ASTVผู้จัดการรายวัน - "สุเทพ" ปฏิเสธถือหาง ก.ตร.อุ้ม "พัชรวาท-สุชาติ-เพิ่มศักดิ์" พ้นผิดคดี 7 ตุลาเลือด อ้าง ป.ป.ช.กับตำรวจถือกฎหมายคนละฉบับ โยน ครม.พิจารณาชงเรื่องให้ศาล รธน.ชี้ขาดอำนาจ ป.ป.ช.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะทำหนังสือมาถึงนายสุเทพในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช.เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับ คณะกรรมการก.ตร. ว่าป.ป.ช.ไม่มีอำนาจชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 อดีต ผบช.น.และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีต ผบก.ภ.อุดรธานี ในคดีสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม ว่า เรื่องนี้มีขั้นตอนว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลความผิดนายตำรวจ 3 นาย แล้วส่งเรื่องมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ทาง สตช.จึงได้ดำเนินการให้นายตำรวจทั้ง 3 นาย ออกจากการปฏิบัติหน้าที่คือปลดออก ตามมติของป.ป.ช. ซึ่งเป็นการปฏิบัติไปตาม มติของ ป.ป.ช.
ต่อมานายตำรวจทั้ง 3 ใช้สิทธิตามพ.ร.บ.ข้าราชการตำรวจที่ระบุว่า เมื่อถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ได้ และการพิจารณาอุทธรณ์ก็เป็นไปตามกฎหมายตำรวจ ที่มีคณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาร่วมกันและส่งผลการพิจารณาที่สรุปว่า คำอุทธรณ์ของตำรวจทั้ง 3 นายนั้นฟังขึ้นและไม่ได้กระทำความผิดวินัยตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหา จึงได้เสนอผลการพิจารณากลับมาที่ ก.ตร. และก.ตร.ก็ได้พิจารณา แล้วเห็นด้วยกับคณะกรรมการอุทธรณ์
นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ทาง สตช.ต้องดำเนินการตามขั้นตอน กรณีของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ให้กลับเข้ารับราชการได้เลยตามที่มีมติไว้ในที่ประชุม ก.ตร. ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั้นต้องเสนอเรื่องมาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและสั่งการให้ลงโทษ ซึ่งนายกฯจะมีการวินิจฉัยอย่างไร ก็เป็นเรื่องของนายกฯ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่าอย่างนี้ถือเป็นการไม่เคารพมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งตามกฏหมายถือว่าเป็นมติเด็ดขาดไปแล้ว นายสุเทพ กล่าวยอมรับว่า ก็เป็นประเด็นที่เป็นปัญหา หาก 2 หน่วยงานมีความขัดแย้งกัน นายกฯอาจจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม. และถ้าเห็นว่า 2 หน่วยงานที่ถือกฏหมายคนละฉบับอาจจะมีปัญหาขัดแย้งกัน รัฐบาลก็สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
ส่วนจะถือว่าเป็นการตะแบงหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ได้ตะแบงด้วย ผู้สื่อข่าวแย้งว่า กรณีเช่นนี้เหมือนมีคำสั่งประหารชีวิตไปแล้ว แต่มาเปลี่ยนแปลงอีกได้ นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่มีการประหารชีวิตกันทันที เพราะต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นเสียก่อน ทั้งหมดมีกระบวนการของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตื่นเต้นอะไร เมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าควรใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับใดจึงจะถูกต้องก็ว่าไปตามนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางป.ป.ช.อ้างว่าเคยมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญก็เคยมีมติยืนยันแล้วว่า ก.ตร.ไม่มีสิทธิโต้แย้งมติ ป.ป.ช. รองนายกฯ กล่าวว่า กรณีของกฤษฎีกาไม่ใช่องค์กรที่จะวินิจฉัยสุดท้าย เป็นเพียงให้คำปรึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน แต่หน่วยงานสุดท้ายจะต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในกรณีเดียวกันหรือไม่ ตนไม่ใช่นักกฎหมาย เมื่อนั่งเป็นประธานก.ตร.ก็ต้องฟังคนที่เขาหารือกันในทางกฎหมาย และในการประชุม ก.ตร.วันนั้นก็ไม่ได้มีใครวอล์กเอ้าท์ มีเพียงกรรมการบางคนที่ขอกลับออกไปก่อน เพราะมีงานอย่างอื่น
ส่วนเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นตัวอย่างให้หน่วยงานอื่นทำตามหรือไม่นั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นความบังเอิญอย่างที่ตนบอก แล้วว่า กฎหมายป.ป.ช.ว่าไปอย่างหนึ่ง แต่กฎหมายตำรวจก็ว่าไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ยืนยันว่าไม่มีใครไปขัดแย้งกับ ป.ป.ช.เลย สั่งมาก็ดำเนินการจนครบถ้วน แต่คนผิด ก็มีช่องทางของเขาคือการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกัน เมื่อมีความคิดเห็น ไม่ตรงกันขัดแย้งกันก็ต้องมีคนวินิจฉัย เราเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกา เป็นเรื่องที่ดีที่สุด กรณีของ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระที่มีการให้อำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้ เราก็ต้องว่ากันไปตามนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปแล้วจะให้ครม.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจ ป.ป.ช. ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนสรุปไม่ได้ ต้องให้เรื่องไปถึงครม.ก่อน จะไปพูดแทน ครม.ทั้งหมดไม่ได้ เมื่อถามว่า ทางป.ป.ช.ข้องใจว่าเพราะเหตุใดนายสุเทพ ถึงไม่มีการปกป้องป.ป.ช.แต่ปล่อยให้ทางตำรวจวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของป.ป.ช.หลายครั้งแม้กระทั่งในการประชุมก.ตร. นายสุเทพ กล่าวว่า ในการประชุมก.ตร.นั้นจะมีการแสดงความคิดเห็นกัน ตนต้องเคารพในความคิดเห็นของแต่ละคนเช่นเดียวกับการประชุมสภาฯ หากไม่มีการทำผิดกฎหมายหรือหมิ่นประมาทใครเราก็ไปว่าอะไรไม่ได้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะทำหนังสือมาถึงนายสุเทพในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของป.ป.ช.เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกับ คณะกรรมการก.ตร. ว่าป.ป.ช.ไม่มีอำนาจชี้มูลความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.ภ.4 อดีต ผบช.น.และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีต ผบก.ภ.อุดรธานี ในคดีสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม ว่า เรื่องนี้มีขั้นตอนว่า ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลความผิดนายตำรวจ 3 นาย แล้วส่งเรื่องมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ทาง สตช.จึงได้ดำเนินการให้นายตำรวจทั้ง 3 นาย ออกจากการปฏิบัติหน้าที่คือปลดออก ตามมติของป.ป.ช. ซึ่งเป็นการปฏิบัติไปตาม มติของ ป.ป.ช.
ต่อมานายตำรวจทั้ง 3 ใช้สิทธิตามพ.ร.บ.ข้าราชการตำรวจที่ระบุว่า เมื่อถูกลงโทษมีสิทธิอุทธรณ์ได้ และการพิจารณาอุทธรณ์ก็เป็นไปตามกฎหมายตำรวจ ที่มีคณะกรรมการอุทธรณ์พิจารณาร่วมกันและส่งผลการพิจารณาที่สรุปว่า คำอุทธรณ์ของตำรวจทั้ง 3 นายนั้นฟังขึ้นและไม่ได้กระทำความผิดวินัยตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหา จึงได้เสนอผลการพิจารณากลับมาที่ ก.ตร. และก.ตร.ก็ได้พิจารณา แล้วเห็นด้วยกับคณะกรรมการอุทธรณ์
นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ทาง สตช.ต้องดำเนินการตามขั้นตอน กรณีของ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ให้กลับเข้ารับราชการได้เลยตามที่มีมติไว้ในที่ประชุม ก.ตร. ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั้นต้องเสนอเรื่องมาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและสั่งการให้ลงโทษ ซึ่งนายกฯจะมีการวินิจฉัยอย่างไร ก็เป็นเรื่องของนายกฯ
ผู้สื่อข่าวแย้งว่าอย่างนี้ถือเป็นการไม่เคารพมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งตามกฏหมายถือว่าเป็นมติเด็ดขาดไปแล้ว นายสุเทพ กล่าวยอมรับว่า ก็เป็นประเด็นที่เป็นปัญหา หาก 2 หน่วยงานมีความขัดแย้งกัน นายกฯอาจจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม. และถ้าเห็นว่า 2 หน่วยงานที่ถือกฏหมายคนละฉบับอาจจะมีปัญหาขัดแย้งกัน รัฐบาลก็สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
ส่วนจะถือว่าเป็นการตะแบงหรือไม่นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ได้ตะแบงด้วย ผู้สื่อข่าวแย้งว่า กรณีเช่นนี้เหมือนมีคำสั่งประหารชีวิตไปแล้ว แต่มาเปลี่ยนแปลงอีกได้ นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่มีการประหารชีวิตกันทันที เพราะต้องรอให้กระบวนการเสร็จสิ้นเสียก่อน ทั้งหมดมีกระบวนการของมันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปตื่นเต้นอะไร เมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าควรใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับใดจึงจะถูกต้องก็ว่าไปตามนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางป.ป.ช.อ้างว่าเคยมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญก็เคยมีมติยืนยันแล้วว่า ก.ตร.ไม่มีสิทธิโต้แย้งมติ ป.ป.ช. รองนายกฯ กล่าวว่า กรณีของกฤษฎีกาไม่ใช่องค์กรที่จะวินิจฉัยสุดท้าย เป็นเพียงให้คำปรึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน แต่หน่วยงานสุดท้ายจะต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้ว นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในกรณีเดียวกันหรือไม่ ตนไม่ใช่นักกฎหมาย เมื่อนั่งเป็นประธานก.ตร.ก็ต้องฟังคนที่เขาหารือกันในทางกฎหมาย และในการประชุม ก.ตร.วันนั้นก็ไม่ได้มีใครวอล์กเอ้าท์ มีเพียงกรรมการบางคนที่ขอกลับออกไปก่อน เพราะมีงานอย่างอื่น
ส่วนเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นตัวอย่างให้หน่วยงานอื่นทำตามหรือไม่นั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นความบังเอิญอย่างที่ตนบอก แล้วว่า กฎหมายป.ป.ช.ว่าไปอย่างหนึ่ง แต่กฎหมายตำรวจก็ว่าไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ยืนยันว่าไม่มีใครไปขัดแย้งกับ ป.ป.ช.เลย สั่งมาก็ดำเนินการจนครบถ้วน แต่คนผิด ก็มีช่องทางของเขาคือการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งเป็นคนละขั้นตอนกัน เมื่อมีความคิดเห็น ไม่ตรงกันขัดแย้งกันก็ต้องมีคนวินิจฉัย เราเคารพและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกา เป็นเรื่องที่ดีที่สุด กรณีของ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระที่มีการให้อำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้ เราก็ต้องว่ากันไปตามนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าสรุปแล้วจะให้ครม.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจ ป.ป.ช. ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนสรุปไม่ได้ ต้องให้เรื่องไปถึงครม.ก่อน จะไปพูดแทน ครม.ทั้งหมดไม่ได้ เมื่อถามว่า ทางป.ป.ช.ข้องใจว่าเพราะเหตุใดนายสุเทพ ถึงไม่มีการปกป้องป.ป.ช.แต่ปล่อยให้ทางตำรวจวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของป.ป.ช.หลายครั้งแม้กระทั่งในการประชุมก.ตร. นายสุเทพ กล่าวว่า ในการประชุมก.ตร.นั้นจะมีการแสดงความคิดเห็นกัน ตนต้องเคารพในความคิดเห็นของแต่ละคนเช่นเดียวกับการประชุมสภาฯ หากไม่มีการทำผิดกฎหมายหรือหมิ่นประมาทใครเราก็ไปว่าอะไรไม่ได้