xs
xsm
sm
md
lg

สธ.ฉุดงบไทยเข้มแข็งอืด คลังขู่ตัดทิ้ง ลั่นโครงการต้องเดินหน้าปี53

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” เผยสธ.ฉุดเบิกจ่ายไทยเข้มแข็งอืด ระบุวงเงิน 1.7 แสนล้านทำสัญญาไปเพียง 4.8 หมื่นล้าน ขู่!หากยื่นคำขอโครงการเข้ามาช้ากว่าที่ขยายเวลาจะตัดโครงการทิ้งทันที พร้อมเดินลงทุนระยะกลาง-ยาวสร้างความเชื่อมั่นเอกชนรับช่วงรัฐบาล

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งเปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็งที่ยื่นเสนอจัดสรรเงินมา ไม่ทันภายในเวลากำหนด 30 พฤศจิกายนว่า มีวงเงินรวม 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติขยายเวลาให้จนถึง 29 มกราคม 2553 ซึ่งล่าสุดวันที่ 30 ธันวาคมพบว่าได้ยื่นคำขอเข้าเพิ่มเพียง 3.7 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนวงเงินที่ยื่นคำขอจัดสรรวงเงิน 1.7 แสนล้านบาทนั้น ณ วันที่ 1 มกราคม 2553 มีการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างไปแล้ว 736 โครงการ รวมมูลค่า 48,900 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายจริงเพียง 26,340 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งรวมในส่วนของการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐด้วย

อย่างไรก็ตามในส่วนที่ยังไม่ได้ยื่นขอจัดสรรวงเงินเข้ามานั้น เนื่องจากเป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายในลักษณะงานประจำ วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนของกระทรวงสาธารณสุข 1.1 หมื่นล้านบาท และสำนักนายกรัฐมนตรีอีก 7 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นโครงการอื่นๆ ที่ได้รับจัดสรรงบน้อยกว่า 1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1.8 หมื่นล้านบาท เป็นลักษณะงบผูกพันเกิน 1 ปี ซึ่งมี 15 โครงการ โดยโครงการเหล่านี้ต้องมาดูในรายละเอียดว่า หากยื่นเสนอเข้ามาไม่ทันจะตัดโครงการนั้นทิ้งไปเลยหรือเปลี่ยนไปเป็นโครงการอื่นๆ ขึ้นกับครม. เพราะโครงการที่บรรจุในไทยเข้มแข็งระบุไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าต้องพร้อมดำเนินการในปี 2553

สำหรับวงเงินกู้จากพรบ. 4 แสนล้านบาท ที่ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภานายสถิตย์กล่าวว่า จะนำเงินกู้มาใช้ในยุทธศาสตร์ในการพัฒนาและวางโครงสร้างประเทศระยะกลางและระยะยาวมาก ซึ่งได้รายงานให้รัฐสภาทราบแล้วว่ามีโครงการใดบ้าง ซึ่งหากรัฐสภาอนุมัติพรบ.ให้กู้เงินได้ ก็จะเดินไปตามแนวทางยุทธศาสตร์ของประเทศที่วางไว้ แต่หากรัฐสภาไม่อนุมัติ ก็คงต้องหารือถึงแนวทางที่จะหางบลงทุนจากภาครัฐเพิ่มเติมได้ด้วยวิธีใดในภาวะที่เอกชนยังเชื่อมต่อการลงทุนจากรัฐได้เต็มที่ เบื้องต้นหากไม่ได้เงินกู้พิเศษ ก็คงเป็นวิธีงบประมาณพิเศษคือ งบกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปงบประมาณกลางปีที่เคยทำมาแล้ว

“งบลงทุนในไทยเข้มแข็งที่จะใช้จากพรก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้เหลือเพียง 3.2 แสนล้านบาท จากที่ใช้ไปแล้ว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งวงเงินดังกล่าวนี้ต้องการใช้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งก็จะเห็นว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นรอบแรก โดยจะเห็นจากการบริโภคฟื้นตัวขึ้นและการส่งออกหดตัวน้อยลง จากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าฟื้นตัวขึ้น แต่ความเสี่ยงระยะยาวยังมีจากปัจจัยภายนอกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ดังนั้นการดูแลเศรษฐกิจยังต้องทำต่อเนื่อง”นายสถิตย์กล่าว

นายสถิตย์กล่าวต่อว่า งบลงทุน 3.5 แสนล้านบาทแรกต้องใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลักและให้มีส่วนช่วยในการวางรากฐานเศรษฐกิจระยะกลางและยาว หากพรบ. 4 แสนล้านบาทผ่านการอนุมัติจะใช้ในการวางพื้นฐานเศรษฐกิจต่อเนื่องในระยะกลางและระยะยาวให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ภาคเอกชนมารับช่วงการลงทุนต่อจากภาครัฐ เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจจากการลงทุนภาครัฐเป็นเรื่องจำเป็น แต่ในระยะยาวเศรษฐกิจจะต้องเติบโตและขยายตัวจากการลงทุนของภาคเอกชน
กำลังโหลดความคิดเห็น