สวัสดีปีใหม่ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีและมีความสุขในปี 2553 และหวังว่าปีนี้จะดีกว่าปีก่อนๆครับ
โดยปกติในบทความฉบับแรกของแต่ละปี ผมจะเขียนเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจไทย แต่เนื่องจากสัปดาห์นี้ค่อนข้างพิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะเป็นการครบรอบ 20 ปีของการแตกของเศรษฐกิจฟองสบู่ญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ผลกระทบก็ยังคงอยู่และได้เปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนญี่ปุ่นในบางด้านอย่างถาวร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นเป็นบทเรียนที่เราควรศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับประเทศไทย
ภาวะฟองสบู่ของญี่ปุ่นส่งสัญญาณการแตกตั้งแต่ปลายปี 2532 โดยดัชนี Nikkei ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดที่ 38,916 จุด และลดลงอย่างรุนแรงหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม 2 ปีต่อมา ประชาชน นักธุรกิจ ตลอดจนนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่มีใครคาดคิดว่าผลการแตกจะรุนแรงและยาวนานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในปี 2534 ผมและนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศเอเชียตะวันออกได้ร่วมงานวิจัยกับสถาบันวิจัยของญี่ปุ่น เพื่อทำการพยากรณ์การขยายตัวในระยะยาวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ในขณะนั้นไม่มีใครในกลุ่มนักวิจัยรวมถึงสถาบันวิจัยญี่ปุ่นเองที่คาดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงและเรื้อรังขนาดนี้ ในทางตรงข้ามนักเศรษฐศาสตร์ของญี่ปุ่นเองต่างคาดว่าดัชนี Nikkei ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนั้น เป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งในที่สุดก็ไม่ได้เป็นไปตามการคาดการณ์
20 ปีให้หลัง ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้น ดัชนี Nikkei ณ สิ้นปี 2552 อยู่ที่ 10,638 จุด ต่ำกว่าระดับสูงสุดถึงร้อยละ 73 มูลค่าเศรษฐกิจปี 2552 ก็ใกล้เคียงกับปี 2532 ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงกว่า 2 ใน 3 นอกจากนี้จำนวนคนไม่มีบ้าน (Homelessness) และอัตราการฆ่าตัวตายก็สูงขึ้นอย่างมาก คนจบการศึกษาใหม่หางานยากขึ้น และประเด็นสำคัญคือ โครงสร้างและวัฒนธรรมในการทำงานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากรูปแบบการทำงานที่ใดที่หนึ่งตลอดชีวิตการทำงาน (Lifetime employment) มาเป็นการทำงานที่มีโอกาสที่จะถูกเลิกจ้างและมีการย้ายงานเหมือนกับประเทศอื่นๆ
ในความคิดของผม สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังมาจาก การที่ผู้ออมและธุรกิจของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนและการออม โดยเปลี่ยนจากการลงทุนเก็งกำไรและกล้าเสี่ยงในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้เอกชนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงก่อนการแตกของฟองสบู่ มาเป็นการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมอย่างสุดขั้ว โดยหันมาลงทุนในการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การฝากเงินไว้กับไปรษณีย์ที่นำเงินฝากดังกล่าวไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นซบเซา และธุรกิจก็สามารถระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้ได้อย่างจำกัด
จากความเห็นของ Takuji Aida นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร UBS ระบุว่า พฤติกรรมการรับความเสี่ยงที่ต่ำมากของนักลงทุน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (yield) ของตราสารหนี้ระยะยาวต่ำ และส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาวอยู่ในระดับต่ำมาก ประกอบกับธนาคารพาณิชย์มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ส่งผลให้ธนาคารมีรายได้ต่ำ และขยายสินเชื่อได้น้อยตามมา ดังนั้น ธุรกิจของญี่ปุ่นนอกจากจะไม่สามารถระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้และตราสารทุนได้แล้ว ยังกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ได้อย่างจำกัดอีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ฟื้นตัวจากวิกฤติ
นอกจากปัญหาที่กล่าวมาแล้ว ธุรกิจของญี่ปุ่นได้ปรับตัวโดยการลดหนี้และปรับลดต้นทุนโดยการเลิกจ้างและปรับโครงสร้างการจ้างงาน โดยหันมาเพิ่มการจ้างงานแบบชั่วคราวที่มีอัตราค่าจ้างต่ำและไม่มีความมั่นคงในการทำงาน ทำให้การจ้างงานประจำลดลงจากร้อยละ 80 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เหลือเพียงร้อยละ 66 ในปัจจุบัน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องทำให้การใช้จ่ายในการบริโภคอยู่ในสภาวะซบเซา
จากที่ผมเขียนมา ประเทศญี่ปุ่นโชคร้ายอย่างมากที่มีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งจากการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่ล่าช้าและไม่เด็ดขาด ปล่อยให้ปัญหาเรื้อรัง ประกอบกับผู้ออมเปลี่ยนทัศนคติต่อการลงทุนและการออมมาเป็นอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง อีกทั้งการที่ภาคธุรกิจปรับโครงสร้างการจ้างงาน จนมีผลต่อการบริโภค จึงทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในวังวนของการตกต่ำอย่างยาวนาน เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะออกจากกับดักนี้ได้จากการขยายตัวของการส่งออกในช่วงปี 2545-2550 และทุกอย่างเริ่มดีขึ้น แต่เกิดวิกฤติการเงินโลกเสียก่อน จึงทำให้การส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุดลง และกลับเข้าสู่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจต่อไป
ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะมีมาตรการกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวประมาณร้อยละ 2 ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยการใช้จ่ายลงทุนรวม 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในบริการสาธารณสุขและเพิ่มการลงทุนของภาครัฐฯและเอกชนในการวิจัยและพัฒนาให้สูงถึงร้อยละ 4 ของ GDP อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่รวมทั้งผมเองก็ไม่เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นออกจากกับดักเศรษฐกิจได้ สำหรับผมแล้วคิดว่ากว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้จริงก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี
bunluasak.p@cimbthai.com
โดยปกติในบทความฉบับแรกของแต่ละปี ผมจะเขียนเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจไทย แต่เนื่องจากสัปดาห์นี้ค่อนข้างพิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะเป็นการครบรอบ 20 ปีของการแตกของเศรษฐกิจฟองสบู่ญี่ปุ่น ซึ่งแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว 20 ปี แต่ผลกระทบก็ยังคงอยู่และได้เปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนญี่ปุ่นในบางด้านอย่างถาวร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นเป็นบทเรียนที่เราควรศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับประเทศไทย
ภาวะฟองสบู่ของญี่ปุ่นส่งสัญญาณการแตกตั้งแต่ปลายปี 2532 โดยดัชนี Nikkei ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดที่ 38,916 จุด และลดลงอย่างรุนแรงหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม 2 ปีต่อมา ประชาชน นักธุรกิจ ตลอดจนนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่มีใครคาดคิดว่าผลการแตกจะรุนแรงและยาวนานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในปี 2534 ผมและนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศเอเชียตะวันออกได้ร่วมงานวิจัยกับสถาบันวิจัยของญี่ปุ่น เพื่อทำการพยากรณ์การขยายตัวในระยะยาวของเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก ในขณะนั้นไม่มีใครในกลุ่มนักวิจัยรวมถึงสถาบันวิจัยญี่ปุ่นเองที่คาดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงและเรื้อรังขนาดนี้ ในทางตรงข้ามนักเศรษฐศาสตร์ของญี่ปุ่นเองต่างคาดว่าดัชนี Nikkei ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงนั้น เป็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งในที่สุดก็ไม่ได้เป็นไปตามการคาดการณ์
20 ปีให้หลัง ทุกอย่างก็ยังไม่ดีขึ้น ดัชนี Nikkei ณ สิ้นปี 2552 อยู่ที่ 10,638 จุด ต่ำกว่าระดับสูงสุดถึงร้อยละ 73 มูลค่าเศรษฐกิจปี 2552 ก็ใกล้เคียงกับปี 2532 ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงกว่า 2 ใน 3 นอกจากนี้จำนวนคนไม่มีบ้าน (Homelessness) และอัตราการฆ่าตัวตายก็สูงขึ้นอย่างมาก คนจบการศึกษาใหม่หางานยากขึ้น และประเด็นสำคัญคือ โครงสร้างและวัฒนธรรมในการทำงานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากรูปแบบการทำงานที่ใดที่หนึ่งตลอดชีวิตการทำงาน (Lifetime employment) มาเป็นการทำงานที่มีโอกาสที่จะถูกเลิกจ้างและมีการย้ายงานเหมือนกับประเทศอื่นๆ
ในความคิดของผม สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังมาจาก การที่ผู้ออมและธุรกิจของญี่ปุ่นได้เปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนและการออม โดยเปลี่ยนจากการลงทุนเก็งกำไรและกล้าเสี่ยงในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้เอกชนและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงก่อนการแตกของฟองสบู่ มาเป็นการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมอย่างสุดขั้ว โดยหันมาลงทุนในการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การฝากเงินไว้กับไปรษณีย์ที่นำเงินฝากดังกล่าวไปซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอีกต่อหนึ่ง พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ตลาดหุ้นของญี่ปุ่นซบเซา และธุรกิจก็สามารถระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้ได้อย่างจำกัด
จากความเห็นของ Takuji Aida นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร UBS ระบุว่า พฤติกรรมการรับความเสี่ยงที่ต่ำมากของนักลงทุน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทน (yield) ของตราสารหนี้ระยะยาวต่ำ และส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะยาวอยู่ในระดับต่ำมาก ประกอบกับธนาคารพาณิชย์มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมาก ส่งผลให้ธนาคารมีรายได้ต่ำ และขยายสินเชื่อได้น้อยตามมา ดังนั้น ธุรกิจของญี่ปุ่นนอกจากจะไม่สามารถระดมทุนโดยการออกตราสารหนี้และตราสารทุนได้แล้ว ยังกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ได้อย่างจำกัดอีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นไม่ฟื้นตัวจากวิกฤติ
นอกจากปัญหาที่กล่าวมาแล้ว ธุรกิจของญี่ปุ่นได้ปรับตัวโดยการลดหนี้และปรับลดต้นทุนโดยการเลิกจ้างและปรับโครงสร้างการจ้างงาน โดยหันมาเพิ่มการจ้างงานแบบชั่วคราวที่มีอัตราค่าจ้างต่ำและไม่มีความมั่นคงในการทำงาน ทำให้การจ้างงานประจำลดลงจากร้อยละ 80 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 เหลือเพียงร้อยละ 66 ในปัจจุบัน เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องทำให้การใช้จ่ายในการบริโภคอยู่ในสภาวะซบเซา
จากที่ผมเขียนมา ประเทศญี่ปุ่นโชคร้ายอย่างมากที่มีปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งจากการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่ล่าช้าและไม่เด็ดขาด ปล่อยให้ปัญหาเรื้อรัง ประกอบกับผู้ออมเปลี่ยนทัศนคติต่อการลงทุนและการออมมาเป็นอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง อีกทั้งการที่ภาคธุรกิจปรับโครงสร้างการจ้างงาน จนมีผลต่อการบริโภค จึงทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในวังวนของการตกต่ำอย่างยาวนาน เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะออกจากกับดักนี้ได้จากการขยายตัวของการส่งออกในช่วงปี 2545-2550 และทุกอย่างเริ่มดีขึ้น แต่เกิดวิกฤติการเงินโลกเสียก่อน จึงทำให้การส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสะดุดลง และกลับเข้าสู่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจต่อไป
ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะมีมาตรการกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวประมาณร้อยละ 2 ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยการใช้จ่ายลงทุนรวม 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในบริการสาธารณสุขและเพิ่มการลงทุนของภาครัฐฯและเอกชนในการวิจัยและพัฒนาให้สูงถึงร้อยละ 4 ของ GDP อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่รวมทั้งผมเองก็ไม่เชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นออกจากกับดักเศรษฐกิจได้ สำหรับผมแล้วคิดว่ากว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้จริงก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี
bunluasak.p@cimbthai.com