ภาวะตลาดหุ้นไทยวันแรกรับปี 2553 และรับการประเดิมใช้เกณฑ์ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันใด ปิดที่ 732.28 จุด ลดลง 2.26 จุด หรือ 0.31% มูลค่าการซื้อขาย 11,646.36 ล้านบาท ซึ่ง นายถนอมศักดิ์ สหรัตนชัย ผู้บังคับบัญชา สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบจำกัด เนื่องจากพึ่งเทรดเป็นวันแรกของปีนี้ นักลงทุนคงจะไม่ตัดสินใจซื้อในทันที และคงจะหมดประเด็นในเรื่องของเม็ดเงินจากกองทุน LTF-RMF แล้ว โดยเฉพาะ LTF ได้มีบางส่วนที่ลงทุนครบ 5 ปีแล้ว จึงอาจจะมีการเตรียมขายได้ในวันนี้(5ม.ค.) ก็อาจทำให้เกิด position ขายได้
อย่างไรก็ตาม ยังบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจอยู่ทั้งตัวเลข GDP ของไทยและต่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ดังนั้น จึงยังอยู่ในทิศทางดี และคาดว่ามีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 758 จุด ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยคงจะยังแกว่งตัว เนื่องจากสัปดาห์นี้มีตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่น่าจับตาดูหลายตัว โดยให้แนวรับไว้ที่ 721,725 จุด แนวต้าน 740 จุด พร้อมแนะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว โดยอิงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล, เก็งหุ้นที่มีประเด็นการควบรวมกิจการ
**12บล.จ่อประกาศค่าคอมฯ0%
แหล่งข่าวจากผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กล่าวว่า ขณะนี้มีบล.จำนวน 12 แห่ง ที่จะมีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) 0%ในส่วนมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่มากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป จากที่บล.นครหลวงไทยเป็นรายแรกที่ประกาศจะคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา0% ทำให้บล.รายอื่นๆมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตราดังกล่าวเช่นกันในการป้องกันฐานลูกค้าของตนเองไม่ได้ถูกแย่งไป
ทั้งนี้จากวานนี้(4 ธ.ค.)เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดทำการหลังจากปิดทำการในช่วงปีใหม่และเป็นวันแรกที่เริ่มมีการใช้ค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได แต่จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ไม่ดีนัก ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศนั้น จึงทำให้ยังไม่เห็นผลของการแข่งขันราคารุนแรงของโบรกเกอร์ โดยคาดว่าในช่วงกลางเดือนมกราคมนี้ จะเห็นชัดเจนว่าโบรกเกอร์มีการแข่งขันราคากันรุนแรงแค่ไหน
“วานนี้เป็นวันเริ่มต้นที่มีการใช้อัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการแข่งขันเท่านั้น โดยยังไม่เห็นผลชัดเจนของการแข่งขันราคาที่รุนแรงจากที่จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0% ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดีจึงยังไม่เห็นผลของการแข่งขันราคารุนแรง แต่ขณะนี้มีกระแสข่าวว่ามีบล. จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0% จำนวน 12 แห่ง แล้วโดยเชื่อว่ากลางเดือนนี้เป็นต้นไปจะเห็นการแข่งขันที่รุนแรงของบล.”แหล่งข่าวกล่าว
**ปีเสือธุรกิจโบรกฯแข่งขันเดือด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การแข่งขันธุรกิจหลักทรัพย์ปีนี้จะแข่งขันรุนแรงมาก จากที่กระแสโบรกเกอร์จะมีการแข่งขันตัดราคาโดยการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) เหลือ 0%มูลค่าการซื้อขายที่มากกว่า 20 ล้านบาทต่อวัน เพื่อเป็นการแย่งลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้บล.มีผลขาดทุน และอาจปิดกิจการไป แต่ก็จะไม่มากนัก เพราะ ปัจจุบันโบรกเกอร์มีทุนจดทะเบียนเกิน300 ล้านบาทถือว่ายังมีทุนที่สูงอยู่ ซึ่งยังสามารถที่จะรองรับผลขาดทุนได้
ทั้งนี้เมื่อโบรกเกอร์มีผลขาดทุนเกิดขึ้น ก็จะทำให้ต้องมีการลดค่าใช้จ่ายลงจากที่ไม่สามารถที่จะหารายได้เข้ามาชดเชย โดยอันดับแรกที่จะลดคือสายงานด้านวิจัยจากเป็นธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้ ซึ่งจะทำให้หุ้นเก็งกำไรไร้ปัจจัยพื้นฐานจะกลับมามีการเทรดคึกคักมากขึ้น จากบทวิเคราะห์ที่ลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เกตติ้ง)มีการแนะนำการลงทุนตามความถนัดของตนเอง และมีการใช้ข่าวลือข่าวลวงต่างๆ สร้างผลเสียต่อนักลงทุนรายย่อยที่มีอยู่ในตลาดจำนวนกว่า 1 แสนรายได้รับความเสียหายขาดทุน รวมถึงส่งผลให้โบรกเกอร์ได้รับความเสียหายเช่นกันจากการเกิดหนี้เสีย อีกทั้งภาพรวมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯจะแย่ไปด้วย
“เพียงแค่มีโบรกเกอร์ 1-2 รายมีการคิดค่าคอมมิชชั่นกรณีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทที่อัตรา 0%นั้นก็จะสร้างความปั่นป่วนแก่ธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะ หากแข่งขันตัดราคาและสามารถแย่งฐานลูกค้าได้สำเร็จก็จะทำให้โบรกเกอร์รายอื่นๆมีการเข้ามาแข่งขันตัดราคาเช่นกัน แต่การทำดังกล่าวจะทำให้โบรกเกอร์มีผลขาดทุนจำนวนมาก จึงหวังว่าจะเลิกแข่งขันตัดราคากันภายใน 6 เดือน”นายสมบัติ กล่าว
ดังนั้น หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีหน้า ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุดในการลงทุน โดยแนะนำให้นักลงทุนเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ เนื่องจาก วอลุ่มตลาดทรงตัว กำไรพอร์ตการลงทุนลดลง และทำให้โบรกเกอร์ยิ่งมีรายได้และกำไรปรับตัวลดลง จากที่วอลุ่มปีนี้จะทรงตัว ค่าคอมมิชชั่นลดลง และผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนจะต่ำกว่าปีนี้จากที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับปีนี้
นายมงคล กิตติภูมิวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หากในปีหน้าเมื่อมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได และยังมีการแข่งขันด้านราคาจนเหลือ0% นั้นจะทำให้บริษัทมีผลขาดทุน โดยถือว่าโบรกเกอร์ที่มีการแข่งราคานั้น เป็นการทำลายตัวเอง แต่หากโบรกเกอร์ไม่มีการแข่งขันราคากันดุเดือนก็จะยังทำให้พอมีผลกำไร และนำผลกำไรที่ได้มาคืนให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและทำให้อุตสาหกรรมหลักทรัพย์มีกำไรไปด้วย
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์(สมาคมโบรกเกอร์) กล่าวว่า หากโบรกเกอร์มีการแข่งขันตัดราคาเหลือ0% จะทำให้โบรกเกอร์มีผลขาดทุน หากไม่สามารถที่จะหารายได้อื่นเข้ามาแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้ต้องมีการลดต้นทุนการดำเนินงาน อีกทั้งโบรกเกอร์ที่จะมีการแข่งราคาได้นั้นจะต้องมีเงินทุนเพียงพอ และพร้อมที่จะรองรับลูกค้าที่จะเข้ามาเปิดบัญชีจำนวนมาก โดยหากไม่มีเงินทุนที่เพียงพอนั้นจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการชำระราคาหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้โบรกเกอร์มีบทเรียนในการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 2543 มาแล้ว ที่ทุกโบรกเกอร์มีการแข่งขันราคากันทำให้โบรกเกอร์ตอนนั้นที่มี 40 แห่งนั้นมีผลขาดทุน และนักลงทุนได้รับความเสียหายจากที่ไม่มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ จนทำให้ต้องมีการกลับมากำหนดอัตราค่าคอมมิชชั่น ดังนั้นโบรกเกอร์ควรที่จะมีการแข่งขันในเรื่องคุณภาพการให้บริการมากกว่า
**เคที-ซีมิโก้พร้อมสู้-แบงก์แม่หนุน
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า หากคู่แข่งมีการแข่งขันด้านราคา เราก็พร้อมที่จะแข่งขันได้ราคาเช่นกัน และจากการที่ทางก.ล.ต.ประกาศจะมีการเปิดเสรีนั้น บริษัทได้มีการปรับตัวมาเป็นเวลา3 ปีแล้ว ในเรื่องการทำงานภายในและบริษัทมีธนาคาร กรุงไทยเป็นพันธมิตรที่จะช่วยสนับสนุนเงินทุนของบริษัทและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ทางธนาคารกรุงไทยจะมีการแนะนำฐานลูกค้าเงินฝากให้กับบริษัทเพื่อเป็นลูกค้าด้านหลักทรัพย์ โดยบริษัทตั้งเป้ามีมาร์เกตแชร์ปีหน้าที่ 5.5% จากปีนี้ และมีแผนที่จะมีการออกสินค้าใหม่ๆมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน รวมทั้งจะพัฒนาระบบให้สามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆมากขึ้น จากปัจจุบันที่ลูกค้ามีการซื้อขายหุ้นที่เวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ยังบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจอยู่ทั้งตัวเลข GDP ของไทยและต่างประเทศ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ดังนั้น จึงยังอยู่ในทิศทางดี และคาดว่ามีโอกาสที่จะขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 758 จุด ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยคงจะยังแกว่งตัว เนื่องจากสัปดาห์นี้มีตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่น่าจับตาดูหลายตัว โดยให้แนวรับไว้ที่ 721,725 จุด แนวต้าน 740 จุด พร้อมแนะเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว โดยอิงหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล, เก็งหุ้นที่มีประเด็นการควบรวมกิจการ
**12บล.จ่อประกาศค่าคอมฯ0%
แหล่งข่าวจากผู้บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กล่าวว่า ขณะนี้มีบล.จำนวน 12 แห่ง ที่จะมีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) 0%ในส่วนมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่มากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป จากที่บล.นครหลวงไทยเป็นรายแรกที่ประกาศจะคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา0% ทำให้บล.รายอื่นๆมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตราดังกล่าวเช่นกันในการป้องกันฐานลูกค้าของตนเองไม่ได้ถูกแย่งไป
ทั้งนี้จากวานนี้(4 ธ.ค.)เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดทำการหลังจากปิดทำการในช่วงปีใหม่และเป็นวันแรกที่เริ่มมีการใช้ค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได แต่จากการที่ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ไม่ดีนัก ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศนั้น จึงทำให้ยังไม่เห็นผลของการแข่งขันราคารุนแรงของโบรกเกอร์ โดยคาดว่าในช่วงกลางเดือนมกราคมนี้ จะเห็นชัดเจนว่าโบรกเกอร์มีการแข่งขันราคากันรุนแรงแค่ไหน
“วานนี้เป็นวันเริ่มต้นที่มีการใช้อัตราค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการแข่งขันเท่านั้น โดยยังไม่เห็นผลชัดเจนของการแข่งขันราคาที่รุนแรงจากที่จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0% ประกอบกับภาวะตลาดหุ้นไทยไม่ดีจึงยังไม่เห็นผลของการแข่งขันราคารุนแรง แต่ขณะนี้มีกระแสข่าวว่ามีบล. จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นที่อัตรา 0% จำนวน 12 แห่ง แล้วโดยเชื่อว่ากลางเดือนนี้เป็นต้นไปจะเห็นการแข่งขันที่รุนแรงของบล.”แหล่งข่าวกล่าว
**ปีเสือธุรกิจโบรกฯแข่งขันเดือด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การแข่งขันธุรกิจหลักทรัพย์ปีนี้จะแข่งขันรุนแรงมาก จากที่กระแสโบรกเกอร์จะมีการแข่งขันตัดราคาโดยการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น) เหลือ 0%มูลค่าการซื้อขายที่มากกว่า 20 ล้านบาทต่อวัน เพื่อเป็นการแย่งลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้บล.มีผลขาดทุน และอาจปิดกิจการไป แต่ก็จะไม่มากนัก เพราะ ปัจจุบันโบรกเกอร์มีทุนจดทะเบียนเกิน300 ล้านบาทถือว่ายังมีทุนที่สูงอยู่ ซึ่งยังสามารถที่จะรองรับผลขาดทุนได้
ทั้งนี้เมื่อโบรกเกอร์มีผลขาดทุนเกิดขึ้น ก็จะทำให้ต้องมีการลดค่าใช้จ่ายลงจากที่ไม่สามารถที่จะหารายได้เข้ามาชดเชย โดยอันดับแรกที่จะลดคือสายงานด้านวิจัยจากเป็นธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้ ซึ่งจะทำให้หุ้นเก็งกำไรไร้ปัจจัยพื้นฐานจะกลับมามีการเทรดคึกคักมากขึ้น จากบทวิเคราะห์ที่ลดลง ทำให้เจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เกตติ้ง)มีการแนะนำการลงทุนตามความถนัดของตนเอง และมีการใช้ข่าวลือข่าวลวงต่างๆ สร้างผลเสียต่อนักลงทุนรายย่อยที่มีอยู่ในตลาดจำนวนกว่า 1 แสนรายได้รับความเสียหายขาดทุน รวมถึงส่งผลให้โบรกเกอร์ได้รับความเสียหายเช่นกันจากการเกิดหนี้เสีย อีกทั้งภาพรวมอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ฯจะแย่ไปด้วย
“เพียงแค่มีโบรกเกอร์ 1-2 รายมีการคิดค่าคอมมิชชั่นกรณีมูลค่าการซื้อขายมากกว่า 20 ล้านบาทที่อัตรา 0%นั้นก็จะสร้างความปั่นป่วนแก่ธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะ หากแข่งขันตัดราคาและสามารถแย่งฐานลูกค้าได้สำเร็จก็จะทำให้โบรกเกอร์รายอื่นๆมีการเข้ามาแข่งขันตัดราคาเช่นกัน แต่การทำดังกล่าวจะทำให้โบรกเกอร์มีผลขาดทุนจำนวนมาก จึงหวังว่าจะเลิกแข่งขันตัดราคากันภายใน 6 เดือน”นายสมบัติ กล่าว
ดังนั้น หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีหน้า ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่สุดในการลงทุน โดยแนะนำให้นักลงทุนเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ เนื่องจาก วอลุ่มตลาดทรงตัว กำไรพอร์ตการลงทุนลดลง และทำให้โบรกเกอร์ยิ่งมีรายได้และกำไรปรับตัวลดลง จากที่วอลุ่มปีนี้จะทรงตัว ค่าคอมมิชชั่นลดลง และผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนจะต่ำกว่าปีนี้จากที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับปีนี้
นายมงคล กิตติภูมิวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บล.กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า หากในปีหน้าเมื่อมีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได และยังมีการแข่งขันด้านราคาจนเหลือ0% นั้นจะทำให้บริษัทมีผลขาดทุน โดยถือว่าโบรกเกอร์ที่มีการแข่งราคานั้น เป็นการทำลายตัวเอง แต่หากโบรกเกอร์ไม่มีการแข่งขันราคากันดุเดือนก็จะยังทำให้พอมีผลกำไร และนำผลกำไรที่ได้มาคืนให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งจะถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและทำให้อุตสาหกรรมหลักทรัพย์มีกำไรไปด้วย
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์(สมาคมโบรกเกอร์) กล่าวว่า หากโบรกเกอร์มีการแข่งขันตัดราคาเหลือ0% จะทำให้โบรกเกอร์มีผลขาดทุน หากไม่สามารถที่จะหารายได้อื่นเข้ามาแทนนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้ต้องมีการลดต้นทุนการดำเนินงาน อีกทั้งโบรกเกอร์ที่จะมีการแข่งราคาได้นั้นจะต้องมีเงินทุนเพียงพอ และพร้อมที่จะรองรับลูกค้าที่จะเข้ามาเปิดบัญชีจำนวนมาก โดยหากไม่มีเงินทุนที่เพียงพอนั้นจะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการชำระราคาหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้โบรกเกอร์มีบทเรียนในการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นในปี 2543 มาแล้ว ที่ทุกโบรกเกอร์มีการแข่งขันราคากันทำให้โบรกเกอร์ตอนนั้นที่มี 40 แห่งนั้นมีผลขาดทุน และนักลงทุนได้รับความเสียหายจากที่ไม่มีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ จนทำให้ต้องมีการกลับมากำหนดอัตราค่าคอมมิชชั่น ดังนั้นโบรกเกอร์ควรที่จะมีการแข่งขันในเรื่องคุณภาพการให้บริการมากกว่า
**เคที-ซีมิโก้พร้อมสู้-แบงก์แม่หนุน
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า หากคู่แข่งมีการแข่งขันด้านราคา เราก็พร้อมที่จะแข่งขันได้ราคาเช่นกัน และจากการที่ทางก.ล.ต.ประกาศจะมีการเปิดเสรีนั้น บริษัทได้มีการปรับตัวมาเป็นเวลา3 ปีแล้ว ในเรื่องการทำงานภายในและบริษัทมีธนาคาร กรุงไทยเป็นพันธมิตรที่จะช่วยสนับสนุนเงินทุนของบริษัทและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
นอกจากนี้ทางธนาคารกรุงไทยจะมีการแนะนำฐานลูกค้าเงินฝากให้กับบริษัทเพื่อเป็นลูกค้าด้านหลักทรัพย์ โดยบริษัทตั้งเป้ามีมาร์เกตแชร์ปีหน้าที่ 5.5% จากปีนี้ และมีแผนที่จะมีการออกสินค้าใหม่ๆมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน รวมทั้งจะพัฒนาระบบให้สามารถซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนตลาดหุ้นอื่นๆมากขึ้น จากปัจจุบันที่ลูกค้ามีการซื้อขายหุ้นที่เวียดนาม