ASTV ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีตลาดหุ้นไทย รับอานิสงส์ตลาดเอเชีย ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 12 จุด หรือ 2.03% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ระบุได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ดีดกลับ และแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ด้านโบรกเกอร์ แนะจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
ภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ได้พักฐานลงมาหลายวันก่อนหน้านี้
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวแตะระดับต่ำสุดที่ 568.79 จุด ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงบ่าย จนแตะระดับสูงสุดที่ 582.94 จุด และปิดการซื้อขายที่ 581.43 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.58 จุด หรือคิดเป็น 2.03% มูลค่าการซื้อขายรวม 16,728.06 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า โดยมียอดขายสุทธิ 494.80 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 872.87 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 378.06 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 228 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 6 บาท หรือคิดเป็น 2.70% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,012.84 ล้านบาท บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 127 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 3.25% มูลค่าการซื้อขาย 1,947.54 ล้านบาท และบมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาปิด 65.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 3.56% มูลค่าการซื้อขาย 1,118.33 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นเอเชียหลักๆ คือ ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดที่ระดับ 9,590.32 จุด เพิ่มขึ้น 40.71 จุด หรือ 0.43% ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดที่ระดับ 2,278.96 จุด เพิ่มขึ้น 52.86 จุด หรือ 2.37%ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 6,380.08 จุด เพิ่มขึ้น 182.61 จุด หรือ 2.95 % และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ระดับ 17,892.15 จุด เพิ่มขึ้น 353.78 จุด หรือ 2.02%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 10 จุด มีปัจจัยบวกตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2% เช่นเดียวกัน หลังจากวันก่อนหน้าดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน จากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส (มูดี้ส์) ที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารเพียง 2 ราย โดยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ออกตราสารสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และลดอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวและระยะสั้นของธนาคารทหารไทย (TMB) แต่กลับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB)
“การที่มูดี้ส์ปรับลดเรตติ้งธนาคารแค่ 2 แห่ง แต่เพิ่มเครดิต TMB รวมถึงคงอันดับของธนาคารอีกหลายแห่ง ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทำให้นักนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงิน และกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 มิ.ย.) จะต้องรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก แต่เบื้องต้นคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันจะต้องติดตามยอดสินเชื่อบ้านและยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนควรจะลงทุนในลักษณะเก็งกำไร ประเมินแนวรับที่ 570 จุด และแนวต้าน 585 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซิมิโก้ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ตลาดเอเชียและราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้น ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนจนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ปิดตลาดสามารถยืนในแดนบวกได้
ขณะเดียวกัน ผลการประชุมสมาชิกวุฒิสภามีมติอนุมัติผ่านพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาท ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มีแรงซื้อในหลักทรัพย์กลุ่มธนาคารพณิชย์ไม่ว่าจะเป็น KBANK SCB และBBL จนราคาหุ้นเหล่านี้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 3%
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย แต่นักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก และดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ โดยกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนควรจะเทขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น
ภาวการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่ได้พักฐานลงมาหลายวันก่อนหน้านี้
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวแตะระดับต่ำสุดที่ 568.79 จุด ก่อนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างแรงในช่วงบ่าย จนแตะระดับสูงสุดที่ 582.94 จุด และปิดการซื้อขายที่ 581.43 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 11.58 จุด หรือคิดเป็น 2.03% มูลค่าการซื้อขายรวม 16,728.06 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า โดยมียอดขายสุทธิ 494.80 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 872.87 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 378.06 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 228 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 6 บาท หรือคิดเป็น 2.70% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,012.84 ล้านบาท บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 127 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 3.25% มูลค่าการซื้อขาย 1,947.54 ล้านบาท และบมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ราคาปิด 65.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 3.56% มูลค่าการซื้อขาย 1,118.33 ล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นเอเชียหลักๆ คือ ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดที่ระดับ 9,590.32 จุด เพิ่มขึ้น 40.71 จุด หรือ 0.43% ดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดที่ระดับ 2,278.96 จุด เพิ่มขึ้น 52.86 จุด หรือ 2.37%ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 6,380.08 จุด เพิ่มขึ้น 182.61 จุด หรือ 2.95 % และดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ระดับ 17,892.15 จุด เพิ่มขึ้น 353.78 จุด หรือ 2.02%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 10 จุด มีปัจจัยบวกตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2% เช่นเดียวกัน หลังจากวันก่อนหน้าดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย และสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน จากการที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์อินเวสเตอร์สเซอร์วิส (มูดี้ส์) ที่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารเพียง 2 ราย โดยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือผู้ออกตราสารสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และลดอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวและระยะสั้นของธนาคารทหารไทย (TMB) แต่กลับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB)
“การที่มูดี้ส์ปรับลดเรตติ้งธนาคารแค่ 2 แห่ง แต่เพิ่มเครดิต TMB รวมถึงคงอันดับของธนาคารอีกหลายแห่ง ถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่หลายๆ ฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทำให้นักนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงิน และกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 มิ.ย.) จะต้องรอดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงทิศทางและแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก แต่เบื้องต้นคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันจะต้องติดตามยอดสินเชื่อบ้านและยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐฯ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ นักลงทุนควรจะลงทุนในลักษณะเก็งกำไร ประเมินแนวรับที่ 570 จุด และแนวต้าน 585 จุด
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซิมิโก้ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ตลาดเอเชียและราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้น ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนจนทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ปิดตลาดสามารถยืนในแดนบวกได้
ขณะเดียวกัน ผลการประชุมสมาชิกวุฒิสภามีมติอนุมัติผ่านพระราชกำหนดกู้เงินจำนวน 4 แสนล้านบาท ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มีแรงซื้อในหลักทรัพย์กลุ่มธนาคารพณิชย์ไม่ว่าจะเป็น KBANK SCB และBBL จนราคาหุ้นเหล่านี้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 3%
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย แต่นักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก และดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ โดยกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนควรจะเทขายทำกำไรระยะสั้นเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น