การที่ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ปัจจุบันสวมหมวกที่สำคัญอีกใบหนึ่งคือเป็น “องคมนตรี” ยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปมร้อนเรื่องบ้านพักที่ตั้งอยู่บน “เขายายเที่ยง” ให้ “สงบ” ลงด้วยตัวเองนั้น ได้ทำให้สถานการณ์ในเรื่องนี้กลับมาคุกรุ่นและกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะประเด็นคำถามเรื่อง 2 มาตรฐานที่กลุ่มคนเสื้อแดงหยิบยกมาโจมตี กระทั่งมีการปลุกระดมมวลชนให้ขึ้นไปก่อม็อบที่หน้าบ้านของพล.อ.สุรยุทธ์ก่อนที่จะสลายตัวในเวลาต่อมา
เพราะหลังจากอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องออกมา สังคมเข้าใจโดยตลอดว่า ในวันที่ 12 ม.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์จะประกาศต่อสาธารณชนว่าจะขอคืนที่ดินจำนวน 21 ไร่ที่เขายายเที่ยงให้แก่กรมป่าไม้ แต่แล้วเรื่องก็กลับตาลปัตรจนสังคมคิดไม่ถึง
พล.อ.สุรยุทธ์ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยอ้างว่า ขณะนี้คณะกรรมการกรมป่าไม้กำลังดำเนินการพิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งตนตอบได้เพียงว่า พร้อมจะปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อกรมป่าไม้พิจารณาว่ามีคำชี้ขาดเป็นอย่างไร ก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น
หรือหมายความว่าจะยังไม่คืนในขณะนี้ จนกว่ากรมป่าไม้จะมีความชัดเจนออกมา
ขณะที่เมื่อมีการถามจี้ลงไปอีกว่า หากกรมป่าไม้ชี้ขาดให้คืนที่ดิน ยินดีจะคืนหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ก็ตอบในลักษณะเดิมว่า พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย ส่วนจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะคณะกรรมการยังไม่มีการชี้ขาดมา
ที่น่าเศร้าใจคือ เมื่อถามว่า ทราบหรือไม่ว่าพื้นที่ที่ครอบครองมีความผิดตามกฎหมาย พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ในแง่ที่เป็นความผิดต่างๆ ตนไม่ได้ทราบในรายละเอียดมากนัก เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า เป็นเรื่องที่อาจจะมีผู้ที่กล่าวหาตน แต่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายอยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นนี้ในเรื่องความผิดตามกฎหมายคงไม่ได้ถือว่าตนเป็นผู้บุกรุก ซึ่งเป็นไปตามที่โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนทราบเพียงแต่ผลที่แถลงไปแล้วเท่านั้น
แต่ที่น่าเศร้าใจไปกว่านั้นอีกคือ เมื่อถามว่าจะแสดงสปิริตคืนพื้นที่ก่อนที่กรมป่าไม้จะมีผลชี้ขาดหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามก่อนที่จะเดินเลี่ยงสื่อมวลชนออกไปเสียเฉยๆ
สังคมผิดหวังเป็นอย่างยิ่งจากคำตอบของพล.อ.สุรยุทธ์ เพราะสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนทัศน์ทางความคิดของบุรุษผู้นี้ว่า เป็นเช่นไร
ความผิดหวังประการแรกคือ เรื่องนี้น่าจะจบไปตั้งแต่ครั้งที่มีการหยิบยกความไม่ชอบมาพากลในการครอบครองที่ดินเขายายเที่ยงมาตั้งแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทว่า พล.อ.สุรยุทธ์ก็ปล่อยให้เรื่องนี้คาราคาซังและยืดเยื้อเรื่อยมาจนนำไปสู่การฟ้องร้องเป็นคดีความ ทั้งๆที่ พล.อ.สุรยุทธ์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาที่ไม่จบง่ายๆ
ถ้าพล.อ.สุรยุทธ์ตัดสินใจเด็ดขาดโดย “ไม่เสียดาย” ปัญหาทุกอย่างก็จะจบไป แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ก็ไม่ทำ
ความจริงหากย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้ครอบครองที่ดินผืนงามนี้ตั้งแต่แรกๆ คงต้องตั้งคำถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์และพ.อ.คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภรรยา จะไม่รู้เชียวหรือว่า ที่ดินผืนงามที่ตนเองตัดสินใจสินใจซื้อเพื่อปลูกบ้านเล็กในป่าใหญ่นั้น สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายเพราะตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพราะแม้แต่ “นายเบ้า สินนอก” เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นพระก็ยังให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ไม่สามารถซื้อขายได้
ด้วยสามัญสำนึกแห่งวิญญูชนระดับนายพลแห่งกองทัพบก และคนที่เป็นถึงองคมนตรีแห่งสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ย่อมรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มีขั้นตอนอย่างไร ผิด ถูก ควร และไม่ควรแค่ไหน
มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ที่มากด้วยสติปัญญา และความรู้ จะซื้อที่ดินบนภูเขาที่อากาศดีๆ และมีทิวทัศน์สวยสดงดงามเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศทั้งที จะไม่มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและความเป็นมาของที่ดินอย่างละเอียดครบถ้วน และรอบคอบ
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อทุกอย่างชี้ชัดออกมาแล้วโดยอัยการว่า พล.อ.สุรยุทธ์ไม่มีสิทธิในการครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว เขาก็ยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบในทันทีทันใด เพราะไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องรอให้คณะกรรมการของกรมป่าไม้พิจารณาให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ทำไม พล.อ.สุรยุทธ์ถึงต้องปล่อยให้คำว่า 2 มาตรฐานดำรงอยู่ต่อไป เพราะตนเองย่อมรู้อยู่เต็มอกอีกเช่นกันว่า การที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนั้น เป็นดุลพินิจที่มีการหรี่ตาเอาไว้ข้างหนึ่ง ขณะที่การที่กรมป่าไม้มีมติตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาตัดสินภายใต้กรอบเวลา 60 วัน ก็เป็นมติที่ “อุ้ม” และ “ช่วย” พล.อ.สุรยุทธ์อย่างโจ่งแจ้งอยู่แล้ว
การตัดสินใจของ พล.อ.สุรยุทธ์ทำให้อัยการและกรมป่าไม้ต้องแบกรับการก่นด่าในเรื่องของ 2 มาตรฐานต่อไปอีกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“รสนา โตสิตระกูล” ส.ว.กทม. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาว่า “กรณีเขายายเที่ยง การที่ทางอัยการสูงสุดมีการตีความว่าการถือครองโดยไม่ทราบหรือไม่ได้ถือครองตั้งแต่ต้นถือว่าไม่ผิดนั้น เห็นได้ชัดว่ามีการตีความจริยธรรมทางกฎหมายในระดับไหน”
คำพูดของ ส.ว.รสนากำลังทวงถามเรื่องของความมีจริยธรรมที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย
ความผิดหวังประการที่สองคือ พล.อ.สุรยุทธ์ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงแค่ลูกชาย พ.ท.โพยม จุลานนท์ ผู้บัญชาการกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย ไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงแค่อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากแต่ยังเป็น “องคมนตรี” อีกด้วย
พล.อ.สุรยุทธ์ไม่รู้หรือว่า การที่ตนเองไม่ตัดสินใจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น ได้ทำให้การโจมตีของกลุ่มคนเสื้อแดงในเรื่องของ 2 มาตรฐาน ในเรื่องของอำมาตย์จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ อย่างน้อยก็อีก 60 วันตามเงื่อนเวลาที่กรมป่าไม้เปิดช่องไว้
พล.อ.สุรยุทธ์ไม่รู้เลยหรือว่า เจตนาที่คนเสื้อแดงขนม็อบไปสำแดงพลังที่หน้าบ้านเขายายเที่ยงของตนเองนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
แน่นอน ย่อมไม่ได้หมายถึงตัวพล.อ.สุรยุทธ์โดยตรง หากแต่หมายเลยให้สูงขึ้นไปกว่านั้น
ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ตัดสินใจคืนที่ดินเขายายเที่ยงไปในทันที ข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นช.ทักษิณ ชินวัตรบงการอยู่เบื้องหลังก็จะตกไปในทันที ขณะที่สังคมก็จะยอมรับในความมีสปิริตของท่านด้วยความชื่นชม เช่นเดียวกับที่ “น้องตั๋น-จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี” แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากข้าราชการการเมืองเมื่อเกิดความผิดพลาดในการนำปฏิทินลีโอไปแจกในทำเนียบรัฐบาล
แต่ พล.อ.สุรยุทธ์กลับไม่เลือกหนทางนั้น
ความจริงถ้าจะว่าไปแล้ว การแค่คืนที่ดินเขายายเที่ยงอาจไม่เพียงพอเสียด้วยซ้ำไปกับการรับผิดชอบและแสดงสปิริตในฐานะชาติชายทหาร เพราะต้องไม่ลืมว่า ปัจจุบัน พล.อ.สุรยุทธ์เป็นองคมนตรี
ดังนั้น ปมและประเด็นนี้จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงรวมทั้งขบวนการล้มเจ้าหยิบยกขึ้นมาโจมตีได้อย่างต่อเนื่องพาดพิงไปถึงสถาบันองคมนตรีว่า “พล.อ.สุรยุทธ์ องคมนตรี ณ เขายายเที่ยง” ซึ่งนั่นย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำให้สถาบันองคมนตรีเสียหายตามไปด้วย
แต่ พล.อ.สุรยุทธ์ก็ปิดหนทางในเรื่องนี้ไปเสียแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน”
อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับปัญหาที่ดินเขายายเที่ยงนี้ สิ่งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ต้องทำและควรทำเป็นอย่างยิ่งก็คือ คิดให้ออก ปลงให้ตก และวางให้ได้
วิญญูชนคนสมถะและชอบธรรมะอย่างท่านคงรู้ดีว่าควรตัดสินใจอย่างไร... เพราะบุรุษชาติอาชาไนย ย่อมคงไว้ซึ่งคุณธรรมและความกล้าหาญ เพื่อให้ลูกหลานได้กล่าวขานกันสืบไปทั่วแผ่นดิน!
-----------------------------------------------------------------------------------
เมื่อ “ลุงแอ้ด” หลงเสน่ห์ “ยายเที่ยง”
ที่ดินเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์เริ่มต้นขึ้นจากตัวละครสำคัญคือ นายเบ้า สินนอก ที่อพยพเข้ามาในพื้นที่เขายายเที่ยงพร้อมชาวบ้านนับร้อยครอบครัวในปี 2517 โดยทำกินด้วยการปลูกมันสำปะหลังและข้าวโพด ต่อมาเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้จัดสรรที่ดินดังกล่าวให้ชาวบ้านใช้เป็นที่ทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมายคนละ 14 ไร่ และจัดสรรที่ดินอีก 2 งาน ให้ใช้เป็นที่ปลูกบ้านพักอาศัย โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ 'ห้ามซื้อขาย' โดยออกใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ให้ทุกครอบครัว
และด้วยเหตุที่สภาพภูมิศาสตร์ของเขายายเที่ยงเหมาะแก่การพักผ่อนตากอากาศ จึงมีนายทุนเข้ามาติดต่อซื้อที่ ดินของชาวบ้านบนเขายายเที่ยงกันเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือนายนพดล พิทักษ์วานิชย์ เป็นเจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มาขอซื้อที่ดินจำนวน 2 แปลงจากนายเบ้า แปลงแรกมีเนื้อที่ 14 ไร่ และแปลงที่ 2 มีเนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกัน หลังจากนั้นที่ดินผืนดังกล่าวก็ได้เปลี่ยนเจ้าของอีกครั้งเมื่อปี 2540 โดยนายนพดลทำสัญญาซื้อขายที่ดินให้ พ.อ.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์ เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ต่อมาปี 2545 พ.อ.สุรฤทธิ์ได้โอนที่ดินดังกล่าวให้ พ.อ.หญิงคุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยา พล.อ.สุรยุทธ์ และต่อมาได้ทำการปลูกสร้าง 'บ้านพักตากอากาศ' หลังที่กำลังร้อนๆ หลอนๆ อยู่ในขณะนี้
กรณี ‘เขายายเที่ยง’ ได้ถูกเปิดประเด็นขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อครั้งที่พล.อ.สุรยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในปี 2549 ว่ามีโบกี้รถไฟจำนวน 4 ตู้ ตั้งประดับบารมีอยู่ในบ้านพักบนเขายายเที่ยง ครั้งนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ว่า บ้านพักในพื้นที่เขายายเที่ยง ไม่ได้มีโบกี้รถไฟ พร้อมย้ำว่าที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการถือครองกรรมสิทธิ์ได้ เนื่องจากยังไม่มีเอกสารสิทธิ แต่เป็นพื้นที่ที่มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ซึ่งเสียภาษีติดต่อกันมาตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 โดยให้ค่าที่ดินแก่ผู้ที่ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิ ซึ่งปัจจุบันบวชเป็นพระชื่อ เบ้า โดยมีอยู่เพียง 20 ไร่
หลังจากนั้นกรณี ‘เขายายเที่ยง’ ก็ดูเหมือนจะถูกลืมเลือนไปจากสังคม จนกระทั่งปมเขายายเที่ยงได้ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งโดยกลุ่มคนเสื้อแดง