xs
xsm
sm
md
lg

ครูคือผู้นำการปฏิวัติทางจิตใจและสังคมอย่างไร

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

มนุษย์ทุกคนมีพ่อแม่ พ่อแม่คือครูคนแรกของบุตร และบุตรทุกคนก็ต้องมีครู ครูเปรียบดังพ่อแม่คนที่สอง เราจึงต้องกราบไหว้ให้เหนือเศียร เราควรระลึกอยู่เสมอว่า “ทุกคนเป็นครู และต้องเป็นครูที่ดีของชาติ”

ครู
ในแนวคำสอนศาสนาพุทธ ครู หรือ ครุ ในภาษาบาลี แปลว่า “หนัก” คือความรู้สึก สำนึก มุ่งมั่น อดทนพัฒนาตนด้วยการศึกษาให้รู้เรื่องนั้นๆ อย่างถ่องแท้ เพื่อมอบความรู้ที่แท้จริงให้กับศิษย์ เป็นผู้มุ่งมั่น อดทน พัฒนาตนเพื่อศึกษาสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็น “บรมครู” เพียงพระองค์เดียวในโลกนี้

ครู เป็นผู้ยกแนวคิด จุดยืน คุณธรรม สัจธรรมให้แก่ศิษย์ เป็นผู้เปิดประตูสัจธรรมคำสอนให้แก่ศิษย์ อบรมบ่มเพาะศิษย์ให้พ้นจากสำนึกแบบสัญชาตญาณอันคับแคบ แต่สอนให้มีอุดมการณ์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการเมือง-การปกครองโดยธรรม

ครู เป็นผู้สร้างโลก สร้างสังคม สร้างชาติ

ครู ย่อมเป็นบุคคลที่มีอุดมคติ เป็นผู้มุ่งมั่นในการแสวงหาสัจธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ ครู ย่อมมีความอิ่มใจ ชุ่มชื่น ปีติปราโมทย์จากการให้ทานปัญญา เป็นปูชนียบุคคลของศิษย์ ครู มิใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ ครู เป็นแบบอย่างของการให้ก่อน รับผลตอบแทนในภายหลัง

ครู เป็นแบบอย่างในการนำพระธรรมคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวันและสอนต่อเช่น เช่น อิทธิบาท 4 คือธรรมอันทำให้บรรลุความสำเร็จตามความประสงค์ หรือเป้าหมายอย่างมีอุดมการณ์ ได้แก่

1.ฉันทะ คือความพอใจรักใคร่ยินดีในการเรียน ศึกษา ทำหน้าที่นั้นๆ เพื่อชาติ

2.วิริยะ คือความเพียรพยายาม มุ่งหมั่นประกอบในการเรียนศึกษา ทำหน้าที่นั้นๆ เพื่อชาติ

3. จิตตะ คือการเอาใจ ฝักใฝ่ในการเรียนศึกษา ทำหน้าที่นั้นๆ เพื่อชาติ

4.วิมังสา คือการใช้ปัญญา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในการเรียนศึกษา ทำหน้าที่นั้นๆ เพื่อชาติ

ทำไมต้องสอนให้ตั้งใจเรียนศึกษา ทำหน้าที่เพื่อชาติ เพราะโดยปกติคนเรามั่นจะเรียนศึกษาทำหน้าที่เพื่อตนเองและครอบครัวอันเป็นไปตามสัญชาตญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสอน แต่ครูจะต้องสอนในสิ่งใหม่เพื่อยกจุดยืน ยกจิต ยกความคิดศิษย์ให้เกิดความมุ่งมั่นเรียนศึกษาทำหน้าที่เพื่อชาติ หรือเพื่อมนุษยชาติ ให้พ้นไปจากการคิดตามสัญชาตญาณ แล้วเจริญรอยตามแบบอย่างพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ย่อมเป็นกำลังสำคัญของชาติ หากชนในชาติมีอุดมคติตั้งใจสอน ตั้งใจเรียนศึกษาทำหน้าที่เพื่อชาติ ชาตินั้นก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ทุกวันนี้เรามีแต่นักการเมืองขี้โกง ถูกจับได้ไล่ทันก็หาว่าไม่เป็นธรรม ก็เพราะนักการเมืองเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาร่ำรวยผิดปกติและมีอำนาจด้วยจุดยืนสัญชาตญาณ พวกเขาจึงไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรคือประโยชน์ตน อะไรคือประโยชน์ชาติ

คุณธรรมอันสำคัญของครูในพุทธศาสนา กล่าวว่าครูต้องมีคุณธรรมของความเป็นกัลยาณมิตร 7 ประการ ได้แก่

1.ปิโย แปลว่า น่ารัก ทำตัวให้ศิษย์รัก

2.ครุ แปลว่า น่าเคารพ หนักแน่นในจรรยาของความเป็นครู

3.ภาวนิโย แปลว่า มั่นแสวงหาความก้าวหน้า พัฒนาความรู้

4.วตฺตา จ แปลว่า มีความขยันหมั่นแนะนำพร่ำสอน

5.วจนกฺขโม แปลว่า อดทนต่อถ้อยคำกล่าวหา นินทาว่าร้าย

6.คมฺภีรญจ กถํ กตฺตา แปลว่า สอนสิ่งที่ยากให้เข้าใจง่าย

7.โน จฏฺฐาเน นิโยชเย คือ แปลว่า ไม่ชักจูงศิษย์ไปในทางเสื่อมเสีย

นอกจากนี้ หน้าที่ของครู ได้แก่ (1) แนะนำสั่งสอนดี นำเรื่องดีๆ มาสั่งสอน มีกุศโลบายในการอบรมสั่งสอน (2) ให้เรียนดี สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง พัฒนาให้เกิดความรู้ดี ความคิดดี ความสามารถดี (3) บอกศิลปวิทยาให้ด้วยความเมตตา ไม่ปิดบังอำพราง (4) ยกย่องความดีงาม ความสามารถให้ปรากฏในหมู่เพื่อนฝูง (5) ทำความป้องกันอันตรายในทิศทั้งหลายที่จะมาทำลายศิษย์ (6) เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์

ลักษณะของครูและศิษย์ที่ดีถูกต้องเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ หากพวกเรามองเข้าไปในห้องเรียน ครูผู้สอนย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ตั้งใจจริงที่จะสอนศิษย์ให้ได้ความรู้ เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างครูกับศิษย์นั่นสอดคล้องถูกต้องเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติใน 2 ลักษณะ คือ

1.ลักษณะเอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย ครูมีลักษณะเป็นด้านเอกภาพ ส่วนนักเรียนหรือศิษย์มีลักษณะเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

2.ลักษณะแผ่กระจายกับรวมศูนย์ ครูย่อมแผ่เมตตาออกไปโอบอ้อม อุ้มชูลูกศิษย์ทุกคน ขณะเดียวกันลูกศิษย์ทุกคน ก็ตั้งใจเรียน ตั้งใจฟังครู (ฟัง คิด ถาม จดบันทึก) จิตใจของศิษย์ขึ้นตรงต่อครู รวมศูนย์อยู่ที่ครู ดังนี้แล้วการเรียนการสอนในลักษณะเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดดุลยภาพ จึงเป็นเหตุให้มีความเจริญก้าวหน้า มั่นคง และได้ผลดีทั้งสองฝ่าย

หากเป็นระดับโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ผู้บริหารในทุกระดับก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติดำเนินการให้เป็นไป ให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติแล้วย่อมให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า มั่นคง แก่สถาบันนั้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เช่น

อธิการบดี เป็นเอกภาพ เป็นศูนย์กลางของมวลสมาชิกของมหาวิทยาลัยทั้งหมดอันแตกต่างหลากหลาย เช่น คณะครู-อาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา นักการภารโรง เป็นต้น

ผู้เป็นอธิการบดี ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยต้องแผ่เมตตา หรือพระคุณโอบอุ้มบุคลากรของมหาวิทยาลัยทั้งหมด ขณะเดียวกันบุคลากรของมหาวิทยาลัยทั้งหมดก็ต้องขึ้นตรงต่ออธิการบดี แผ่กระจายกับรวมศูนย์ ย่อมก่อให้เกิดดุลยภาพ เจริญก้าวหน้า มั่นคง ณ มหาวิทยาลัยนั้นๆ

แต่สิ่งที่กล่าวมานี้ยากที่จะเป็นไปได้ ภายใต้ระบอบเผด็จการ ระบอบเผด็จการมีแต่รัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียวโดยมีหมวดและมาตราต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะวิธีการปกครอง (Methods of Government) มีความแตกต่างหลากหลาย หลายมาตรา รัฐธรรมนูญของพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ จึงอุปมาได้ เช่น ดาวเคราะห์ปราศจากดวงอาทิตย์ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ห้องเรียนมีแต่นักเรียนไม่มีครู การเรียนการสอนก็ไม่เกิดขึ้น เกวียนปราศจากวัวลากก็ไปไม่ได้ เล่นฟุตบอลโดยปราศจากประตูโก มันก็เล่นกันอย่างมั่วๆ ดังกล่าวนี้ฉันใด รัฐธรรมนูญ ที่ปราศจากหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้และนำมาซึ่งความหายนะ วอดวาย ย่อยยับของชาติอย่างไม่รู้จบ คอยดูเถิดเราจะมีรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับที่ 19 และรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ต่อไป

หากว่าครู-อาจารย์ทั่วทั้งประเทศได้ล่วงรู้ว่า ความหายนะประชาชนและประเทศชาติ เกิดจากพวกลัทธิรัฐธรรมนูญ ที่ไปเรียนมาจากฝรั่งเศส เป็นพวกที่เรียนแล้วได้มาแต่รูปแบบ แล้วนำมาบังคับใช้กับคนไทย แท้จริงพวกเขาหลงเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า การร่างรัฐธรรมนูญคือการสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือการทำให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น นี่คือแนวคิดของพวกบ้า หลงงมงายไร้สมอง เป็นแนวคิดลัทธิอุบาทว์ ที่ทำลายชาติของเราจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละมาตราให้ดีที่สุด จะแก้ไขรัฐธรรมให้ดีที่สุดเพียงใดก็ตาม จะร่าง และแก้ไข สักร้อยครั้งพันฉบับ ก็ไม่มีวันที่ได้ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศของเรา “อยากได้ประชาธิปไตย ต้องเรียกร้องหลักการปกครองโดยธรรม”

สำหรับคนมีปัญญา พูดแค่ก็จะรู้เข้าใจกันแล้ว แต่นักการเมืองพันธุ์เผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญ มันยังคงดักดานโง่เขลาเบาปัญญาหารู้เรื่องไม่ แต่ที่เราเพียรพยายามคัดค้านและชี้แนะเสมอมา ก็เพราะมันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด มันเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขยากที่สุด และมันเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำลาย สร้างความหายนะให้แก่ชาติและประชาชนมากที่สุด ไม่รู้จบนั่นเอง

เหตุปัญหาดังกล่าวนี้ เป็นพระราชภารกิจของพระเจ้าแผ่นดินโดยตรง ผู้ทรงเป็นประมุขแห่งชาติ หากพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเพียงประมุขระบอบฯ ตามที่บัญญัติไว้อย่างผิดๆ ในรัฐธรรมนูญทั้งเก่าและปัจจุบัน ก็ไม่อาจจะทรงดำเนินการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้ คนในชาติก็จะเกิดความขัดแย้งไปตามความรู้สึกและผลประโยชน์ของคณะบุคคลที่ขัดกัน ต่างคนต่างคิดจะทำ ต่างคนต่างช่วงชิงเพื่อประโยชน์แห่งตน มี นช. ทักษิณ เป็นอุทาหรณ์อยู่แล้ว พวกเขาแม้จะทำผิด แต่ก็จะเติบโตขึ้นๆ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นพวกลัทธิเผด็จการเช่นกัน แต่ที่ตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองก็เพราะเป็นฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง

หากว่าฝ่ายทักษิณกลับมาเป็นรัฐบาล ตามลักษณะการเมืองเผด็จการคือ “อัปรีย์ไป จัญไรมา” ฝ่ายทักษิณจะตกอยู่ในสภาพเลวร้ายกว่านี้มาก มันเป็นความขัดแย้งของฝ่ายเผด็จการระหว่างชั่วมากกว่ากับชั่วน้อยกว่า หรือเห็นผิดมากกว่า กับเห็นผิดน้อยกว่า เราทั้งหลายก็ต้องช่วยกันเปลี่ยนแนวคิดพวกเห็นผิดน้อยกว่า ดึงกลับมาทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติของเรา แต่ก็ยากเหลือเกิน มีทางเดียวสอนสร้างนักการเมืองพันธุ์ใหม่ ก็มีเพียงพลังของครู-อาจารย์ที่เดินตามพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้อว่ามนุษย์ทุกคนจิตใจ
กำลังโหลดความคิดเห็น