บทความ โดย โชกุน
แต่สิ่งที่เห็นกันว่า เป็นการตบเท้าเพื่อปกป้อง พลเอกอนุพงษ์ และขู่ เสธฯแดง เมื่อวานนี้และวันนี้นั้น เป้าหมายที่แท้จริงไมใช่เช่นนั้น คนอย่าง “เสธฯแดง” ไม่มีราคามากพอที่จะต้องใช้วิธีการแบบนี้ การมารวมตัวกันของนายทหารรักษาพระองค์ระดับคุมกำลัง เพื่อส่งสารถึงพวกล้มเจ้าและนายใหญ่ที่ชักใยอยู่ต่างประเทศว่า จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้าคิดจะล้มเจ้ากัน เป็นคำเตือนล่วงหน้าว่า คิดได้ แต่อย่าหวังว่า จะเกิดขึ้นได้
ถ้าไม่ถูกใครยับยั้งเอาไว้เสียก่อนบ่าย 2 โมงวันนี้ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์บางเขน นายทหารหนุ่มระดับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนกว่า 11 กองพันจะมารวมตัวกันสำแดงพลังปกป้อง พลเอกอนุพง์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกที่ถูก “ เสธฯแดง” พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ด่า
ทหารหนุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น จปร. รุ่น 31 นำโดย ลูกชายบิ๊กจ๊อด พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) , พ.อ.นัฐวัฒน์ อัครนิบุตร ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.1 รอ.) พ.อ.กฤษณ์ดนัย อิทธิมณฑล ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.ป.1 รอ.) พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.ร.2 รอ.) ฯลฯ
หลังจากเมื่อวานนี้ “อุ่นเครื่อง” กันไปแล้ว ที่ปราจีนบุรี ในค่ายจักรพงษ์ ที่ตั้งของกรมทหาราบที่ 2 รักษาพระองค์ และค่ายพรหมโยธี ที่ตั้งกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่มีการระดมกำลังพล ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า
พวกล้มเจ้า คงจะนีกกระหยิ่มยิ้มย่องว่า ทหารหลงกล ถูกเสธฯแดง ล่อออกมาจากกรม ตามแผนที่ต้องการสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วน วุ่นว่ายมากที่สุด เพื่อหวังจะล้มกระดานก่อนวัน พิพาษา คดียึดทรัพย์ นช.ทักษิณ จะมาถึง เหมือนกับที่เคยที่ปลอบใจกันเองว่า “ป๋าเปรม หลงกล ถูกบิ๊กจิ๋ว ล่ออออกมาจากถ้ำ”
แต่สิ่งที่เห็นกันว่าเป็นการตบเท้าเพื่อปกป้อง พลเอกอนุพงษ์ และขู่ เสธฯแดง เมื่อวานนี้และวันนี้นั้น เป้าหมายที่แท้จริงไมใช่เช่นนั้น คนอย่าง “เสธฯแดง” ไม่มีราคามากพอที่จะต้องใช้วิธีการแบบนี้ การมารวมตัวกันของนายทหารรักษาพระองค์ระดับคุมกำลัง เพื่อส่งสารถึงพวกล้มเจ้าและนายใหญ่ที่ชักใยอยู่ต่างประเทศว่า จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้าคิดจะล้มเจ้ากัน
เป็นคำเตือนล่วงหน้าว่าคิดได้ แต่อย่าหวังว่าจะเกิดขึ้นได้
อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้คนไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เห็นว่า นี่คือของจริง คือ ทหารรักษาพระองค์ ที่คุมกำลังซึ่งมีอานุภาพรุนแรงที่สุด ไม่ใช่ทหารแก่ที่มีอาชีพรับจ้างตลอดชีวิตหรือทหารปลดเกษียณที่ถูกกวาดต้อนไปสร้างภาพให้น่าเกรงขาม
เป็นทหารรักษาพระองค์ที่ “ จักเทิดทูนและจักยอมตายเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า .....” ดังคำถวายสัตย์ปฏิญาณที่ดังกึกก้องค่ายพรหมโยธี เมื่อวานนี้
หน่วยทหารหลักที่นายทหารหนุ่มเหล่านี้เป็นผู้คุมกำลังโดยตรงเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติทุกครั้งที่ผ่านมา ถ้ารวมกันได้เป็นเอกภาพแล้ว รับรองว่าใครก็เอาไม่อยู่ ยกเว้นเมื่อครั้งปฏิวัติเมษาฮาวาย วันที่ 1 เมษายน 2524 ที่ก่อการโดยนายทหาร จปร. รุ่น 7 แม้จะมีกำลังถึง 42 กองพัน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อ พลเอกเปรม ติณสลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ที่เป็นเป้าหมายการยึดอำนาจ
ก่อนหน้า การยึดอำนาจวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 ไม่กี่เดือน พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ในตอนนั้น ทำการปรับกำลัง โยกย้ายผู้บังคับการกองพัน ในกรุงเทพ และปริมณฑลครั้งใหญ่ เอาคนที่ตัวเองไว้ใจเข้าไปคุม หลังจากนั้นไม่นาน นช. ทักษิณ ชินวัตร ก็ถูกโค่นลงจากอำนาจ
ขนาดมีเพื่อนรัก เตรียมทหารรุ่น 10 พลตรีพฤณฑ์ สุวรรณฑัต นั่งเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และพลตรีสานิต พรหมมาศ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 ซึ่งถือว่า เป็นหัวใจสำคัญของกองทัพในกรุงเทพ คอยเฝ้าเก้าอี้ให้ ก็ยังต้านไม่อยู่ ต้องหันมาโทษกันเองว่า “ ทำไมมึงไม่ออกมา”
แต่การปราบพวก “ ล้มเจ้า” ไม่ใช่แปลว่า ต้องปฏิวัติรัฐประหาร เพราะมีกฎหมายธรรมดาที่ให้อำนาจทหารเข้าจัดการกับพวกที่คิดไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อ 2 วันก่อน ครม.เพิ่งจะมีมติให้ทหารเป็นผู้ช่วยตำรวจในการควบคุมฝูงชนได้ ที่สำคัญคือ ประชาชนเข้าใจ
อยากให้พวกล้มเจ้า ตั้งใจดูการตบเท้า สำแดงพลังของนายทหารหนุ่มในวันนี้ให้ดี แล้วถามตัวเองว่า ไหวไหม คุ้มไหม