xs
xsm
sm
md
lg

ตลท.ดึงสหพัฒน์โรดโชว์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงบริษัทกลุ่มสหพัฒน์ 15 บริษัท มาร์เกตแคปรวมเกือบ 6 หมื่นล้านบาท พบนักวิเคราะห์-นักลงทุนเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมสินค้าราคาถูก เพื่อให้นักลงทุนรับทราบข้อมูลและกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ด้านโบรกเกอร์ สั่งจับตามตลาดหุ้นภูมิภาค-แรงขายทำกำไร หลังวานนี้ตลาดหุ้นพุ่งต่อกว่า 9 จุด

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (26 มิ.ย.) ผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มสหพัฒน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งหมดจำนวน 15 บริษัท จะเข้าพบกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดของแต่ละบริษัทในงานมหกรรมสินค้าราคาถูก และเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ ปี หลังจากที่กลุ่มสหพัฒน์เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้ความสำคัญของบจ.ในกลุ่มสหพัฒน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากบจ. ทั้ง 15 แห่ง มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวมกันสูงถึง 5.7-5.8 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2551 ที่ผ่านมา มีรายได้รวมกันประมาณ 7 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิรวม 4.9 พันล้านบาท และสามารถจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นกว่า 2,174 ล้านบาท

“ทางกลุ่มสหพัฒน์เขายอมรับว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีสภาพคล่องการซื้อขายมากนัก โดยพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนจะเป็นการซื้อแล้วเก็บมากกว่า เพราะจ่ายปันผลดีโดยตลอด แต่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เชิญผู้บริหารกลุ่มสหพัฒน์มาให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนและนักวิเคราะห์ เพราะหลายครั้งทางนักวิเคราะห์ไม่สามารถเข้าถึงได้”

นายชนิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ไปทางตลาดหลักทรัพย์ฯจะพยายามเชิญชวนให้บริษัทจดทะเบียนที่มีรูปแบบคล้ายกับกลุ่มสหพัฒน์ออกมาพบและให้ข้อมูลโดยตรงกับนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะบจ.ที่มีรูปแบบเป็นการบริหารแบบกลุ่มครอบครัว(แฟมิลี่) ซึ่งปัจจุบันมีอยุ่ค่อนข้างมากในตลาดหลักทรัพย์ฯ

สำหรับบริษัทจดทะเบียนกลุ่มสหพัฒน์ ทั้ง 15 แห่ง ประกอบด้วย บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง บมจ. สหพัฒนพิบูล บมจ. บูติคนิวซิตี้ บมจ. ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล บมจ.นิวซิตี้(กรุงเทพ) บมจ. แพนเอเชียฟุตแวร์ บมจ. ประชาอาภรณ์ บมจ. ธนูลักษณ์ บมจ. เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ บมจ. ไทยวาโก้ บมจ. โอซีซี บมจ. เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ บมจ.สหโคเจน(ชลบุรี) บมจ. เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ บมจ. ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์

***โบรกเกอร์เตือนระวังแรงเทขายทำกำไร

ด้านความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย หลังจากทราบผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งไม่น่าจะมีผลต่อตลาดการเงินในช่วงนี้ โดยราคาหุ้นแตะระดับสูงสุด 595.35 จุด ต่ำสุด 583.60 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 590.60 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 9.17 จุด หรือคิดเป็น 1.58% มูลค่าการซื้อขายรวม 21,425.17 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 235 บาท เพิ่มขึ้น 7 บาท หรือคิดเป็น 3.07% มูลค่าการซื้อขาย 2,418.06 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 130.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 2.76% มูลค่าการซื้อขาย 1,869.72 ล้านบาท และบมจ. ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ราคาปิด 18.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 4.52% มูลค่าการซื้อขาย 1,530.00 ล้านบาท

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า หลังคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ไว้ที่ระดับ 0-025%

นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อเพื่อทำราคาระยะสั้นของนักลงทุนก่อนบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งจะปิดงบการเงินในช่วงสิ้นไตรมาส 2/52 รวมถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังที่ประชุมวุฒิสภามีมติอนุมัติผ่านร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินจำนวน 4 แสนล้าน จึงกลายเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทย

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (26มิ.ย.) คาดว่าจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก แต่ให้ระวังแรงเทขายเพื่อเก็งกำไรก่อนปิดงบการเงินสิ้นเดือนมิถุนายนของกองทุนต่างๆ ราคาน้ำมันโลก และดัชนีดาวโจนส์ ดังนั้นจึงแนะให้นักลงทุนทยอยเทขายหลักทรัพย์เมื่อดัชนีเคลื่อนไหวเข้าใกล้แนวต้าน และทยอยเก็บหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ดัชนีอ่อนตัว ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 590-592 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 600-611 จุด

นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายหลักทรัพย์ บล.บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC กล่าววว่า จากกรณีที่เฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ประกอบกับแรงเก็บหุ้นเพื่อทำราคาของนักลงทุนของปิดงบสิ้นไตรมาส 2 นี้ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถยืนแดนบวก ขณะที่เรื่องเม็ดเงินจาก พ.ร.กเงินกู้. 4 แสนล้าน ที่รัฐบาลจะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่น่าจะมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นมากนัก เพราะนักลงทุนได้รับทราบไปก่อนหน้านี้

“แนวโน้มหุ้นน่าจะเป็นไปในลักษณะมีแรงซื้อสลับกับแรงเทขายตลอดวัน โดยประเด็นที่ต้องติดตามคือ ยอดตัวเลขผู้ขอใช้สิทธิ์รับเงินชดเชยจากการว่างงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก รวมถึงตลาดหุ้นต่างประเทศ ส่วนกลยุทธ์การลงทุนควรทยอยเทขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยให้กรอบแนวรับที่ 580 จุด และแนวต้านที่ 595-600 จุด”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย หลังทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แล้ว ซึ่งนักลงทุนมองว่าคำแถลงไม่ค่อยมีนัยสำคัญเท่าที่ควร และเห็นสัญญาณว่าเฟดน่าจะลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด ยกเว้นราคาน้ำมันดิบ จึงช่วยสนับสนุนให้มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย

ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (26 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะทรงตัว หรือมีการเทขายทำกำไรออกมา โดยกรอบความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ระหว่าง 585-600 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น