ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์” จัดงานรวมพลคนอินทรีย์ปี 53 นัดพบผู้ผลิต-ผู้ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ พร้อมวางมาตรการหนุนสินค้าไทยไปนอกให้มากขึ้น หลังพบยอดส่งออกยังน้อย ทั้งที่ทั่วโลกนิยมบริโภคมาก เตรียมดัน โรงแรม-รีสอร์ท และสปาให้บริการแบบออร์กานิก
นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 2-4 ก.พ.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะจัดงาน รวมพลคนอินทรีย์ ปี 2553 ที่กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ออร์กานิก) ที่ผลิตได้ในไทย ทั้งที่เป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าที่เป็นของใช้ ซึ่งในปีนี้จะมีคูหาแสดงสินค้าเพิ่มเป็น 180 คูหา จากปีก่อน 100 คูหา
นอกจากนี้ จะเชิญผู้แทนจากประเทศในลุ่มน้ำโขง ทั้งจีน เวียดนาม ลาว และพม่า มาให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศเหล่านั้น และเชิญผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาให้ความรู้ในการเข้าสู่ตลาดด้วย ซึ่งการรวมกลุ่มกับประเทศลุ่มน้ำโขงจะช่วยสร้างเครือข่ายการผลิต และจำหน่ายสินค้าของไทยให้กว้างขวาง และเข้มแข็งขึ้นทำให้มีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ไทยผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้น้อยมาก โดยปีที่ผ่านมา มีมูลค่าส่งออกเพียง 3,000 ล้านบาทเท่านั้น สินค้าที่ส่งออกมาก มีทั้งสินค้าอาหาร และไม่ใช่อาหาร เช่น ข้าว ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์สปา เป็นต้น ทั้งที่กระแสนิยมบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์กำลังมาแรง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู)
ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงมีแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น พัฒนาศักยภาพด้านการตลาด ให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานของสินค้า ช่องทางการขาย ขั้นตอนการนำเข้าในแต่ละตลาด พยายามทำให้สินค้าของไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น ผลักดันผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งใน และต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการส่งออกให้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% สินค้าที่มีโอกาส เช่น ชา กาแฟ สำลี ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นต้น
“ปัญหาการส่งออกของไทยที่ยังมีน้อย เพราะผลผลิตไม่สม่ำเสมอ และยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานรับรองระหว่างประเทศ หากผู้นำเข้าต้องการซื้อสินค้าจากไทยก็ต้องจ้างหน่วยงานรับรองที่ได้รับการรับรองจากสากลให้มาตรวจสอบ ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้นำเข้า แต่กระทรวงเกษตรของไทยกำลังดำเนินการเพื่อให้ได้รับการรับรองอยู่” นางพิมพาพรรณกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังจะผลักดันให้มีการใช้สินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศให้มากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ออร์กานิก โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท โดยผลักดันให้โรงแรม และรีสอร์ทที่เกาะสมุย และเกาะพงันให้บริการแบบอินทรีย์ เช่น มีแปลงปลูกผัก ผลไม้แบบเกษตรอินทรีย์ เลี้ยงสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ แล้วนำอาหารเหล่านั้นมาปรุงอาหารให้ลูกค้า ให้บริการสปาแบบอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์สปาทำจากสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ และยังจะดึงชุมชนให้เข้าร่วมด้วย โดยให้มีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์เพื่อป้อนวัตถุดิบอาหารให้กับโรงแรม และรีสอร์ทบนเกาะทั้ง 2 แห่ง ปัจจุบัน มีโรงแรม และรีสอร์มบนเกาะสมุยให้บริการแบบนี้แล้วประมาณ 10 แห่ง หากโครงการประสบความสำเร็จดีจะขยายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไป
นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 2-4 ก.พ.นี้ กระทรวงพาณิชย์จะจัดงาน รวมพลคนอินทรีย์ ปี 2553 ที่กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี เพื่อจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ (ออร์กานิก) ที่ผลิตได้ในไทย ทั้งที่เป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าที่เป็นของใช้ ซึ่งในปีนี้จะมีคูหาแสดงสินค้าเพิ่มเป็น 180 คูหา จากปีก่อน 100 คูหา
นอกจากนี้ จะเชิญผู้แทนจากประเทศในลุ่มน้ำโขง ทั้งจีน เวียดนาม ลาว และพม่า มาให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์สินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศเหล่านั้น และเชิญผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาให้ความรู้ในการเข้าสู่ตลาดด้วย ซึ่งการรวมกลุ่มกับประเทศลุ่มน้ำโขงจะช่วยสร้างเครือข่ายการผลิต และจำหน่ายสินค้าของไทยให้กว้างขวาง และเข้มแข็งขึ้นทำให้มีโอกาสส่งออกได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ไทยผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้น้อยมาก โดยปีที่ผ่านมา มีมูลค่าส่งออกเพียง 3,000 ล้านบาทเท่านั้น สินค้าที่ส่งออกมาก มีทั้งสินค้าอาหาร และไม่ใช่อาหาร เช่น ข้าว ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์สปา เป็นต้น ทั้งที่กระแสนิยมบริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์กำลังมาแรง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู)
ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงมีแผนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น พัฒนาศักยภาพด้านการตลาด ให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานของสินค้า ช่องทางการขาย ขั้นตอนการนำเข้าในแต่ละตลาด พยายามทำให้สินค้าของไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น ผลักดันผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั้งใน และต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายการส่งออกให้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10% สินค้าที่มีโอกาส เช่น ชา กาแฟ สำลี ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นต้น
“ปัญหาการส่งออกของไทยที่ยังมีน้อย เพราะผลผลิตไม่สม่ำเสมอ และยังไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานรับรองระหว่างประเทศ หากผู้นำเข้าต้องการซื้อสินค้าจากไทยก็ต้องจ้างหน่วยงานรับรองที่ได้รับการรับรองจากสากลให้มาตรวจสอบ ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้นำเข้า แต่กระทรวงเกษตรของไทยกำลังดำเนินการเพื่อให้ได้รับการรับรองอยู่” นางพิมพาพรรณกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังจะผลักดันให้มีการใช้สินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศให้มากขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ ออร์กานิก โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท โดยผลักดันให้โรงแรม และรีสอร์ทที่เกาะสมุย และเกาะพงันให้บริการแบบอินทรีย์ เช่น มีแปลงปลูกผัก ผลไม้แบบเกษตรอินทรีย์ เลี้ยงสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์ แล้วนำอาหารเหล่านั้นมาปรุงอาหารให้ลูกค้า ให้บริการสปาแบบอินทรีย์ เช่น ผลิตภัณฑ์สปาทำจากสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ และยังจะดึงชุมชนให้เข้าร่วมด้วย โดยให้มีการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์แบบเกษตรอินทรีย์เพื่อป้อนวัตถุดิบอาหารให้กับโรงแรม และรีสอร์ทบนเกาะทั้ง 2 แห่ง ปัจจุบัน มีโรงแรม และรีสอร์มบนเกาะสมุยให้บริการแบบนี้แล้วประมาณ 10 แห่ง หากโครงการประสบความสำเร็จดีจะขยายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไป