เฟดฯ ระบุเศรษฐกิจอเมริกันกำลังฟื้น แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่อัตราเกือบเท่ากับศูนย์ตามเดิม แม้จะชะลอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาด จนฉุดยิลด์พันธบัตรรัฐ และดัชนีดาวโจนส์ลดต่ำลง ด้านซีอีโอ บล.ทิสโก้ เตือนเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนหุ้น หลังเม็ดเงินต่างชาติยังทะลักเข้าไทยไม่เลิก ย้ำราคาหุ้นพีคเกิน แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังไม่ฟื้นตาม พร้อมคาดเต็มที่หุ้นไทยไปไม่ถึง 800 จุด ด้านหุ้นไทยวานนี้ลดลง 1.98 จุด แรงซื้อกลุ่มแบงก์มาแรง
ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) แถลงในวันพุธ(23) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน โดยระบุว่าเศรษฐกิจอเมริกันกำลังฟื้นผงาดขึ้นมาได้แล้วภายหลังทรุดตัวลงสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง แต่กระนั้นเฟดก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่อัตราเกือบเท่ากับศูนย์ตามเดิม ถึงแม้จะชะลอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาดเอาไว้บ้าง
คำแถลงบอกว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด(เอฟโอเอ็มซี) ซึ่งเสร็จสิ้นการประชุมกันเป็นเวลา 2 วัน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฟเดอรัล ฟันด์ เรต เอาไว้ที่ 0 - 0.25% ซึ่งเป็นระดับเดิมที่ไม่ได้ขยับไปไหนมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ทั้งนี้คำแถลงแสดงการคาดหมายว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่อยู่ในสภาพชะงักงัน จะ "เป็นเหตุผลรองรับการที่อัตราดอกเบี้ยเฟเดอรัล ฟันด์ เรต ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษ กันไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง"
กระนั้นก็ตาม คำแถลงบอกด้วยว่า "ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมานับตั้งแต่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(ของเฟด) ประชุมกันครั้งก่อนในเดือนสิงหาคม บ่งชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดีดตัวสูงขึ้นแล้วภายหลังทรุดตัวดำดิ่งอย่างสาหัส"
"เงื่อนไขต่างๆ ในตลาดการเงินก็กระเตื้องดีขึ้นอีก และกิจกรรมในภาคที่อยู่อาศัยก็เพิ่มขึ้น" คำแถลงของเฟดระบุ
ขณะเดียวกัน คำแถลงบอกว่าเฟดจะค่อยๆ ชะลอการซื้อตราสารหนี้ที่อิงกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยจะขยายอายุของโครงการนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ตลาดสามารถปรับตัวในระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเท่าที่ผ่านมาเฟดเป็นผู้ซื้อตราสารหนี้ชนิดนี้รายใหญ่ที่สุด
กระนั้นก็ตาม เฟดก็บอกชัดเจนในคราวนี้ว่าจะยังคงรับซื้อตราสารหนี้ประเภทนี้จนครบเต็มจำนวนตามเป้าหมายนั่นคือ 1.25 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับตราสารหนี้อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งออกโดยพวกบริษัทของรัฐบาล หลังจากที่ในคำแถลงภายหลังการประชุมเอฟโอเอ็มซีคราวที่แล้วเมื่อเดือนสิงหาคม เฟดแถลงด้วยถ้อยคำคลุมเครือกว่า โดยบอกเพียงว่าอาจจะซื้อไปจนถึงจำนวนดังกล่าว
สำหรับปฏิกิริยาของตลาดการเงินต่อความเคลื่อนไหวของเฟดคราวนี้ ปรากฏว่าในตลาดบอนด์ อัตราผลตอบแทน(ยิลด์) ของพันธบัตรรัฐบาลได้ลดต่ำลง เนื่องจากตลาดสนใจคำแถลงที่บ่งบอกว่า เฟดยังจะคงดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดินเช่นนี้กันต่อไปอีก
ทว่าตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯที่กำลังอยู่ในระยะขาขึ้นกลับหล่นลงมาบ้าง โดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันพุธลดลง 81.77 จุด หรือ 0.83% มาอยู่ที่ 9,748.10 เพราะนักลงทุนกังวลว่าคำแถลงของเฟดคราวนี้ อาจจะเป็นการปูพื้นสำหรับการลดเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในเวลาต่อไป
อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์หลายราย เช่น แซล กัวเตียรี นักเศรษฐศาสตร์แห่ง บีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เกตส์ มองว่า คำแถลงของเฟดคราวนี้ เป็นการตอกย้ำยืนยันว่าเฟดยังอยู่ห่างไกลจากการเริ่มใช้ยุทธศาสตร์ลดเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอย่างน้อยเฟดก็ยังต้องการยืดอายุโครงการรับซื้อตราสารหนี้อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกไปอีกสองสามเดือน
ทางด้าน โจเอล แนรอฟฟ์ แห่ง แนรอฟฟ์ อีโคโนมิก แอดไวเซอร์ส ชี้ว่า ขณะนี้เฟดดูจะเชื่อว่าอัตราเติบโตยังจะอยู่ในระดับต่ำๆ นั่นก็คือ แม้เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นทว่ายังไม่ได้อยู่ในสภาพที่เข้าท่าเข้าทีแล้ว ดังนั้น เฟดจึงยังไม่น่าจะรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เตือนหุ้นแรงเกินกำไรบจ.
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย ว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และจะในลักษณะนี้ต่อไป หากยังไม่มีปัจจัยลบเกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก โดยขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว ทำให้นักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้จะต้องมีความระมัดระวังในการลงทุน รวมถึงควรเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องการซื้อขาย เพราะ หุ้นอาจจะมีการปรับตัวลดลงมา ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะการพักฐาน
สำหรับเม็ดเงินกองทุนทั่วโลกขณะนี้มีจำนวนมาก โดยซีอีโอ บล.ทิสโก้ ให้ความเห็นว่าน่าจะมีพอๆกับช่วงที่ก่อนเลห์แมนบราเธอร์ล้ม อีกทั้งจากเมื่อต้นปีบรรดากองทุนต่างๆได้ประเมินสถานการณ์ผิดว่าหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงนั้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนได้ปรับลดพอร์ตลงทุนในหุ้นต่ำลง แต่เมื่อหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา จึงทำให้กองทุนที่มีการประเมินสถานการณ์พลาดจะต้องมีการลงทุนในหุ้นเพิ่ม และประเทศที่จะเข้าไปลงทุนได้ขณะนี้เป็นแถบเอเซีย ซึ่งราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก โดยเฉพาะประเทศไทย
ดังนั้นจึงทำให้ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นอื่น โดยเป็นการขึ้นจากเม็ดเงินต่างชาติเท่านั้น และไม่มีปัจจัยพื้นฐานอื่นมารองรับ ซึ่งถือว่าหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป ขณะที่กำไรของบจ.ยังไม่ฟื้นตัวรองรับ ดังนั้นส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 750 จุด แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็จะมีการพักฐาน และคงไม่สามารถอยู่ที่ 800 จุด ได้
“สภาพคล่องทางการเงินของกองทุนทั่วโลกเยอะมากพอๆกับช่วงก่อนเลห์แมนฯล้ม จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีข่าวร้ายที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามอาจจะมีการพักฐานบ้าง เพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ดังนั้นหากนักลงทุนจะลงทุนช่วงนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง”นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ (24ก.ย.) ดัชนีปิดที่ระดับ 728.54 จุด ลดลง 1.98 จุด หรือ -0.27% มูลค่าการซื้อขาย 31,791 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 729.22 จุด และต่ำสุดที่ 721.08 จุด ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BAY มูลค่าการซื้อขาย 2,936.06 ล้านบาท ปิดที่ 19.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,018.76 ล้านบาท ปิดที่ 265.00 บาท ลดลง 3.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,652.78 ล้านบาท ปิดที่ 81.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,528.57 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,153.12 ล้านบาท ปิดที่ 84.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
โบรกฯแนะจับตาตลาดตปท.
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวถึง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ ว่าดัชนีฯแกว่งตัวในแดนลบ โดยได้รับปัจจัยกดดันจากตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง รวมถึง นักลงทุนหันไปสนใจหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังหุ้นในกลุ่มพลังงานเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง 2.79 ดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯ ในวันนี้(25ก.ย.) ประเมินว่าดัชนีฯ น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 720-730 จุด เพราะไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่นเข้ามากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ ให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ขายทำกำไร
ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) แถลงในวันพุธ(23) ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน โดยระบุว่าเศรษฐกิจอเมริกันกำลังฟื้นผงาดขึ้นมาได้แล้วภายหลังทรุดตัวลงสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง แต่กระนั้นเฟดก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ที่อัตราเกือบเท่ากับศูนย์ตามเดิม ถึงแม้จะชะลอมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตลาดเอาไว้บ้าง
คำแถลงบอกว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด(เอฟโอเอ็มซี) ซึ่งเสร็จสิ้นการประชุมกันเป็นเวลา 2 วัน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฟเดอรัล ฟันด์ เรต เอาไว้ที่ 0 - 0.25% ซึ่งเป็นระดับเดิมที่ไม่ได้ขยับไปไหนมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ทั้งนี้คำแถลงแสดงการคาดหมายว่า เงื่อนไขต่างๆ ที่อยู่ในสภาพชะงักงัน จะ "เป็นเหตุผลรองรับการที่อัตราดอกเบี้ยเฟเดอรัล ฟันด์ เรต ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษ กันไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง"
กระนั้นก็ตาม คำแถลงบอกด้วยว่า "ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมานับตั้งแต่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(ของเฟด) ประชุมกันครั้งก่อนในเดือนสิงหาคม บ่งชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดีดตัวสูงขึ้นแล้วภายหลังทรุดตัวดำดิ่งอย่างสาหัส"
"เงื่อนไขต่างๆ ในตลาดการเงินก็กระเตื้องดีขึ้นอีก และกิจกรรมในภาคที่อยู่อาศัยก็เพิ่มขึ้น" คำแถลงของเฟดระบุ
ขณะเดียวกัน คำแถลงบอกว่าเฟดจะค่อยๆ ชะลอการซื้อตราสารหนี้ที่อิงกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยจะขยายอายุของโครงการนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ตลาดสามารถปรับตัวในระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น เนื่องจากเท่าที่ผ่านมาเฟดเป็นผู้ซื้อตราสารหนี้ชนิดนี้รายใหญ่ที่สุด
กระนั้นก็ตาม เฟดก็บอกชัดเจนในคราวนี้ว่าจะยังคงรับซื้อตราสารหนี้ประเภทนี้จนครบเต็มจำนวนตามเป้าหมายนั่นคือ 1.25 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับตราสารหนี้อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งออกโดยพวกบริษัทของรัฐบาล หลังจากที่ในคำแถลงภายหลังการประชุมเอฟโอเอ็มซีคราวที่แล้วเมื่อเดือนสิงหาคม เฟดแถลงด้วยถ้อยคำคลุมเครือกว่า โดยบอกเพียงว่าอาจจะซื้อไปจนถึงจำนวนดังกล่าว
สำหรับปฏิกิริยาของตลาดการเงินต่อความเคลื่อนไหวของเฟดคราวนี้ ปรากฏว่าในตลาดบอนด์ อัตราผลตอบแทน(ยิลด์) ของพันธบัตรรัฐบาลได้ลดต่ำลง เนื่องจากตลาดสนใจคำแถลงที่บ่งบอกว่า เฟดยังจะคงดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดินเช่นนี้กันต่อไปอีก
ทว่าตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯที่กำลังอยู่ในระยะขาขึ้นกลับหล่นลงมาบ้าง โดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันพุธลดลง 81.77 จุด หรือ 0.83% มาอยู่ที่ 9,748.10 เพราะนักลงทุนกังวลว่าคำแถลงของเฟดคราวนี้ อาจจะเป็นการปูพื้นสำหรับการลดเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในเวลาต่อไป
อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์หลายราย เช่น แซล กัวเตียรี นักเศรษฐศาสตร์แห่ง บีเอ็มโอ แคปิตอล มาร์เกตส์ มองว่า คำแถลงของเฟดคราวนี้ เป็นการตอกย้ำยืนยันว่าเฟดยังอยู่ห่างไกลจากการเริ่มใช้ยุทธศาสตร์ลดเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอย่างน้อยเฟดก็ยังต้องการยืดอายุโครงการรับซื้อตราสารหนี้อิงสินเชื่อที่อยู่อาศัยออกไปอีกสองสามเดือน
ทางด้าน โจเอล แนรอฟฟ์ แห่ง แนรอฟฟ์ อีโคโนมิก แอดไวเซอร์ส ชี้ว่า ขณะนี้เฟดดูจะเชื่อว่าอัตราเติบโตยังจะอยู่ในระดับต่ำๆ นั่นก็คือ แม้เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นทว่ายังไม่ได้อยู่ในสภาพที่เข้าท่าเข้าทีแล้ว ดังนั้น เฟดจึงยังไม่น่าจะรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย
เตือนหุ้นแรงเกินกำไรบจ.
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย ว่า เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และจะในลักษณะนี้ต่อไป หากยังไม่มีปัจจัยลบเกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก โดยขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงแล้ว ทำให้นักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนในช่วงนี้จะต้องมีความระมัดระวังในการลงทุน รวมถึงควรเลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องการซื้อขาย เพราะ หุ้นอาจจะมีการปรับตัวลดลงมา ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะการพักฐาน
สำหรับเม็ดเงินกองทุนทั่วโลกขณะนี้มีจำนวนมาก โดยซีอีโอ บล.ทิสโก้ ให้ความเห็นว่าน่าจะมีพอๆกับช่วงที่ก่อนเลห์แมนบราเธอร์ล้ม อีกทั้งจากเมื่อต้นปีบรรดากองทุนต่างๆได้ประเมินสถานการณ์ผิดว่าหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงนั้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนได้ปรับลดพอร์ตลงทุนในหุ้นต่ำลง แต่เมื่อหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา จึงทำให้กองทุนที่มีการประเมินสถานการณ์พลาดจะต้องมีการลงทุนในหุ้นเพิ่ม และประเทศที่จะเข้าไปลงทุนได้ขณะนี้เป็นแถบเอเซีย ซึ่งราคาหุ้นยังปรับขึ้นไม่มาก โดยเฉพาะประเทศไทย
ดังนั้นจึงทำให้ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นอื่น โดยเป็นการขึ้นจากเม็ดเงินต่างชาติเท่านั้น และไม่มีปัจจัยพื้นฐานอื่นมารองรับ ซึ่งถือว่าหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป ขณะที่กำไรของบจ.ยังไม่ฟื้นตัวรองรับ ดังนั้นส่วนตัวมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 750 จุด แม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็จะมีการพักฐาน และคงไม่สามารถอยู่ที่ 800 จุด ได้
“สภาพคล่องทางการเงินของกองทุนทั่วโลกเยอะมากพอๆกับช่วงก่อนเลห์แมนฯล้ม จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีข่าวร้ายที่เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามอาจจะมีการพักฐานบ้าง เพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ดังนั้นหากนักลงทุนจะลงทุนช่วงนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษ และควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง”นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ (24ก.ย.) ดัชนีปิดที่ระดับ 728.54 จุด ลดลง 1.98 จุด หรือ -0.27% มูลค่าการซื้อขาย 31,791 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 729.22 จุด และต่ำสุดที่ 721.08 จุด ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ BAY มูลค่าการซื้อขาย 2,936.06 ล้านบาท ปิดที่ 19.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,018.76 ล้านบาท ปิดที่ 265.00 บาท ลดลง 3.00 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,652.78 ล้านบาท ปิดที่ 81.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,528.57 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และ SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,153.12 ล้านบาท ปิดที่ 84.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
โบรกฯแนะจับตาตลาดตปท.
นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวถึง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ ว่าดัชนีฯแกว่งตัวในแดนลบ โดยได้รับปัจจัยกดดันจากตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง รวมถึง นักลงทุนหันไปสนใจหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังหุ้นในกลุ่มพลังงานเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง 2.79 ดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯ ในวันนี้(25ก.ย.) ประเมินว่าดัชนีฯ น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 720-730 จุด เพราะไม่มีปัจจัยบวกที่โดดเด่นเข้ามากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ ให้นักลงทุนติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ขายทำกำไร