำอยู่ 3 เดือน ระหว่างกุมภาพันธ์-เมษายน 2553 เพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศนำไปใช้เป็นตัวบ่งชี้สถานการณ์และกำหนดแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยอนาคตจะมีการสนับสนุนให้มีการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นสถานีถาวรในประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองด้วย
นอกจากนี้รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษ ได้มีการกำหนดใช้ค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน ที่ปนเปื้อนในอากาศ โดยกำหนดค่ามาตรฐานเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่มีการกำหนดใช้ค่ามาตรฐานฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานคุณภาพอากาศที่เข้มข้นและใส่ใจในเรื่องของผลกระทบของฝุ่นละอองขนาดเล็กมากขึ้น เนื่องจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน มีขนาดเล็กกว่า สามารถเข้าไปสู่ปอดชั้นในและมีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าฝุ่นละอองขนาด 10 ไมครอน