นับตั้งแต่ เสธ.คนดังจุดพลุข่าวการรัฐประหารแล้ว การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเพื่อต่อต้านการรัฐประหารก็เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและคึกคัก ถึงกับนัดไปชุมนุมที่กระทรวงกลาโหมและที่หน้าหน่วยทหารทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนบางสำนัก นักวิชาการบางค่ายก็ออกมาประสานเสียงไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น ก็จะเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พูดราวกับว่าทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นคือทางปฏิวัติรัฐประหารอย่างนั้นแหละ!
บ้างก็ให้เหตุผลว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะทำให้การยึดหรืออายัดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท เป็นการไม่ชอบ บ้างก็ว่าจะเป็นเหตุให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหรือสามารถเคลื่อนไหวด้านต่างประเทศอย่างกว้างขวาง กระทั่งจะมีคนไทยเข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก
คำพูดอย่างนี้คือคำขู่ทหารว่าอย่าทำรัฐประหารเท่านั้น ไม่สามารถแปลหรือถอดความหมายเป็นอย่างอื่นได้เลย แต่สิ่งที่ทำกันนั้นไม่ว่าการด่าว่าเหยียดหยามทหารก็ดี การคุกคามกดดันต่อทหารชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ดี กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามเพราะเป็นเรื่องการยั่วยุให้เกิดการรัฐประหาร
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องลองคิดพิจารณากันให้ดีว่าถ้าเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร จะเป็นการเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเข้าทางใครกันแน่?
ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถ้าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นกระทำโดยลิ่วล้อบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่านั่นแหละเป็นการเข้าทางอย่างแท้จริง
แล้วถามว่ามีการปูทางนี้ไว้บ้างหรือไม่? ก็ต้องตอบว่ามี แค่นำข่าวนำมาปะติดปะต่อกันก็อาจเห็นเป็นภาพใหญ่ถึงการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธในหลายจุดหลายพื้นที่ ซึ่งการจัดตั้งกองกำลังแบบนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อเป็นการ์ดหรือเพื่อเอาไปเย็บปักถักร้อยหรือทำไร่ไถนาเป็นแน่แท้
ก็ต้องบอกว่านั่นคือกระบวนการเตรียมการทางด้านกำลังเพื่อปฏิวัติรัฐประหารอยู่เหมือนกัน และถ้าทำได้สำเร็จก็นับว่าเข้าทาง แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก็กล่าวได้ว่าทางสายนี้ไม่มีใครเดิน และเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแต่หญ้ารกรุงรังและเต็มไปด้วยอสรพิษนานาชนิด
แต่ถ้าการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นจากฝ่ายอื่น ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจจำแนกได้เป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ต้องการอำนาจ และพร้อมที่จะฮั้วกับใครก็ได้ฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายที่ต้องการกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้กลับสู่ความเป็นปกติสุขอีกฝ่ายหนึ่ง
ฝ่ายแรกนั้นคงตัดทิ้งไปได้ เพราะถูกหยามน้ำหน้า ถูกตัดแข้งตัดขาจนแต๋วแตกไปนานแล้ว และที่ผ่านมาใครๆ ก็เห็นแล้วว่าได้ทำให้เกิดความเสียหายกับชาติบ้านเมืองและกองทัพขนาดไหน จึงไม่เป็นที่พึ่งที่หวังอันใดให้กับใครได้เลย
จึงเหลืออยู่เพียงฝ่ายเดียว คือฝ่ายที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งยังมีอยู่มากทั่วทั้งกองทัพและทุกเหล่าทัพ เพราะเป็นฝ่ายที่มีเลือดเนื้อและชีวิตเป็นทหารแท้ มีความสำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ถือตนเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นทหารของประชาชน
ดังนั้นหากจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารก็น่าจะมาจากพลังรักชาติในกองทัพ ที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพล่มจมล่มสลาย กระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือก้าวไปสู่สภาพสิ้นแผ่นดิน สิ้นชาติ สิ้นกษัตริย์
หากเกิดขึ้นจากฝ่ายนี้ เบื้องต้นก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทางและไม่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลย
ดังนั้นความรู้สึกหวาดผวาวิตกต่อการปฏิวัติรัฐประหาร จึงเป็นความหวาดผวาเพราะรู้ว่ากรณีไม่เข้าทางที่ต้องการนั่นเอง
เพราะฉะนั้นแกนนำบางพวกจึงออกคำสั่งให้แกนนำในพื้นที่ต่างๆ ระดมคนเข้ากรุง บ้างก็สั่งให้เอาน้ำมันเชื้อเพลิงติดตัวเข้ามาด้วยคนละลิตรเพื่อเผาบ้านเผาเมืองตลอดจนยึดศาลากลางจังหวัดและปิดการจราจร
และยังสั่งด้วยว่าถ้าแกนนำถูกจับหรือสั่งการไม่ได้ ก็ให้ปฏิบัติการได้โดยอิสระ ซึ่งประหนึ่งเป็นความกล้าหาญและเสียสละสูงสุด แต่ถ้าดูบทเรียนเมื่อเดือนเมษายน ก็จะเข้าใจได้ว่าเมื่อสถานการณ์คับขันมาถึงแกนนำคงสั่งการไม่ได้เพราะเผ่นหนีกันหมด ดังนั้นจึงให้ประชาชนออกหน้าต่อสู้แทน ถ้าดีก็จะกลับมา ถ้าร้ายก็จะหายหน้าไป เหมือนกับบางคนที่ยังร่อนเร่พเนจรอยู่ต่างประเทศในขณะนี้
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าหากเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ย่อมไม่ใช่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นที่หวาดผวาของผู้ก่อการเคลื่อนไหวป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้ จึงพยายามขัดขวางป้องกันมิให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารทุกวิถีทาง
แล้วถามต่อไปว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร จะไม่กระทบต่อคดียึดทรัพย์ดอกหรือ? ก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับว่าทำเป็นหรือทำไม่เป็น เพราะถ้าวางหมากเพื่อจะทำมาหากินกันต่อไป ก็สามารถวางหมากเพื่อให้เกิดผลกระทบในทางที่เป็นคุณได้ แต่ถ้าทำการโดยถูกต้องด้วยอำนาจแห่งรัฏฐาธิปัตย์ ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นและนอกเหนือจากนั้นก็อาจถูกยึดเข้าหลวง แบบเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนายสัญญา ธรรมศักดิ์
ดังนั้นหากมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น จึงมีแต่จะเป็นผลเสียต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ตลอดจนอาจเกิดผลกระทบต่อทรัพย์สินอื่นๆ รวมทั้งทรัพย์สินของนักการเมืองร่วมรัฐบาลในยุคนั้นอีกด้วย
หากจะถามต่อไปว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร จะไม่เป็นทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้เป็นเหตุอ้างเคลื่อนไหวในต่างประเทศดอกหรือ?
ก็ในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวตลอดมา หากจะเคลื่อนไหวต่อไปก็ไม่ได้แตกต่างกันที่ตรงไหน ขึ้นอยู่กับว่าอำนาจรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะดำเนินงานด้านต่างประเทศให้เป็นมรรคเป็นผลทันท่วงทีและเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ต่างหาก
อย่าไปคิดว่ามหาอำนาจจะต่อต้านคัดค้านการปฏิวัติรัฐประหารเสมอไป กรณี มูชาราฟของปากีสถานและกรณีฮอนดูรัสที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ ก็คือตัวอย่างอันพึงเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์
เพราะชาติมหาอำนาจทั้งหลายนั้นน้ำใจแท้หาได้คำนึงถึงเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารไม่ มิหนำซ้ำในหลายที่หลายแห่งของโลกก็อยู่เบื้องหลังสั่งการให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารด้วยซ้ำไป
การสนับสนุนหรือการคัดค้านจากต่างชาติขึ้นอยู่กับการเจรจาและการประสานผลประโยชน์ ซึ่งผู้มีอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ย่อมมีพลังอำนาจต่อรองมากหรือน้อยกว่าคนคนหนึ่งซึ่งเร่ร่อนจรจัดอยู่ในต่างประเทศเล่า
ที่กล่าวมาทั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นไม่ได้เข้าทางใคร และไม่ใช่ทางของใคร หากจะเข้าทางก็เข้าทางของทหาร ดังนั้นการใดๆ ที่ยั่วยุเหยียดหยามย่ำยีทหาร จึงนอกจากไม่เป็นประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนเหล่าแกนนำทั้งหลาย
ดังนั้นแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ยามนี้จะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่เพราะความหวาดผวาจึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวใหญ่ โดยมีข้ออ้างว่าต่อต้านการรัฐประหาร
ในขณะเดียวกันก็หวังผลลึกทางการเมือง ซึ่งเดินหน้าปูทางจนมีความหวังถึงกับใครบางคนเตรียมตัวเตรียมตนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีกันแล้ว
จับตาดูกันให้ดีๆ เมื่อการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารเป็นที่มั่นใจแล้ว เมื่อนั้นก็จะมีการยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ล้มรัฐบาล ณ กาลบัดนั้น ดีไม่ดีพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะยกพวกถอนตัวก็ได้
หรือถึงหากจะไม่ถอนตัวก็เกิดความระส่ำระสายขึ้นภายในรัฐบาล จนกระทั่งการบริหารงานขลุกขลักแล้วประชาชนจะก่นด่าเตลิดเปิดเปิง ซึ่งย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยมิพักต้องสงสัย.
ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนบางสำนัก นักวิชาการบางค่ายก็ออกมาประสานเสียงไปในทางเดียวกันว่า ถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น ก็จะเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พูดราวกับว่าทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นคือทางปฏิวัติรัฐประหารอย่างนั้นแหละ!
บ้างก็ให้เหตุผลว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะทำให้การยึดหรืออายัดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท เป็นการไม่ชอบ บ้างก็ว่าจะเป็นเหตุให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหรือสามารถเคลื่อนไหวด้านต่างประเทศอย่างกว้างขวาง กระทั่งจะมีคนไทยเข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก
คำพูดอย่างนี้คือคำขู่ทหารว่าอย่าทำรัฐประหารเท่านั้น ไม่สามารถแปลหรือถอดความหมายเป็นอย่างอื่นได้เลย แต่สิ่งที่ทำกันนั้นไม่ว่าการด่าว่าเหยียดหยามทหารก็ดี การคุกคามกดดันต่อทหารชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ดี กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามเพราะเป็นเรื่องการยั่วยุให้เกิดการรัฐประหาร
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องลองคิดพิจารณากันให้ดีว่าถ้าเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร จะเป็นการเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือเข้าทางใครกันแน่?
ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าถ้าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นกระทำโดยลิ่วล้อบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่านั่นแหละเป็นการเข้าทางอย่างแท้จริง
แล้วถามว่ามีการปูทางนี้ไว้บ้างหรือไม่? ก็ต้องตอบว่ามี แค่นำข่าวนำมาปะติดปะต่อกันก็อาจเห็นเป็นภาพใหญ่ถึงการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธในหลายจุดหลายพื้นที่ ซึ่งการจัดตั้งกองกำลังแบบนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อเป็นการ์ดหรือเพื่อเอาไปเย็บปักถักร้อยหรือทำไร่ไถนาเป็นแน่แท้
ก็ต้องบอกว่านั่นคือกระบวนการเตรียมการทางด้านกำลังเพื่อปฏิวัติรัฐประหารอยู่เหมือนกัน และถ้าทำได้สำเร็จก็นับว่าเข้าทาง แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้วก็กล่าวได้ว่าทางสายนี้ไม่มีใครเดิน และเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแต่หญ้ารกรุงรังและเต็มไปด้วยอสรพิษนานาชนิด
แต่ถ้าการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นจากฝ่ายอื่น ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อาจจำแนกได้เป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ต้องการอำนาจ และพร้อมที่จะฮั้วกับใครก็ได้ฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายที่ต้องการกอบกู้ฟื้นฟูชาติให้กลับสู่ความเป็นปกติสุขอีกฝ่ายหนึ่ง
ฝ่ายแรกนั้นคงตัดทิ้งไปได้ เพราะถูกหยามน้ำหน้า ถูกตัดแข้งตัดขาจนแต๋วแตกไปนานแล้ว และที่ผ่านมาใครๆ ก็เห็นแล้วว่าได้ทำให้เกิดความเสียหายกับชาติบ้านเมืองและกองทัพขนาดไหน จึงไม่เป็นที่พึ่งที่หวังอันใดให้กับใครได้เลย
จึงเหลืออยู่เพียงฝ่ายเดียว คือฝ่ายที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งยังมีอยู่มากทั่วทั้งกองทัพและทุกเหล่าทัพ เพราะเป็นฝ่ายที่มีเลือดเนื้อและชีวิตเป็นทหารแท้ มีความสำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ถือตนเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นทหารของประชาชน
ดังนั้นหากจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารก็น่าจะมาจากพลังรักชาติในกองทัพ ที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพล่มจมล่มสลาย กระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมือง หรือก้าวไปสู่สภาพสิ้นแผ่นดิน สิ้นชาติ สิ้นกษัตริย์
หากเกิดขึ้นจากฝ่ายนี้ เบื้องต้นก็จะเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทางและไม่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เลย
ดังนั้นความรู้สึกหวาดผวาวิตกต่อการปฏิวัติรัฐประหาร จึงเป็นความหวาดผวาเพราะรู้ว่ากรณีไม่เข้าทางที่ต้องการนั่นเอง
เพราะฉะนั้นแกนนำบางพวกจึงออกคำสั่งให้แกนนำในพื้นที่ต่างๆ ระดมคนเข้ากรุง บ้างก็สั่งให้เอาน้ำมันเชื้อเพลิงติดตัวเข้ามาด้วยคนละลิตรเพื่อเผาบ้านเผาเมืองตลอดจนยึดศาลากลางจังหวัดและปิดการจราจร
และยังสั่งด้วยว่าถ้าแกนนำถูกจับหรือสั่งการไม่ได้ ก็ให้ปฏิบัติการได้โดยอิสระ ซึ่งประหนึ่งเป็นความกล้าหาญและเสียสละสูงสุด แต่ถ้าดูบทเรียนเมื่อเดือนเมษายน ก็จะเข้าใจได้ว่าเมื่อสถานการณ์คับขันมาถึงแกนนำคงสั่งการไม่ได้เพราะเผ่นหนีกันหมด ดังนั้นจึงให้ประชาชนออกหน้าต่อสู้แทน ถ้าดีก็จะกลับมา ถ้าร้ายก็จะหายหน้าไป เหมือนกับบางคนที่ยังร่อนเร่พเนจรอยู่ต่างประเทศในขณะนี้
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าหากเกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น ย่อมไม่ใช่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นที่หวาดผวาของผู้ก่อการเคลื่อนไหวป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้ จึงพยายามขัดขวางป้องกันมิให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารทุกวิถีทาง
แล้วถามต่อไปว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร จะไม่กระทบต่อคดียึดทรัพย์ดอกหรือ? ก็ต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับว่าทำเป็นหรือทำไม่เป็น เพราะถ้าวางหมากเพื่อจะทำมาหากินกันต่อไป ก็สามารถวางหมากเพื่อให้เกิดผลกระทบในทางที่เป็นคุณได้ แต่ถ้าทำการโดยถูกต้องด้วยอำนาจแห่งรัฏฐาธิปัตย์ ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นและนอกเหนือจากนั้นก็อาจถูกยึดเข้าหลวง แบบเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนายสัญญา ธรรมศักดิ์
ดังนั้นหากมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น จึงมีแต่จะเป็นผลเสียต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ตลอดจนอาจเกิดผลกระทบต่อทรัพย์สินอื่นๆ รวมทั้งทรัพย์สินของนักการเมืองร่วมรัฐบาลในยุคนั้นอีกด้วย
หากจะถามต่อไปว่าถ้ามีการปฏิวัติรัฐประหาร จะไม่เป็นทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้เป็นเหตุอ้างเคลื่อนไหวในต่างประเทศดอกหรือ?
ก็ในวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวตลอดมา หากจะเคลื่อนไหวต่อไปก็ไม่ได้แตกต่างกันที่ตรงไหน ขึ้นอยู่กับว่าอำนาจรัฐใหม่ที่เกิดขึ้นจะดำเนินงานด้านต่างประเทศให้เป็นมรรคเป็นผลทันท่วงทีและเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ต่างหาก
อย่าไปคิดว่ามหาอำนาจจะต่อต้านคัดค้านการปฏิวัติรัฐประหารเสมอไป กรณี มูชาราฟของปากีสถานและกรณีฮอนดูรัสที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ ก็คือตัวอย่างอันพึงเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์
เพราะชาติมหาอำนาจทั้งหลายนั้นน้ำใจแท้หาได้คำนึงถึงเรื่องการปฏิวัติรัฐประหารไม่ มิหนำซ้ำในหลายที่หลายแห่งของโลกก็อยู่เบื้องหลังสั่งการให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารด้วยซ้ำไป
การสนับสนุนหรือการคัดค้านจากต่างชาติขึ้นอยู่กับการเจรจาและการประสานผลประโยชน์ ซึ่งผู้มีอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ย่อมมีพลังอำนาจต่อรองมากหรือน้อยกว่าคนคนหนึ่งซึ่งเร่ร่อนจรจัดอยู่ในต่างประเทศเล่า
ที่กล่าวมาทั้งนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าการปฏิวัติรัฐประหารนั้นไม่ได้เข้าทางใคร และไม่ใช่ทางของใคร หากจะเข้าทางก็เข้าทางของทหาร ดังนั้นการใดๆ ที่ยั่วยุเหยียดหยามย่ำยีทหาร จึงนอกจากไม่เป็นประโยชน์ใดๆ แล้ว ยังเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนเหล่าแกนนำทั้งหลาย
ดังนั้นแม้จะรู้ว่าสถานการณ์ยามนี้จะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น แต่เพราะความหวาดผวาจึงเป็นที่มาของการเคลื่อนไหวใหญ่ โดยมีข้ออ้างว่าต่อต้านการรัฐประหาร
ในขณะเดียวกันก็หวังผลลึกทางการเมือง ซึ่งเดินหน้าปูทางจนมีความหวังถึงกับใครบางคนเตรียมตัวเตรียมตนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีกันแล้ว
จับตาดูกันให้ดีๆ เมื่อการเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารเป็นที่มั่นใจแล้ว เมื่อนั้นก็จะมีการยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ล้มรัฐบาล ณ กาลบัดนั้น ดีไม่ดีพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจจะยกพวกถอนตัวก็ได้
หรือถึงหากจะไม่ถอนตัวก็เกิดความระส่ำระสายขึ้นภายในรัฐบาล จนกระทั่งการบริหารงานขลุกขลักแล้วประชาชนจะก่นด่าเตลิดเปิดเปิง ซึ่งย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยมิพักต้องสงสัย.