xs
xsm
sm
md
lg

สถาบันเทขาย1.4หมื่นล. ความเชื่อมั่น Q3วูบ-ไร้วี่แววเงินลงทุนระยะยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ครึ่งปีแรกต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 20,000 ล้าน ด้านสถาบันเทขายทำกำไรถึง 14,000 ล้านบาท เตือนเม็ดเงินที่เข้ามาเป็นเพียงระยะสั้นที่มีโอกาสเกิดแรงเทขายในช่วงไตรมาส 3สูง ส่วนเม็ดเงินลงทุนระยะยาวจากต่างชาติยังไม่มีสัญญาณให้เห็น ภาพรวมQ3หนีไม่พ้นทรุดตัว เงินไหลออกตลาดหุ้นมุ่งหาสินทรัพย์อื่นๆ ป้องกันความเสี่ยง ทั้งตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ จากความเชื่อมั่นและศรัทธาในฝีมือรัฐบาลของนักลงทุนหดตัวลงเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวกลับคืนอีกครั้งช่วงกลางไตรมาสสุดท้าย

จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ในหลายประเทศ ต้องเผชิญปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราการเติบโตของจีดีพีบางประเทศถึงขึ้นติดลบ ซึ่งประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลุดพ้นปัญหาดังกล่าวไปได้ แต่ในช่วง 1 – 2 กลับเริ่มพบว่ามีเม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยก็ได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินเหล่านี้ ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ดัชนีหลักทรัพย์ ณ ปัจจุบัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียง 600 จุด

ทั้งนี้ เมื่อสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า หากการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกลุ่มนักลงทุน จะชัดเจนว่านักลงทุนต่างประเทศได้เข่ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน แล้วจำนวน 20,193.98 ล้านบาท ในทางกลับกันสถาบันในประเทศมีการขายสุทธิสูงถึง 14,483.30 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไป ซึ่งขายสุทธิ 5,710.69 ล้านบาท
 นอกจากนี้ ยังพบว่า ตั้งแต่ต้นปี 2552 เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนทั่วไปมีการซื้อขายหลักทรัพย์มีวอลุ่มสูงถึง 1 ล้านล้านบาททั้งการซื้อและการขายหลักทรัพย์
ขณะเดียวกัน เฉพาะภายในเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศทำการซื้อสุทธิถึง 13,834.69 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 7,979.26 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันซื้อขายสุทธิ 5,855.43 ล้านบาท โดยมีสาเหตุมาจากเม็ดเงินลงทุนระยะสั้นจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนทั่วไปมีการซื้อขายเก็งกำไรหุ้นจำนวนมาก และในกลุ่มสถาบัน พอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์มีการขายหุ้นเพื่อปิดบัญชีให้ผลดำเนินงานในไตรมาสที่2/2552 เติบโตหรือพลิกจากขาดทุนไตรมาส 1ที่ผ่านมา ขณะที่บรรดากองทุน มีการปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงไปเช่นกัน

นอกจากนี้ เมื่อดูค่าสถิติสำคัญและผลดำเนินงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2552 จะพบว่า ในรอบ 3 เดือนล่าสุดดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลง +35.54% ขณะที่ในรอบ 6 เดือนล่าสุดมีการเปลี่ยนแปลง + 33.75% และตั้งแต่วันที่ ม.ค. 2551 (Tear to Date) มีการเปลี่ยนแปลง +32.79% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป)อยู่ที่ 4,742,529.80 ล้านบาท อัตราหมุนเวียนปริมารการซื้อขาย (YTD)อยู่ที่ 58.41% P/E ในอัตรา 20.03 เท่า ขณะที่ P/BV อยู่ในระดับ 1.30 เท่า และอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.66% โดยตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคมที่ผ่านมา ดัชนีปรับสูงสุด 561.41 จุด ต่ำสุด 411.27 จุด และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 12,848.27 ล้านบาท

ส่วนข้อมูลด้านตลาดอนุพันธ์ ตั้งแต่เดือนมกราคม – พฤษภาคม 2552 มีปริมาณการซื้อขายหมุนเวียน 894,342 สัญญา มูลค่า 298,714.32 สัญญา สถานะคงค้าง 34,705 สัญญา โดยมีปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 9,336 สัญญา หรือ 3,170.14 ล้านบาท

นายธิติ ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน กล่าวว่า ภาพรวม 2 ไตรมาสที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยดูดีขึ้น แต่ขอเตือนผู้ลงทุนถึงเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาว่ายังเป็นเม็ดเงินระยะสั้นที่พร้อมจะโยกย้ายออกไปจากประเทศได้ในทันที และที่เข้ามาเนื่องจากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียกระเตื้องขึ้น แต่ในไทยนั้นยังมีปัญหาการจัดการภายในประเทศ ดังนั้นแม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มการเติบโต แต่ในไตรมาส 3 นี้มีโอกาสสูงที่ดัชนีจะปรับลดลงมาแรง ตามแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ซื้อสุทธิสะสมไว้ร่วม 2หมื่นล้านบาท

อีกทั้งหลังจากที่ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในต่างประเทศหลายคนเมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการคาดการณ์กันว่าดัชนีหุ้นดาวนโจนส์ในสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลงอีก ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย โดยคาดว่านักลงทุนจะสามารถกลับเข้ามาทำกำไรในตลาดหุ้นได้อีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคมของปีนี้ 2552

สำหรับมุมมองถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ของสถาบันในประเทศช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา นายธิติ กล่าวว่า ต้องแบ่งในส่วนของพอร์ตการลงทุนโบรกเกอร์นั้นมีการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น เพื่อต้องการผลักดันให้ผลดำเนินงานไตรมาส2นี้ออกมาดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่บรรดากองทุน ส่วนตัวเชื่อว่าผู้จัดการกองทุนรู้ดีว่า หุ้นไทยในช่วงนี้ยังไม่ดีนัก และด้วยนโยบายที่ต้องบริหารสินทรัพย์ให้มีความมั่งคั่งและมีผลตอบแทนที่ดีแก่ลูกค้า ดังนั้นเม็ดเงินบางส่วนจะถูกโยกย้ายไปลงทุนในแหล่งสินทรัพย์อื่น แม้ช่วงนี้ผลตอบแทนของตราสารหนี้จะลดลง แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่า จึงคาดว่าจะมีเม็ดเงินบางส่วนไหลจากหุ้น กลับไปที่บอนด์ และทองคำ เพิ่มขึ้น เพราะหากนำเข้าเป็นเก็งกำไรในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐช่วงนี้ก็มีความเสี่ยงสูง

“รอบนี้เชื่อว่านักลงทุนรายย่อย เข้าใจภาวะและสถานการณ์ในตลาดหุ้นไทยได้ดี ซึ่งสังเกตุจากแรงซื้อและแรงเทขายส่วนใหญ่จะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มสถาบัน อีกทั้งช่วงนี้การปรับตัวของดัชนีเป็ฯไปในแบบ Side Way จึงมีการเก็งกำไรด้วยการซื้อขายสูง จะเห็นได้จากวอลุ่มการซื้อและวอลุ่มการขายของรายย่อยที่เม็ดเงินถึง 1 ล้านล้านบาท แต่ต้องขอย้ำว่าเมื่อต่างชาติเทขาย จะเกิดแรงเทขายมากกว่าแรงซื้อเยอะ”

**หวั่นระยะยาวเม็ดเงินไม่ไหลเข้า
นายธิติ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่านักลงทุนในประเทศมีความเชื่อมั่นรัฐบาลใหม่สูง ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจได้ดี แต่พอผ่านมา 2 – 3เดือน เริ่มปรากฏว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้เท่าที่ควร ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงไปเรื่อยๆ

ขณะเดียวกันจากการพุดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศ กลับพบสิงที่น่าวิตกว่า ข่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทยส่วนมากที่มีการเผยแพร่ออกไปนั้นจะเป็นมุมมองในด้านลบ ทำให้คนที่ไม่เคยมาเมืองไทยไม่อยากเข้ามา หรือไม่กล้าเข้ามาลงทุน แต่ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติที่มีการลงทุในไทยอยู่แล้ว เหล่านี้ยังมีความเชื่อมั่น และเข้าใจในสถานการณ์ในประเทศไทยได้ดี

แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อขณะนี้เม็ดเงินในตลาดหุ้นแทบ100% เป็นเม็ดเงินระยะสั้นของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหากราคาหุ้นที่ถือไว้ถึงกรอบหรือราคาที่กำหนด แรงเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรก็จะเกิดขึ้น เม็ดเงินระยะสั้นส่วนใหญ่ก็จะไหลออกไป ขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนระยะยาวก็ยังไม่มีแนวโน้มหรือสัญญาณเข้ามา จึงทำให้จุดนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวลและอาจทำให้ดัชนีหุ้นร่วงลงหนัก

ดังนั้นภาพรวมแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 3นี้ หากเป็นทางเทคนิคราคาหุ้นและดัชนีจะปรับตัวลดลงถึงลดลงแรง และจะเริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากความเชื่อของนักลงทุนจะลดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนโยกย้ายไปสู่ตราสาร หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น เช่นทองคำ ซึ่งช่วงนี้ราคาก็ปรับตัวลดลงมา รวมทั้งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวดี ราคาของอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวขึ้นทำให้มีโอกาสเข้าไปลงทุนในจุดนี้เช่นกัน

ส่วนสถานการณ์การราคาน้ำมันในตลาดโลก ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะมีผลให้หุ้นในกลุ่มพลังงาน มีการปรับตัวสูงขึ้นไปอีกได้ เพราะแนวโน้มของราคาน้ำมันในนิวยอร์กยังอยู่ในทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตามในส่วนของค่า P/E หุ้นไทยที่มีบางคนกังวลอยู่ในระดับที่สูงนั้น ส่วนตัวมองว่าประมาณ 20 เท่านี้ยังไม่สูงมากเท่าไรนัก ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้ไม่รุนแรงเท่าที่ควร สามารถลงทุนได้ปกติ อีกทั้งต้องอย่าลืมว่ากว่าครึ่งหนึ่งของ P/E มีน้ำหนักการปรับตัวมาจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งในปัจจุบันราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็อยู่ในระดับเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของราคาที่เคยสูงกว่านี้ถึง 147 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งทำให้แนวโน้มค่าP/E ในอนาคตน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีก

ก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบล.ทิสโก้ และในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกช่วงนี้จะยังไม่ฟื้นตัว เพราะยังไม่ถึงจุดต่ำสุด เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงถดถอยอยู่ ซึ่งคาดว่าจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในไตรมาส 4/52 และการกระตุ้นให้เศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะต้องมีการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ในอนาคตระยะยาวอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยจะปรับสูงขึ้น ทั้งนี้หากตราบใดที่เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทำให้ฟื้นตัวระยะสั้นเท่านั้น

"คาดว่าตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3/52 จะมีการปรับตัวลดลงแรงจากที่ไม่มีข่าวดีเข้ามากระตุ้น และจากผลตอบแทนพันธบัตรมีการปรับตัวสูงขึ้น จากที่จะมีการออกบอนด์จำนวนมาก และจากผลประกอบการของบริษัทจดเบียนปรับตัวเพิ่มไม่มาก อีกธนาคารพาณิชย์ไม่มีการปล่อยสินเชื่อมากนัก แต่ถือว่าในช่วงไตรมาส 3 นี้เป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไปลงทุนจากหุ้นซึ่งมีทิศทางปรับตัวลดลงโดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 550 จุด"

ดังนั้น นักลงทุนควรมีการลงทุนระยะยาวเพื่อรับเงินปันผล ในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรลงทุนเพื่อทำกำไรส่วนต่างราคา เพราะตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูง และไม่สามารถคาดได้ว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะเข้าออกเมื่อไร โดยหากนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นปันผลไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ก็ยังได้รับเงินปันผล และเมื่อหากเศรษฐกิจโลก มีการฟื้นตัวก็จะทำให้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น

"เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นเงินลงทุนระยะสั้น หากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะมีการขายกำไรออกมา ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยถือว่ายังมีความเสี่ยงในเรื่องปัจจัยการเมืองเพิ่มขึ้น โดยหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลเมื่อไร ถือว่ามีความเสี่ยงมากที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าปัจจุบัน"
กำลังโหลดความคิดเห็น