นายนิทัศน์ ภัทรโยธิน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) เปิดเผยถึงถึงผลการดำเนินงานปี 2552 ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีปริมาณการซื้อขายโดยรวมเฉลี่ยต่อวัน (จนถึงพฤศจิกายน) ประมาณ 886 สัญญาต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 51 ซึ่งอยู่ที่ 601 สัญญาต่อวัน 47.44 %
โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังปี 52 ปริมาณการซื้อขายได้มีการขยายตัวอันเป็นผลมาจากการประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาล ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1,400 สัญญา เพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี 259% โดยปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2552 คือวันที่ 29 ต.ค. 52 อยู่ที่ 11,943 สัญญา
ทั้งนี้ การดำเนินงานที่สำคัญในปี 52 AFET ได้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการให้รัฐบาลใช้กลไกการซื้อขายล่วงหน้าในการระบายสินค้าในสต๊อกรัฐบาล โดยตั้งแต่สิงหาคมจนถึงปัจจุบันได้มีการระบายข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิมากกว่า 700,000 ตัน นอกจากนี้ยังปรับปรุงเงื่อนไขในข้อกำหนดการซื้อขายมันสำปะหลังเส้นล่วงหน้าเพื่อให้เหมาะแก่การที่รัฐจะใช้ในการระบายสต๊อกมันสำปะหลังที่มีอยู่ อีกทั้งจัดระบบบการซื้อขาย โดยปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคหรือคอขวดที่เกี่ยวข้องกับการชำระราคาให้มีความยืดหยุ่นแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเพื่อที่จะสามารถรองรับปริมาณการซื้อขายล่วงหน้าที่มากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับ ปี 53 มีแนวทางในการพัฒนาโดยการดูแลปรับปรุง ข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อผู้ขายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ข้าว หรือมันสำปะหลัง ในส่วนของสัญญาล่วงหน้าใหม่นั้นขณะนี้กำลังพิจารณาถึงการนำข้าวเปลือกมาใช้ในการซื้อขาย รวมทั้งการจัดทำให้มีการซื้อขายล่วงหน้าที่มีการส่งมอบ FOB นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานกับทางสำนักงาน ก.ส.ล. ในการร่วมกันพัฒนาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มเติมในปี 53 เช่น ยางแท่ง น้ำตาล และเอทานอล เพราะเห็นว่าสินค้าเหล่านี้น่าจะเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูงในการซื้อขายล่วงหน้า
นายนิทัศน์ กล่าว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการสินค้าเกษตรมีความคุ้นเคยกับการซื้อขายล่วงหน้ามากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้มีความหลากหลายในการใช้เครื่องมือในการลงทุนอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินค้าทางการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง AFET จะได้ขยายฐานลูกค้าในประเทศทั้งในระดับผู้ประกอบการและนักลงทุนให้เข้ามาใช้ AFET ให้มากขึ้น ทั้งนี้จากการที่มีภาครัฐเข้ามาใช้ประโยชน์ในการซื้อขายล่วงหน้า AFET จึงได้จัดเตรียมการศึกษาเพื่อจัดทำ Business Model ให้กับหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จาก AFET มากขึ้น และขยายฐานผู้ซื้อ-ผู้ขายต่างประเทศซึ่งในช่วงปี52 ที่ผ่านมาได้แสดงความสนใจในสินค้าหลายชนิดของ AFET ให้เข้ามาซื้อขายล่วงหน้าให้มากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังปี 52 ปริมาณการซื้อขายได้มีการขยายตัวอันเป็นผลมาจากการประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาล ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1,400 สัญญา เพิ่มขึ้นจากตอนต้นปี 259% โดยปริมาณการซื้อขายสูงสุดในปี 2552 คือวันที่ 29 ต.ค. 52 อยู่ที่ 11,943 สัญญา
ทั้งนี้ การดำเนินงานที่สำคัญในปี 52 AFET ได้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการให้รัฐบาลใช้กลไกการซื้อขายล่วงหน้าในการระบายสินค้าในสต๊อกรัฐบาล โดยตั้งแต่สิงหาคมจนถึงปัจจุบันได้มีการระบายข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิมากกว่า 700,000 ตัน นอกจากนี้ยังปรับปรุงเงื่อนไขในข้อกำหนดการซื้อขายมันสำปะหลังเส้นล่วงหน้าเพื่อให้เหมาะแก่การที่รัฐจะใช้ในการระบายสต๊อกมันสำปะหลังที่มีอยู่ อีกทั้งจัดระบบบการซื้อขาย โดยปรับปรุงเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคหรือคอขวดที่เกี่ยวข้องกับการชำระราคาให้มีความยืดหยุ่นแก่นายหน้าซื้อขายล่วงหน้าเพื่อที่จะสามารถรองรับปริมาณการซื้อขายล่วงหน้าที่มากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับ ปี 53 มีแนวทางในการพัฒนาโดยการดูแลปรับปรุง ข้อกำหนดการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อผู้ขายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ข้าว หรือมันสำปะหลัง ในส่วนของสัญญาล่วงหน้าใหม่นั้นขณะนี้กำลังพิจารณาถึงการนำข้าวเปลือกมาใช้ในการซื้อขาย รวมทั้งการจัดทำให้มีการซื้อขายล่วงหน้าที่มีการส่งมอบ FOB นอกจากนี้ยังได้มีการประสานงานกับทางสำนักงาน ก.ส.ล. ในการร่วมกันพัฒนาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มเติมในปี 53 เช่น ยางแท่ง น้ำตาล และเอทานอล เพราะเห็นว่าสินค้าเหล่านี้น่าจะเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูงในการซื้อขายล่วงหน้า
นายนิทัศน์ กล่าว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการสินค้าเกษตรมีความคุ้นเคยกับการซื้อขายล่วงหน้ามากขึ้น ซึ่งเกิดจากการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้มีความหลากหลายในการใช้เครื่องมือในการลงทุนอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในสินค้าทางการเงินและสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อจัดสรรพอร์ตการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง AFET จะได้ขยายฐานลูกค้าในประเทศทั้งในระดับผู้ประกอบการและนักลงทุนให้เข้ามาใช้ AFET ให้มากขึ้น ทั้งนี้จากการที่มีภาครัฐเข้ามาใช้ประโยชน์ในการซื้อขายล่วงหน้า AFET จึงได้จัดเตรียมการศึกษาเพื่อจัดทำ Business Model ให้กับหน่วยงานภาครัฐที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จาก AFET มากขึ้น และขยายฐานผู้ซื้อ-ผู้ขายต่างประเทศซึ่งในช่วงปี52 ที่ผ่านมาได้แสดงความสนใจในสินค้าหลายชนิดของ AFET ให้เข้ามาซื้อขายล่วงหน้าให้มากขึ้นด้วย