เชียงใหม่ เคยเป็นเมืองที่น่ารัก…
อากาศดี ภูมิประเทศสวยงาม ผู้คนอัธยาศรัยเยี่ยม ศิลปวัฒนธรรมก็มีเสน่ห์ดึงดูด ควรค่าแก่การเรียนรู้
แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา... คนเพียงกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง ได้กระทำการตามอำเภอใจของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง และโดยปราศจากสำนึก
กรณีแล้ว กรณีเล่า เหตุการณ์แล้ว เหตุการณ์เล่า
บางครั้งถึงกับมีคนถูกฆ่าตาย หลายครั้งมีคนบาดเจ็บหลายราย
สภาพความวุ่นวายสั่งสม จนทำให้เชียงใหม่ ถูกคนภายนอกมองว่า มีสภาพแทบไม่ต่างจาก “บ้านป่าเมืองเถื่อน”
เป็นบ้านเมืองที่กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถจะละเมิดกฏหมายบ้านเมืองได้ตามอำเภอใจ
เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2553 เป็นเครื่องตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง
1)ผม คณะสื่อมวลชนและครอบครัว รวมทั้งหมดประมาณ 50 คน ได้ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ เดินทางออกจากหัวลำโพง ตอนเย็นวันที่ 22 ม.ค.2553 ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ เช้าวันที่ 23 ม.ค.2553
คณะเดินทางกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทว็อชด็อก ผลิตสื่อสาระและรายการโทรทัศน์หลายรายการ ออกอากาศหลายช่อง เช่น รายการเวทีชาวบ้าน รายการหมู่บ้านฐานไทย รายการนักสำรวจ รายการรู้ค่าพลังงาน รายการชูรักชูรส รายการหมู่บ้านฐานไทย รายการลงเอยอย่างไร รายการรู้ทันประเทศ เป็นต้น
พนักงานหลายคนได้พาคนในครอบครัวของตน เช่น แม่ ภรรยา สามี ลูกๆ ฯลฯ เดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นการเดินทางไปสัมมนาภายใน และถือโอกาสพักผ่อน จะเที่ยวชมบรรยากาศเชียงใหม่ช่วงปลายฤดูหนาว
คณะเดินทางจึงประกอบด้วยผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ และมีเด็กๆ อีกกว่า 10 คน
2) ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ เช้าวันที่ 23 ม.ค.2553 ผมได้ช่วยเจ้าหน้าที่ยกกระเป๋า ขนสัมภาระขึ้นรถเข็น เตรียมส่งต่อขึ้นรถบัสที่เช่าเหมามาบริการ ระหว่างนั้น ได้มีคนขับรถสองแถว แท็กซี่ บางคน เริ่มสังเกตเห็น และจำผมได้ เริ่มมีการพูดว่า เป็นพวกเสื้อเหลือง
แต่เหตุการณ์ที่สถานีรถไฟก็ไม่มีอะไร ผมเดินทางไปในรถของเพื่อนที่มารับ ส่วนคณะที่เดินทางมาด้วยกันก็ขึ้นรถบัส โดยมีเป้าหมายปลายทางเดียวกัน คือ บ้านพักของเพื่อนผม ซึ่งใจดี อนุญาตให้คณะเดินทางได้ไปพักอาศัย อยู่ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
ผมเคยไปพักที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้เอง พบว่า ชาวบ้านแถบนั้นมีอัธยาศรัยไมตรีดีมาก เคยเดินไปอาบน้ำพุร้อนที่ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง พูดคุยสนทนากันปกติ แม้จะเห็นเหมือนกันหรือคิดต่างกันบางเรื่อง แต่ชาวบ้านที่นั่นก็ไม่เคยมีท่าทีคุกคามหรือแสดงออกถึงความประสงค์ร้ายเลยแม้แต่น้อย
3) ออกจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ ระหว่างอยู่บนรถ ผมได้ฟังรายการวิทยุชุมชน จัดรายการโดยแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ เริ่มมีการป่าวประกาศ และคาดเดาว่าผมจะเดินทางไปที่สำนักสันติอโศก (ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย)
4) ช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค.2553 ที่บ้านพัก อ.ดอยสะเก็ด คณะของเราจัดกิจกรรมสัมนา โดยเชิญบุคคลที่มีประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวและการโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ 2 ท่าน มาสนทนา แลกเปลี่ยน พูดคุยกันถึงวิธีการทำธุรกิจ การทำงาน และการแก้ปัญหา
ช่วงบ่าย จัดกิจกรรมสันทนาการ แบ่งกลุ่มเล่นเกมส์ (เหมือนสัมนาทั่วๆ ไป) จนกระทั่งถึงเวลาประมาณก่อนบ่ายสามโมง ผมแนะนำให้คณะเดินทางไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนของชุมชน ซึ่งอยู่ห่างที่พักไปประมาณ 1-2 ก.ม.
5) เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็น ตำรวจพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ดได้เดินทางเข้ามาพบ
แจ้งให้ทราบว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้ทำการปลุกระดมผู้คนผ่านสถานีวิทยุ
ผมถามตำรวจว่าจะแนะนำให้ทำอย่างไรดี ? ตำรวจก็แนะนำว่า ให้อยู่ภายในบ้านเฉยๆ ซึ่งผมก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี แต่หลังจากนั้น ตำรวจก็แจ้งข่าวว่า แกนนำเสื้อแดงจะพาคนเดินทางมาชุมนุมกดดันที่บ้านพักในตอนค่ำ ประมาณ 1 ทุ่ม
ตำรวจได้ถามผมว่า “อาจารย์เจิมศักดิ์จะรู้สึกอย่างไร ถ้าจะให้หลบไปก่อน?”
ผมคิดครู่เดียว ก็ตอบตำรวจไปว่า “ไม่รู้สึกเสียหน้า ถ้าผมออกไปแล้ว จะทำให้ชาวบ้านแถบนี้ไม่ต้องเดือดร้อน และทำให้เหตุการณ์ที่บ้านพักไม่บานปลาย”
6) หลังจากตำรวจให้การยืนยันว่า หากผมออกไปก่อนจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมก็คิดอยู่นานว่า จะเดินทางออกไปด้วยรถของตำรวจ หรือรถของเพื่อนอีกคนที่มาต้อนรับ?
พร้อมกันนั้น ก็คิดว่า จะเดินทางไปอยู่ที่ไหนดี?
ในที่สุด ก็ตัดสินใจเดินทางไปในรถของตำรวจ โดยมีเพื่อนที่เป็นทนายความนั่งไปด้วย ซึ่งระหว่างทางที่ออกไป ก็เจอด่านตรวจอยู่เป็นระยะ
น่าสังเกตว่า... หลายจุด ปรากฏว่า มีคนเสื้อแดง ยืนปะปนอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ตามด่านต่างๆ
เมื่อออกถนนใหญ่ เปิดวิทยุชุมชนที่จัดรายการโดยแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ก็มีการรายงานข่าวว่า ดร.เจิมศักดิ์ หนีออกไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่วางใจ ระหว่างทางได้มีการเปลี่ยนรถ
ความรู้สึกในตอนนั้น ไม่รู้สึกไว้วางใจใครเลย แม้แต่ตำรวจ!
หลังเปลี่ยนรถ ตำรวจถามว่าจะไปไหน ผมได้แต่บอกเส้นทางเฉพาะหน้า โดยไม่ได้บอกจุดหมายปลายทางแน่ชัด ตอนแรก ผมบอกแต่เพียงว่าให้มุ่งหน้าเข้าไปทางอำเภอเมือง หลังจากนั้น ค่อยให้แยกไปอีกทางอำเภอหนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในที่สุด
7) หลังจากที่ผมเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว ได้โทรศัพท์ไปถามเหตุการณ์กับคณะเดินทางที่ยังคงอยู่ในบ้านพัก ได้รับทราบเหตุการณ์ด้วยความไม่สบายใจว่า
เมื่อผมเดินทางออกจากบ้านพักไปแล้ว และรายการวิทยุของแกนนำเสื้อแดงก็ออกอากาศว่าผมออกไปแล้ว แต่กลับปรากฏว่า ยังคงมีการปลุกระดมผู้คนไปทำการกดดัน ข่มขู่ มุ่งร้ายต่อคณะเดินทางที่ยังอยู่ในพื้นที่
ตั้งแต่ช่วงประมาณ 5 โมงเย็น มีการนำชายฉกรรจ์นับสิบคน ปิดบังใบหน้า ไปข่มขู่ ขับไล่คณะของเราที่บริเวณบ่อน้ำพุร้อน ทั้งๆ ที่ มีทั้งเด็ก คนแก่ และผู้หญิง (เป็นส่วนใหญ่) แสดงท่าทีคุกคาม จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จนคณะเดินทางต้องเร่งรุด หนีกลับเข้าบ้านพักอย่างทุลักทุเล ต้องเดินลัดทุ่งนา ไปตามเส้นทางที่คนในพื้นที่แนะนำให้หลบเลี่ยงไป
เกือบๆ 6 โมงเย็น เมื่อคณะฯ กลับเข้าไปหลบอยู่ในบ้านพักแล้ว ปรากฏว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีแกนนำพามาจำนวนประมาณ 100 กว่าคน ได้มาชุมนุมบริเวณหน้าบ้าน มีรถเครื่องขยายเสียง มีการปราศรัยด่าทอ ปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสีคนในบ้านด้วยความเท็จ
พร้อมๆ กันนั้น ก็มีชายฉกรรจ์บางส่วน จำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน ได้พยายามเดินโอบรอบรั๊วด้านข้างของบ้านพัก มีการปีนป่าย บุกรุกจะเข้ามาในบริเวณบ้าน ถือไม้ ถือหนังสติ๊ก อาวุธปืน พร้อมกับมีเสียงจุดประทัดยักษ์ พลุไฟ เสียงดังสนั่น ต่อเนื่องเป็นระยะๆ
คนในบ้านตกอยู่ในสภาพที่ถูกกักขัง และข่มขู่อยู่อย่างนั้น จนเริ่มมืดค่ำ ภายในบ้านก็ถูกตัดกระแสไฟฟ้า ตกอยู่ในความมืด ในขณะที่การปราศรัยปลุกระดม ข่มขู่ และเสียงประทัดยักษ์ก็ยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ
เริ่มมีการยิงลูกแก้ว ก้อนหิน เข้าใส่ตัวบ้าน โดยยิงจากรั๊วด้านข้าง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณ 20 เมตร มีเสียงกระจกแตก และสียงก้อนหินกระทบผนังบ้านเป็นระยะๆ พร้อมๆ กับ เสียงระเบิด และเสียงปืน ที่ดังอยู่ข้างนอก กับเสียงปราศรัยปลุกระดม ข่มขู่ว่าจะบุกเข้ามาในบ้าน
ใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเท็จว่า คนในบ้านมามั่วยาเสพติด มั่วเซ็กส์ และในบ้านมีชั้นใต้ดิน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และดร.เสรี วงศ์มณฑา หลบอยู่ข้างใน บ้านหลังนี้เป็นบ้านของ ดร.เจิมศักดิ์ ก่อนจะปลุกระดมกับมวลชนว่า “จะเอามันไว้ให้พี่น้อง”
ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ถูกให้ไปรวมกันอยู่กลางบ้าน เพื่อความปลอดภัย ส่วนใหญ่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว อยู่ในความมืด และความตึงเครียด และต้องระวังไม่ไปอยู่ใกล้กระจก เพราะยังถูกระดมยิงด้วยก้อนหินและลูกแก้วอยู่เป็นระยะๆ
จนถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม เหตุการณ์จึงคลี่คลาย
หลังจากคนเสื้อแดงกลับไป คนในบ้านจึงได้ออกมาสำรวจ รอบๆ ตัวบ้าน พบความเสียหายจำนวนมาก ทั้งกระจกแตก ทั้งยังมีก้อนหินและลูกแก้วที่ถูกยิงเข้ามา ตกอยู่บนชานบ้าน จำนวนมาก
8) การกระทำของแกนนำคนเสื้อแดง และความป่าเถื่อนในการปิดล้อม ข่มขู่ และทำร้าย ทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหลายมาตรา โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นความผิดทางอาญาแผ่นดิน เช่น
มาตรา 309 “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้ กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำ ความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใดผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะ มีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีและปรับ ตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท”
มาตรา 310 “ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...”
มาตรา 310 ทวิ “ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท”
มาตรา 312 ทวิ “ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312 เป็นการกระทำต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก หรือ มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(1) รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับไม่เกินสามหมื่นบาท...”
นอกจากนี้ ยังน่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายอีกหลายมาตรา
9) ต้องติดตามว่า ตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และนักการเมืองผู้รับผิดชอบ จะทำหน้าที่ของตนหรือไม่ ?
กรณีดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดอาญาต่อแผ่นดิน เจ้าหน้าที่จะต้องทำหน้าที่ ดำเนินคดีได้เลย
จะรักษาความเป็น “นิติรัฐ” อย่างเด็ดขาด จริงจัง หรือจะยกให้คนเสื้อแดงเป็น “อภิสิทธิ์ชน” สามารถกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองได้ตามอำเภอใจ เพียงเพราะปลุกระดมผู้คนด้วยความเท็จ และสวมใส่เสื้อแดงในการก่อเหตุคุกคามประชาชนผู้อาศัยอยู่ภายใต้กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย ?
10) น่าคิดว่า... คนเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่มีอัธยาศรัยดี มีจิตใจรักและหวงแหนในสถาบันสำคัญของแผ่นดินไทย
ยังคงต้องการรักษาศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ และบรรยากาศของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเชียงใหม่ จะยอมจำนนต่อการกระทำเถื่อนถ่อยของคนกลุ่มหนึ่ง หรือจะไม่ยอมจำนน พยายามร่วมกันหาหนทางต่อต้านคนเสื้อแดงโดยสันติวิธี แสดงออกถึงการไม่ยอมรับวิธีการป่าเถื่อน การไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง และการทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนายใหญ่คนเสื้อแดงกลุ่มเดียว
สังคมจะเสื่อมทราม หากคนดีๆ ในสังคม ยอมจำนนต่อคนเลว!
อากาศดี ภูมิประเทศสวยงาม ผู้คนอัธยาศรัยเยี่ยม ศิลปวัฒนธรรมก็มีเสน่ห์ดึงดูด ควรค่าแก่การเรียนรู้
แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา... คนเพียงกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่มคนเสื้อแดง ได้กระทำการตามอำเภอใจของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง และโดยปราศจากสำนึก
กรณีแล้ว กรณีเล่า เหตุการณ์แล้ว เหตุการณ์เล่า
บางครั้งถึงกับมีคนถูกฆ่าตาย หลายครั้งมีคนบาดเจ็บหลายราย
สภาพความวุ่นวายสั่งสม จนทำให้เชียงใหม่ ถูกคนภายนอกมองว่า มีสภาพแทบไม่ต่างจาก “บ้านป่าเมืองเถื่อน”
เป็นบ้านเมืองที่กลุ่มคนเสื้อแดงสามารถจะละเมิดกฏหมายบ้านเมืองได้ตามอำเภอใจ
เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2553 เป็นเครื่องตอกย้ำอีกครั้งหนึ่ง
1)ผม คณะสื่อมวลชนและครอบครัว รวมทั้งหมดประมาณ 50 คน ได้ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ เดินทางออกจากหัวลำโพง ตอนเย็นวันที่ 22 ม.ค.2553 ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ เช้าวันที่ 23 ม.ค.2553
คณะเดินทางกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทว็อชด็อก ผลิตสื่อสาระและรายการโทรทัศน์หลายรายการ ออกอากาศหลายช่อง เช่น รายการเวทีชาวบ้าน รายการหมู่บ้านฐานไทย รายการนักสำรวจ รายการรู้ค่าพลังงาน รายการชูรักชูรส รายการหมู่บ้านฐานไทย รายการลงเอยอย่างไร รายการรู้ทันประเทศ เป็นต้น
พนักงานหลายคนได้พาคนในครอบครัวของตน เช่น แม่ ภรรยา สามี ลูกๆ ฯลฯ เดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นการเดินทางไปสัมมนาภายใน และถือโอกาสพักผ่อน จะเที่ยวชมบรรยากาศเชียงใหม่ช่วงปลายฤดูหนาว
คณะเดินทางจึงประกอบด้วยผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ และมีเด็กๆ อีกกว่า 10 คน
2) ถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ เช้าวันที่ 23 ม.ค.2553 ผมได้ช่วยเจ้าหน้าที่ยกกระเป๋า ขนสัมภาระขึ้นรถเข็น เตรียมส่งต่อขึ้นรถบัสที่เช่าเหมามาบริการ ระหว่างนั้น ได้มีคนขับรถสองแถว แท็กซี่ บางคน เริ่มสังเกตเห็น และจำผมได้ เริ่มมีการพูดว่า เป็นพวกเสื้อเหลือง
แต่เหตุการณ์ที่สถานีรถไฟก็ไม่มีอะไร ผมเดินทางไปในรถของเพื่อนที่มารับ ส่วนคณะที่เดินทางมาด้วยกันก็ขึ้นรถบัส โดยมีเป้าหมายปลายทางเดียวกัน คือ บ้านพักของเพื่อนผม ซึ่งใจดี อนุญาตให้คณะเดินทางได้ไปพักอาศัย อยู่ที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
ผมเคยไปพักที่นั่นเมื่อไม่นานมานี้เอง พบว่า ชาวบ้านแถบนั้นมีอัธยาศรัยไมตรีดีมาก เคยเดินไปอาบน้ำพุร้อนที่ชาวบ้านบริหารจัดการกันเอง พูดคุยสนทนากันปกติ แม้จะเห็นเหมือนกันหรือคิดต่างกันบางเรื่อง แต่ชาวบ้านที่นั่นก็ไม่เคยมีท่าทีคุกคามหรือแสดงออกถึงความประสงค์ร้ายเลยแม้แต่น้อย
3) ออกจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ ระหว่างอยู่บนรถ ผมได้ฟังรายการวิทยุชุมชน จัดรายการโดยแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ เริ่มมีการป่าวประกาศ และคาดเดาว่าผมจะเดินทางไปที่สำนักสันติอโศก (ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย)
4) ช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค.2553 ที่บ้านพัก อ.ดอยสะเก็ด คณะของเราจัดกิจกรรมสัมนา โดยเชิญบุคคลที่มีประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวและการโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ 2 ท่าน มาสนทนา แลกเปลี่ยน พูดคุยกันถึงวิธีการทำธุรกิจ การทำงาน และการแก้ปัญหา
ช่วงบ่าย จัดกิจกรรมสันทนาการ แบ่งกลุ่มเล่นเกมส์ (เหมือนสัมนาทั่วๆ ไป) จนกระทั่งถึงเวลาประมาณก่อนบ่ายสามโมง ผมแนะนำให้คณะเดินทางไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนของชุมชน ซึ่งอยู่ห่างที่พักไปประมาณ 1-2 ก.ม.
5) เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเย็น ตำรวจพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ดได้เดินทางเข้ามาพบ
แจ้งให้ทราบว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้ทำการปลุกระดมผู้คนผ่านสถานีวิทยุ
ผมถามตำรวจว่าจะแนะนำให้ทำอย่างไรดี ? ตำรวจก็แนะนำว่า ให้อยู่ภายในบ้านเฉยๆ ซึ่งผมก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี แต่หลังจากนั้น ตำรวจก็แจ้งข่าวว่า แกนนำเสื้อแดงจะพาคนเดินทางมาชุมนุมกดดันที่บ้านพักในตอนค่ำ ประมาณ 1 ทุ่ม
ตำรวจได้ถามผมว่า “อาจารย์เจิมศักดิ์จะรู้สึกอย่างไร ถ้าจะให้หลบไปก่อน?”
ผมคิดครู่เดียว ก็ตอบตำรวจไปว่า “ไม่รู้สึกเสียหน้า ถ้าผมออกไปแล้ว จะทำให้ชาวบ้านแถบนี้ไม่ต้องเดือดร้อน และทำให้เหตุการณ์ที่บ้านพักไม่บานปลาย”
6) หลังจากตำรวจให้การยืนยันว่า หากผมออกไปก่อนจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ผมก็คิดอยู่นานว่า จะเดินทางออกไปด้วยรถของตำรวจ หรือรถของเพื่อนอีกคนที่มาต้อนรับ?
พร้อมกันนั้น ก็คิดว่า จะเดินทางไปอยู่ที่ไหนดี?
ในที่สุด ก็ตัดสินใจเดินทางไปในรถของตำรวจ โดยมีเพื่อนที่เป็นทนายความนั่งไปด้วย ซึ่งระหว่างทางที่ออกไป ก็เจอด่านตรวจอยู่เป็นระยะ
น่าสังเกตว่า... หลายจุด ปรากฏว่า มีคนเสื้อแดง ยืนปะปนอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำอยู่ตามด่านต่างๆ
เมื่อออกถนนใหญ่ เปิดวิทยุชุมชนที่จัดรายการโดยแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ก็มีการรายงานข่าวว่า ดร.เจิมศักดิ์ หนีออกไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่วางใจ ระหว่างทางได้มีการเปลี่ยนรถ
ความรู้สึกในตอนนั้น ไม่รู้สึกไว้วางใจใครเลย แม้แต่ตำรวจ!
หลังเปลี่ยนรถ ตำรวจถามว่าจะไปไหน ผมได้แต่บอกเส้นทางเฉพาะหน้า โดยไม่ได้บอกจุดหมายปลายทางแน่ชัด ตอนแรก ผมบอกแต่เพียงว่าให้มุ่งหน้าเข้าไปทางอำเภอเมือง หลังจากนั้น ค่อยให้แยกไปอีกทางอำเภอหนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในที่สุด
7) หลังจากที่ผมเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว ได้โทรศัพท์ไปถามเหตุการณ์กับคณะเดินทางที่ยังคงอยู่ในบ้านพัก ได้รับทราบเหตุการณ์ด้วยความไม่สบายใจว่า
เมื่อผมเดินทางออกจากบ้านพักไปแล้ว และรายการวิทยุของแกนนำเสื้อแดงก็ออกอากาศว่าผมออกไปแล้ว แต่กลับปรากฏว่า ยังคงมีการปลุกระดมผู้คนไปทำการกดดัน ข่มขู่ มุ่งร้ายต่อคณะเดินทางที่ยังอยู่ในพื้นที่
ตั้งแต่ช่วงประมาณ 5 โมงเย็น มีการนำชายฉกรรจ์นับสิบคน ปิดบังใบหน้า ไปข่มขู่ ขับไล่คณะของเราที่บริเวณบ่อน้ำพุร้อน ทั้งๆ ที่ มีทั้งเด็ก คนแก่ และผู้หญิง (เป็นส่วนใหญ่) แสดงท่าทีคุกคาม จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จนคณะเดินทางต้องเร่งรุด หนีกลับเข้าบ้านพักอย่างทุลักทุเล ต้องเดินลัดทุ่งนา ไปตามเส้นทางที่คนในพื้นที่แนะนำให้หลบเลี่ยงไป
เกือบๆ 6 โมงเย็น เมื่อคณะฯ กลับเข้าไปหลบอยู่ในบ้านพักแล้ว ปรากฏว่า กลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีแกนนำพามาจำนวนประมาณ 100 กว่าคน ได้มาชุมนุมบริเวณหน้าบ้าน มีรถเครื่องขยายเสียง มีการปราศรัยด่าทอ ปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสีคนในบ้านด้วยความเท็จ
พร้อมๆ กันนั้น ก็มีชายฉกรรจ์บางส่วน จำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน ได้พยายามเดินโอบรอบรั๊วด้านข้างของบ้านพัก มีการปีนป่าย บุกรุกจะเข้ามาในบริเวณบ้าน ถือไม้ ถือหนังสติ๊ก อาวุธปืน พร้อมกับมีเสียงจุดประทัดยักษ์ พลุไฟ เสียงดังสนั่น ต่อเนื่องเป็นระยะๆ
คนในบ้านตกอยู่ในสภาพที่ถูกกักขัง และข่มขู่อยู่อย่างนั้น จนเริ่มมืดค่ำ ภายในบ้านก็ถูกตัดกระแสไฟฟ้า ตกอยู่ในความมืด ในขณะที่การปราศรัยปลุกระดม ข่มขู่ และเสียงประทัดยักษ์ก็ยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ
เริ่มมีการยิงลูกแก้ว ก้อนหิน เข้าใส่ตัวบ้าน โดยยิงจากรั๊วด้านข้าง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านประมาณ 20 เมตร มีเสียงกระจกแตก และสียงก้อนหินกระทบผนังบ้านเป็นระยะๆ พร้อมๆ กับ เสียงระเบิด และเสียงปืน ที่ดังอยู่ข้างนอก กับเสียงปราศรัยปลุกระดม ข่มขู่ว่าจะบุกเข้ามาในบ้าน
ใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเท็จว่า คนในบ้านมามั่วยาเสพติด มั่วเซ็กส์ และในบ้านมีชั้นใต้ดิน ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และดร.เสรี วงศ์มณฑา หลบอยู่ข้างใน บ้านหลังนี้เป็นบ้านของ ดร.เจิมศักดิ์ ก่อนจะปลุกระดมกับมวลชนว่า “จะเอามันไว้ให้พี่น้อง”
ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ถูกให้ไปรวมกันอยู่กลางบ้าน เพื่อความปลอดภัย ส่วนใหญ่ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว อยู่ในความมืด และความตึงเครียด และต้องระวังไม่ไปอยู่ใกล้กระจก เพราะยังถูกระดมยิงด้วยก้อนหินและลูกแก้วอยู่เป็นระยะๆ
จนถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่ม เหตุการณ์จึงคลี่คลาย
หลังจากคนเสื้อแดงกลับไป คนในบ้านจึงได้ออกมาสำรวจ รอบๆ ตัวบ้าน พบความเสียหายจำนวนมาก ทั้งกระจกแตก ทั้งยังมีก้อนหินและลูกแก้วที่ถูกยิงเข้ามา ตกอยู่บนชานบ้าน จำนวนมาก
8) การกระทำของแกนนำคนเสื้อแดง และความป่าเถื่อนในการปิดล้อม ข่มขู่ และทำร้าย ทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของผู้อื่นเช่นนั้น น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายหลายมาตรา โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นความผิดทางอาญาแผ่นดิน เช่น
มาตรา 309 “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้ กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำ ความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใดผู้กระทำต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะ มีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีและปรับ ตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท”
มาตรา 310 “ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...”
มาตรา 310 ทวิ “ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท”
มาตรา 312 ทวิ “ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312 เป็นการกระทำต่อเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก หรือ มาตรา 310ทวิ หรือ มาตรา 312 เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำ
(1) รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับไม่เกินสามหมื่นบาท...”
นอกจากนี้ ยังน่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดกฎหมายอีกหลายมาตรา
9) ต้องติดตามว่า ตำรวจ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง และนักการเมืองผู้รับผิดชอบ จะทำหน้าที่ของตนหรือไม่ ?
กรณีดังกล่าว เป็นการกระทำความผิดอาญาต่อแผ่นดิน เจ้าหน้าที่จะต้องทำหน้าที่ ดำเนินคดีได้เลย
จะรักษาความเป็น “นิติรัฐ” อย่างเด็ดขาด จริงจัง หรือจะยกให้คนเสื้อแดงเป็น “อภิสิทธิ์ชน” สามารถกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองได้ตามอำเภอใจ เพียงเพราะปลุกระดมผู้คนด้วยความเท็จ และสวมใส่เสื้อแดงในการก่อเหตุคุกคามประชาชนผู้อาศัยอยู่ภายใต้กฎหมายแห่งราชอาณาจักรไทย ?
10) น่าคิดว่า... คนเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่มีอัธยาศรัยดี มีจิตใจรักและหวงแหนในสถาบันสำคัญของแผ่นดินไทย
ยังคงต้องการรักษาศักดิ์ศรี เกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ และบรรยากาศของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเชียงใหม่ จะยอมจำนนต่อการกระทำเถื่อนถ่อยของคนกลุ่มหนึ่ง หรือจะไม่ยอมจำนน พยายามร่วมกันหาหนทางต่อต้านคนเสื้อแดงโดยสันติวิธี แสดงออกถึงการไม่ยอมรับวิธีการป่าเถื่อน การไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง และการทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนายใหญ่คนเสื้อแดงกลุ่มเดียว
สังคมจะเสื่อมทราม หากคนดีๆ ในสังคม ยอมจำนนต่อคนเลว!