ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯรับลูก ก.ล.ต. เตรียมแยกข้อมูลการซื้อขายบัญชีโบรกเกอร์ออกจากลุ่มนักลงทุนสถาบันในเดือนหน้า พร้อมคำนวณมาร์เกตแชร์ใหม่ “ภัทรียา”มั่นใจไม่กระทบบรรยากาศการลงทุน แต่งง!ข่าวคลังจะดึงเงินกองทุนตลท.กลับ หลังแปรรูปเข้าจดทะเบียนแล้วเสร็จ ชี้จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนางานต่อ ส่วนโบรกฯ เห็นด้วยหากโดนแยกพอร์ต ชี้เพื่อสร้างความชัดเจน เพราะไม่ใช่ตัวแปรหลักดันวอลุ่ม
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการการดำเนินการ ซึ่งมีแผนที่จะมีการแยกการซื้อขายของพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ออกจากการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ คาดว่า ภายในเดือนหน้าจะมีการแยกการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์ออกจากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน ทำให้การซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนจะเพิ่มเป็น 4 กลุ่ม จาก ปัจจุบันที่มี 3 กลุ่ม คือ นักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนทั่วไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในเรื่องระบบและการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวว่าจะผ่านช่องทางไหน หรือ เว็บไซด์ใดบ้าง
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมระบบในการคำนวณส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของโบรกเกอร์โดยจะแยกข้อมูลการซื้อขายพอร์ตลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ออก เพื่อให้ทราบมาร์เกตแชร์ที่แท้จริง โดยการที่ก.ล.ต.ต้องการให้มีการแยกดังกล่าวนั้น เนื่องจาก โบรกเกอร์ได้มีการเข้ามาซื้อขายพอร์ตลงทุนจำนวนมากขึ้น และต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าว เชื่อว่าไม่น่ากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน เพราะ การซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เป็นการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหุ้น แต่ที่ทำเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีการแยกให้ชัดเจนให้นักลงทุนทราบข้อมูล
อนึ่งก่อนหน้านี้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต. ) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ก.ล.ต. พบว่าบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีบริษัทในสัดส่วนที่สูง แต่มูลค่าการซื้อขายดังกล่าวถูกนับรวมอยู่ในมูลค่าการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งทำให้เข้าใจผิดได้ว่าบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวมีลูกค้ากลุ่มนักลงทุนสถาบันมาก จึงควรแยกตัวเลขออกต่างหาก
ทั้งนี้ก.ล.ต. แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯพิจารณาปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้ชัดเจน โปร่งใส และเพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการการตัดสินใจลงทุนที่ทัดเทียมและมากเพียงพอ ซึ่งควร ให้แสดงข้อมูลการซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์แยกออกจากข้อมูลการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และ ในการคำนวณส่วนแบ่งตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ ควรแยกข้อมูลซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ออก
ชี้เม็ดเงินกองทุนตลท.มีความจำเป็น
นางภัทรียา กล่าวถึง การที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่นำเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมูลค่า 10,000 ล้านบาทเข้ากระทรวงการคลัง หลังตลาดหลักทรัพย์ฯแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเข้าจดทะเบียน ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ซึ่งต้องขอดูวัตถุประสงค์ก่อน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการประสานกับทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกระทรวงการคลัง จากที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่วมกันในการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย
ทั้งนี้ปัจจุบันเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมีมูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่ 10,000 ล้านบาท โดยเงินของทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นได้มีการจัดสรรเพื่อพัฒนาตลาดทุนในการให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุน โดยมีนโยบายในการใช้จ่ายที่ชัดเจนและไม่สามารถที่จะนำไปใช้จ่ายที่ผิดวัตถุประสงค์ และนอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจำเป็นจะต้องมีการเงินทุนสำหรับสำรองในการชำระราคาหุ้น และการชำระราคาอนุพันธ์
โบรกฯไม่ขัดข้องโดนแยกพอร์ต
นายชนะชัย ชุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงกรณีตลาดหลักทรัพย์เตรียมแยกพอร์ตลงทุนนของโบรกเกอร์ออกจากลุ่มนักลงทุนสถาบัน ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะจะช่วยสร้างความชัดเจนให้แก่ผู้ลงทุน หากตลท.จะแยกพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ออกมาให้ชัดเจน เพราะจะทำให้นักลงทุนได้รู้ว่าที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น การลงทุนของบรรดาโบรกเกอร์ไม่ใช่สาเหตุหรือหลักที่ทำให้วอลุ่มการซื้อขายหุ้นปรับตัวสูงมากนัก เพราะมีอยู่แค่ประมาณ 20% ใกล้เคียงกับสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศที่มีประมาณ 20% เช่นกัน ส่วนที่เหลือมาจากวอลุ่มการซื้อขายของนักลงทุนทั่วไปประมาณ 60% มากกว่า
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยถึงกรณีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการการดำเนินการ ซึ่งมีแผนที่จะมีการแยกการซื้อขายของพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ออกจากการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่แล้ว
ทั้งนี้ คาดว่า ภายในเดือนหน้าจะมีการแยกการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์ออกจากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน ทำให้การซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนจะเพิ่มเป็น 4 กลุ่ม จาก ปัจจุบันที่มี 3 กลุ่ม คือ นักลงทุนต่างประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศ นักลงทุนทั่วไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในเรื่องระบบและการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวว่าจะผ่านช่องทางไหน หรือ เว็บไซด์ใดบ้าง
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมระบบในการคำนวณส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของโบรกเกอร์โดยจะแยกข้อมูลการซื้อขายพอร์ตลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ออก เพื่อให้ทราบมาร์เกตแชร์ที่แท้จริง โดยการที่ก.ล.ต.ต้องการให้มีการแยกดังกล่าวนั้น เนื่องจาก โบรกเกอร์ได้มีการเข้ามาซื้อขายพอร์ตลงทุนจำนวนมากขึ้น และต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าว เชื่อว่าไม่น่ากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน เพราะ การซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เป็นการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายในตลาดหุ้น แต่ที่ทำเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีการแยกให้ชัดเจนให้นักลงทุนทราบข้อมูล
อนึ่งก่อนหน้านี้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต. ) กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ก.ล.ต. พบว่าบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งมีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีบริษัทในสัดส่วนที่สูง แต่มูลค่าการซื้อขายดังกล่าวถูกนับรวมอยู่ในมูลค่าการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งทำให้เข้าใจผิดได้ว่าบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าวมีลูกค้ากลุ่มนักลงทุนสถาบันมาก จึงควรแยกตัวเลขออกต่างหาก
ทั้งนี้ก.ล.ต. แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯพิจารณาปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ให้ชัดเจน โปร่งใส และเพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการการตัดสินใจลงทุนที่ทัดเทียมและมากเพียงพอ ซึ่งควร ให้แสดงข้อมูลการซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์แยกออกจากข้อมูลการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และ ในการคำนวณส่วนแบ่งตลาดของบริษัทหลักทรัพย์ ควรแยกข้อมูลซื้อขายเพื่อบัญชีการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ออก
ชี้เม็ดเงินกองทุนตลท.มีความจำเป็น
นางภัทรียา กล่าวถึง การที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดที่นำเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมูลค่า 10,000 ล้านบาทเข้ากระทรวงการคลัง หลังตลาดหลักทรัพย์ฯแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเข้าจดทะเบียน ว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ซึ่งต้องขอดูวัตถุประสงค์ก่อน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีการประสานกับทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกระทรวงการคลัง จากที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่วมกันในการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย
ทั้งนี้ปัจจุบันเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯมีมูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่ 10,000 ล้านบาท โดยเงินของทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นได้มีการจัดสรรเพื่อพัฒนาตลาดทุนในการให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักลงทุน โดยมีนโยบายในการใช้จ่ายที่ชัดเจนและไม่สามารถที่จะนำไปใช้จ่ายที่ผิดวัตถุประสงค์ และนอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจำเป็นจะต้องมีการเงินทุนสำหรับสำรองในการชำระราคาหุ้น และการชำระราคาอนุพันธ์
โบรกฯไม่ขัดข้องโดนแยกพอร์ต
นายชนะชัย ชุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.โกลเบล็ก กล่าวถึงกรณีตลาดหลักทรัพย์เตรียมแยกพอร์ตลงทุนนของโบรกเกอร์ออกจากลุ่มนักลงทุนสถาบัน ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะจะช่วยสร้างความชัดเจนให้แก่ผู้ลงทุน หากตลท.จะแยกพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ออกมาให้ชัดเจน เพราะจะทำให้นักลงทุนได้รู้ว่าที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานั้น การลงทุนของบรรดาโบรกเกอร์ไม่ใช่สาเหตุหรือหลักที่ทำให้วอลุ่มการซื้อขายหุ้นปรับตัวสูงมากนัก เพราะมีอยู่แค่ประมาณ 20% ใกล้เคียงกับสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศที่มีประมาณ 20% เช่นกัน ส่วนที่เหลือมาจากวอลุ่มการซื้อขายของนักลงทุนทั่วไปประมาณ 60% มากกว่า