แทบไม่น่าเชื่อว่า “ปีฉลู : 2552” กำลังจะผ่านพ้นไปเหลืออีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น “ปี 2553 : ปีขาล : ปีเสือ” มาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านเรียบร้อย วันเวลาผ่านไปเหมือนปีกบิน เจอกันอีกทีสัปดาห์หน้า ต้อง “สวัสดีปีใหม่” กับท่านผู้อ่านแล้ว
บทความนี้เป็นบทความ “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” ซึ่งเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายตลอดปี 2552 ทั้งด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ ศิลปวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม
“ปีฉลู-ปีวัว” น่าจะเป็นปีแห่งการทำงาน แต่กลับตาลปัตรกลายเป็น “ปีวัวกระทิงดุ” ที่ชนดะจนทั้ง “นักสู้วัวกระทิง-มาร์ทาดอร์” ตลอดจนผู้ชมขอบสนามพลอยโดนวัวกระทิงทั้งชนตั้งเตะจนกระจุยกระจายบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
ถ้าเราลองนั่งนึกคิดทบทวนกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็ต้องยอมรับว่า “เยอะมาก!” จนสามารถเรียกภาษาชาวบ้านได้ว่า “นัวเนีย!” แทบทุกมิติทุกด้าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบลามไปทั่วโลก แต่ในบ้านเรานั้น นอกเหนือจาก “วิกฤตเศรษฐกิจ” แล้ว “วิกฤตการเมือง” หนักหนาอย่างมาก จนทำให้ปัญหาด้านเศรษฐกิจพลอยโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ซ้ำเติมให้หนักอึ้งเข้าไปอีก!
ปี 2552 เป็นปีที่ต้องเรียกขานว่า “หฤโหด!” ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก เริ่มจาก “วิกฤตด้านการเงิน” ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทั่วโลกชี้นิ้วไปที่สหรัฐฯ ว่าเป็น “ต้นเหตุ” ของวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนมีฉายาว่า “แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส (Hamburger Diesease)” ที่แทบไม่น่าเชื่อว่า “สังคมอเมริกัน” จะสามารถปล่อยปละละเลยแบบไร้วินัยด้านการเงิน จนต้องเรียกว่า “เล่นแร่แปรธาตุ” และ/หรือ “ทุจริตคดโกง” จนการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์และบัตรเครดิตกลายเป็น “หนี้สินด้อยคุณภาพ” หรือที่มักเรียกกันว่า “ซับไพร์ม (Subprime)”
ใครจะไปเชื่อว่า “ต้นตอ-ต้นเหตุ” ของ “วิกฤตเศรษฐกิจการเงิน” ที่ลามไปทั่วทั้งโลกจะเกิดจาก “ความไม่เป็นธรรมาภิบาล” ของ “สถาบันการเงินสหรัฐฯ” ที่ได้รับการกล่าวขวัญมาโดยตลอดว่า “คุณธรรม-จริยธรรม” ของสังคมอเมริกันนั้น นับถือเป็น “สรณะ-หลักการ” ของสังคมไปเลย
ถึงแม้ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูจะเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้นค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งสัญญาณว่าดีขึ้นแน่นอนนับจากปลายปี 2552 ทอดยาวไปสู่ความสว่างไสวในปี 2553 แต่ยังปรากฎว่ามีการออกมาเตือนจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจภาครัฐของสหรัฐฯ ว่า “อย่าเพิ่งไว้วางใจ” ส่อนัยว่า “ฟื้น!” แต่ยังไม่แข็งแกร่ง
ปัญหาด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ลามไปทั่วทั้งโลก กลุ่มประเทศที่บาดเจ็บตามคือ “กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU : European Union)” โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี น่าจะโดนหนักที่สุด ส่วนกลุ่มประเทศสมาชิกอื่นๆ ก็โดนไปด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์เท่า 3-4 ประเทศที่ได้กล่าวไป
ส่วนด้านเอเชียนั้น “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นทั้ง “ประเทศคู่ค้า” และ “พันธมิตร” สำคัญของสหรัฐอเมริกา “บอบช้ำ!” ไปมากพอสมควร จนรัฐบาลพรรคเก่าแก่ที่ยึดครองอำนาจมา 50 กว่าปี “พรรคแอลดีพี-เสรีประชาธิปไตย” มีอันต้องล้มพังพาบไปจากการเลือกตั้งทั่วไป และพรรคฝ่ายค้านที่รอจนเหงือกแห้งก็ได้เป็นรัฐบาลสมใจเสียที!
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตาม ประมวลและประเมินข้อมูลจากทั่วทุกสารทิศและรอบมิติแล้ว “ความกังวล-ห่วงใย” ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวแบบแข็งแกร่งนั้น คำตอบคือ “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น!” เพียงแต่การเตือนต่างๆ ที่ออกมานั้น เป็นเพียง “เตือนสติ” ว่า “อย่าหลงระเริง” และ “อย่าประมาท” เนื่องด้วย “บทเรียน” จาก “ไร้ธรรมาภิบาล” ได้ส่งผลกระทบมาหลายครั้งแล้วทั่วโลกตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา
พูดง่ายๆ คือ “การกุ๊กกิ๊ก-เล่นแร่แปรธาตุ” นั้น มิได้ส่งผลดีใดๆ ทั้งสิ้นเสมือน “เวรกรรม” ที่ใครก็ตามได้ก่อไว้! “บาป” จะส่งผลลัพธ์ในที่สุด เรียกว่า “กฎแห่งกรรม” ที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว!” เพราะฉะนั้น “โปร่งใส-ธรรมาภิบาล” หรือ “ซื่อสัตย์สุจริต” จะส่ง “ผลบุญ!” ให้เกิดได้ในบั้นปลาย
ไหนๆ ได้กล่าวถึง “กฎแห่งกรรม” แล้ว จะขอกล่าวถึง “สถานการณ์การเมือง” กับบ้านเมืองเราว่า “ตึงเครียด” จนถึงขั้น “แตกแยก-แตกร้าว” ช่วงตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่มีบุคคลไม่ยอมรับกฎแห่งกรรม ว่าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาไว้กับชาติบ้านเมือง
ปัญหาบ้านเมืองเรานั้น ไม่เคยรุนแรงมากมายเพียงนี้ จนเลยเถิดไปถึงกระทบกระเทือนถึง “สถาบันชาติ” และ “สถาบันกษัตริย์” แต่ยังไม่ลามไปจนถึง “สถาบันศาสนา” ซึ่งปัญหาเช่นนี้ ต้องขอย้ำว่า “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”
จริงๆ แล้ว “การรุกคืบ” และ “การลาม” ของปัญหาเกิดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2542-2543 แล้ว ที่มี “นักธุรกิจอภิมหาเศรษฐี” ที่ผันแปรมาเป็น “นักธุรกิจการเมือง” ที่สร้างความฮือฮาอย่างมากและที่สำคัญที่สุดคือ “ความหวัง” ที่จะได้เห็น “อัศวินม้าขาว!” มาช่วยกอบกู้และแน่นอนนำพาพัฒนาประเทศชาติไปสู่ระดับแนวหน้าในภูมิภาคอาเซียนนี้
ในยุคสมัยนั้น ผู้นำพรรคการเมืองใหม่ที่มีมอตโต้ว่า “คิดใหม่-ทำใหม่” และ “คิดนอกกรอบ” ได้รับการกล่าวชื่นชมจากบางประเทศของกลุ่มสมาชิกอาเซียนว่าจะเป็น “ผู้นำอาเซียน!” จนทำให้คนไทย “หลงใหล-คลั่งไคล้” จนเลยไปถึง “ศรัทธา” ว่าในที่สุด “ประเทศไทยจะพลิกสู่โฉมหน้าใหม่!”
ทั้งนี้ “อำนาจ” ที่มากลับนำพาไปสู่ “หน้ามืดตามัว” กับ “การเสาะแสวงหาผลประโยชน์” ดังที่ Lord Action เคยกล่าวไว้ว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จนำไปสู่การฉ้อฉลคดโกงผลประโยชน์แบบเบ็ดเสร็จ” หรือ “Absolute Power Corrupts Absolutely!”
ช่วง 5-6 ปี “การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ” ด้วย “การระดม” และ “ข่มขู่-รังแก-เบียดเบียน-บังคับ” ให้พรรคการเมืองเล็กๆ “ยุบพรรค” มาเป็น “พรรคการเมืองใหญ่” จนเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยจากกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง นักการเมือง และแน่นอน ภาคเอกชนต่างๆ ที่ได้รับการเบียดเบียนจนถึงขั้น “บอนไซ!” ไม่ให้มีโอกาสเติบโตเท่า “เครือบริษัท” ของ “ครอบครัว” ไปได้
จาก “คิดใหม่ ทำใหม่” เป็น “คิดนอกกรอบ” และ “คิดนอกลู่นอกทาง” จนในที่สุด “คิดเลยเถิด!” จนเป็นปัญหาที่ไม่ทราบว่าตระหนักหรือไม่ที่ได้ “บ่มเพาะศัตรูไว้เพียบรอบด้าน!”
“ปัญหาการเมือง” ที่เป็นปัจจัยของวิกฤตตลอดปี 2552 ควบคู่กับ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2551 เป็น “ปัจจัยซ้ำเติม” กับปัญหาการเมืองไทยตั้งแต่ต้นปี 2551 เรื่อยมา แม้กระทั่งปัจจุบันที่จะหมดปี 2552 อีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
สภาพชาติบ้านเมืองที่บอบช้ำมาโดยตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า จริงๆ แล้วต้องยอมรับว่า “ปัญหาการเมือง” เป็นอุปสรรคสำคัญสาหัสสากรรจ์มากกว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เราได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจาก “อุตสาหกรรมส่งออก” และ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” เนื่องด้วยกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญและกลุ่มประเทศตะวันตกที่เป็นบ่อเกิดสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจเจอสภาวะวิกฤตด้านการเงิน จึงต้องสะดุดหยุดชะงักกับการจับจ่ายใช้สอยตลอดปี 2552 โดยเฉพาะ 2 ไตรมาสของปี 2552
จากปัจจัยเงื่อนไขสำคัญสองประการทำให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ตลอด 1 ปีเต็มๆ ที่ผ่านมา ไม่สามารถที่จะบริหารจัดการแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้เป็นไปตามคาด แต่ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ปัญหาสำคัญของ “รัฐบาลแกนนำพรรคประชาธิปัตย์” นั้น หนึ่ง รัฐบาลผสมที่กว่าจะผนึกกำลัง “แท็คทีม” ในการขับเคลื่อนนโยบายได้เป็นไปค่อนข้างยาก สอง “การขัดแข้งขัดขา” ระหว่าง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” กับกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่ไม่สามารถตกลงและประสานร่วมมือกันได้ จนก่อให้เกิดความล่าช้าในการกระจายสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก จน “ขาดทุน!”
สาม การห่างเหินในการเป็นรัฐบาลมาตลอด 8 ปี ยังอาจฝืดๆ เครื่องยนต์เดินไม่สะดวกหรือตามภาษาชาวบ้านที่นินทากันว่า “ทำงานไม่เป็น-ทำงานไม่เก่ง” สี่ การตั้งหลักในการแบ่งแยกภารกิจและวิธีการในการทำงานอาจจะมุ่ง “การเมือง” มากกว่า “การบริหาร” และห้า ปัญหาการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ยืดเยื้อต่อเนื่องแทบทุกสัปดาห์ แต่ที่รุนแรงที่สุดก็ช่วงเดือนเมษายน จนทำให้เกิดปัญหาลามสู่ความเชื่อมั่น ศรัทธาที่มีต่อเวทีโลกส่งผลให้เกิดการชะงักงันแทบทุกภาคส่วนของประเทศไทย
ปี 2552 กำลังจะจากเราไปด้วยสารพัดปัญหารุมเร้า แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยัง “ให้กำลังใจ” รัฐบาลในการทำงานต่อไป บ้างก็ให้ “สอบผ่าน” แบบฉิวเฉียด บ้างก็ให้ “สอบตก”
เพียงแต่ปี 2553 จะเป็นปีที่ประชาชนจะ “คาดหวัง” กับรัฐบาลมากกว่าเดิม แต่ที่น่าห่วงที่สุดคือ “เศรษฐกิจโลก” ส่งสัญญาณเป็นบวก แต่ “วิกฤตการเมือง” ที่ฝ่ายตรงข้าม “ตั้งป้อม-ตั้งท่า” ว่า “เล่นแรง-เล่นหนัก!” แน่ๆ ดังนั้น ปี 2553 รัฐบาลต้องโชว์ผลงานให้เข้าตากรรมการ (ประชาชน) มากกว่าปี 2552!
บทความนี้เป็นบทความ “ส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่” ซึ่งเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายตลอดปี 2552 ทั้งด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ต่างประเทศ ศิลปวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม
“ปีฉลู-ปีวัว” น่าจะเป็นปีแห่งการทำงาน แต่กลับตาลปัตรกลายเป็น “ปีวัวกระทิงดุ” ที่ชนดะจนทั้ง “นักสู้วัวกระทิง-มาร์ทาดอร์” ตลอดจนผู้ชมขอบสนามพลอยโดนวัวกระทิงทั้งชนตั้งเตะจนกระจุยกระจายบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
ถ้าเราลองนั่งนึกคิดทบทวนกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็ต้องยอมรับว่า “เยอะมาก!” จนสามารถเรียกภาษาชาวบ้านได้ว่า “นัวเนีย!” แทบทุกมิติทุกด้าน โดยเฉพาะเหตุการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบลามไปทั่วโลก แต่ในบ้านเรานั้น นอกเหนือจาก “วิกฤตเศรษฐกิจ” แล้ว “วิกฤตการเมือง” หนักหนาอย่างมาก จนทำให้ปัญหาด้านเศรษฐกิจพลอยโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ซ้ำเติมให้หนักอึ้งเข้าไปอีก!
ปี 2552 เป็นปีที่ต้องเรียกขานว่า “หฤโหด!” ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก เริ่มจาก “วิกฤตด้านการเงิน” ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทั่วโลกชี้นิ้วไปที่สหรัฐฯ ว่าเป็น “ต้นเหตุ” ของวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนมีฉายาว่า “แฮมเบอร์เกอร์ดีซีส (Hamburger Diesease)” ที่แทบไม่น่าเชื่อว่า “สังคมอเมริกัน” จะสามารถปล่อยปละละเลยแบบไร้วินัยด้านการเงิน จนต้องเรียกว่า “เล่นแร่แปรธาตุ” และ/หรือ “ทุจริตคดโกง” จนการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์และบัตรเครดิตกลายเป็น “หนี้สินด้อยคุณภาพ” หรือที่มักเรียกกันว่า “ซับไพร์ม (Subprime)”
ใครจะไปเชื่อว่า “ต้นตอ-ต้นเหตุ” ของ “วิกฤตเศรษฐกิจการเงิน” ที่ลามไปทั่วทั้งโลกจะเกิดจาก “ความไม่เป็นธรรมาภิบาล” ของ “สถาบันการเงินสหรัฐฯ” ที่ได้รับการกล่าวขวัญมาโดยตลอดว่า “คุณธรรม-จริยธรรม” ของสังคมอเมริกันนั้น นับถือเป็น “สรณะ-หลักการ” ของสังคมไปเลย
ถึงแม้ว่า ปัจจุบันสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูจะเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้นค่อยๆ ฟื้นตัวและส่งสัญญาณว่าดีขึ้นแน่นอนนับจากปลายปี 2552 ทอดยาวไปสู่ความสว่างไสวในปี 2553 แต่ยังปรากฎว่ามีการออกมาเตือนจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจภาครัฐของสหรัฐฯ ว่า “อย่าเพิ่งไว้วางใจ” ส่อนัยว่า “ฟื้น!” แต่ยังไม่แข็งแกร่ง
ปัญหาด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ลามไปทั่วทั้งโลก กลุ่มประเทศที่บาดเจ็บตามคือ “กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU : European Union)” โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี น่าจะโดนหนักที่สุด ส่วนกลุ่มประเทศสมาชิกอื่นๆ ก็โดนไปด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์เท่า 3-4 ประเทศที่ได้กล่าวไป
ส่วนด้านเอเชียนั้น “ญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นทั้ง “ประเทศคู่ค้า” และ “พันธมิตร” สำคัญของสหรัฐอเมริกา “บอบช้ำ!” ไปมากพอสมควร จนรัฐบาลพรรคเก่าแก่ที่ยึดครองอำนาจมา 50 กว่าปี “พรรคแอลดีพี-เสรีประชาธิปไตย” มีอันต้องล้มพังพาบไปจากการเลือกตั้งทั่วไป และพรรคฝ่ายค้านที่รอจนเหงือกแห้งก็ได้เป็นรัฐบาลสมใจเสียที!
อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตาม ประมวลและประเมินข้อมูลจากทั่วทุกสารทิศและรอบมิติแล้ว “ความกังวล-ห่วงใย” ว่าสภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวแบบแข็งแกร่งนั้น คำตอบคือ “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น!” เพียงแต่การเตือนต่างๆ ที่ออกมานั้น เป็นเพียง “เตือนสติ” ว่า “อย่าหลงระเริง” และ “อย่าประมาท” เนื่องด้วย “บทเรียน” จาก “ไร้ธรรมาภิบาล” ได้ส่งผลกระทบมาหลายครั้งแล้วทั่วโลกตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา
พูดง่ายๆ คือ “การกุ๊กกิ๊ก-เล่นแร่แปรธาตุ” นั้น มิได้ส่งผลดีใดๆ ทั้งสิ้นเสมือน “เวรกรรม” ที่ใครก็ตามได้ก่อไว้! “บาป” จะส่งผลลัพธ์ในที่สุด เรียกว่า “กฎแห่งกรรม” ที่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว!” เพราะฉะนั้น “โปร่งใส-ธรรมาภิบาล” หรือ “ซื่อสัตย์สุจริต” จะส่ง “ผลบุญ!” ให้เกิดได้ในบั้นปลาย
ไหนๆ ได้กล่าวถึง “กฎแห่งกรรม” แล้ว จะขอกล่าวถึง “สถานการณ์การเมือง” กับบ้านเมืองเราว่า “ตึงเครียด” จนถึงขั้น “แตกแยก-แตกร้าว” ช่วงตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่มีบุคคลไม่ยอมรับกฎแห่งกรรม ว่าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาไว้กับชาติบ้านเมือง
ปัญหาบ้านเมืองเรานั้น ไม่เคยรุนแรงมากมายเพียงนี้ จนเลยเถิดไปถึงกระทบกระเทือนถึง “สถาบันชาติ” และ “สถาบันกษัตริย์” แต่ยังไม่ลามไปจนถึง “สถาบันศาสนา” ซึ่งปัญหาเช่นนี้ ต้องขอย้ำว่า “ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”
จริงๆ แล้ว “การรุกคืบ” และ “การลาม” ของปัญหาเกิดขึ้นมาตั้งแต่ประมาณปี 2542-2543 แล้ว ที่มี “นักธุรกิจอภิมหาเศรษฐี” ที่ผันแปรมาเป็น “นักธุรกิจการเมือง” ที่สร้างความฮือฮาอย่างมากและที่สำคัญที่สุดคือ “ความหวัง” ที่จะได้เห็น “อัศวินม้าขาว!” มาช่วยกอบกู้และแน่นอนนำพาพัฒนาประเทศชาติไปสู่ระดับแนวหน้าในภูมิภาคอาเซียนนี้
ในยุคสมัยนั้น ผู้นำพรรคการเมืองใหม่ที่มีมอตโต้ว่า “คิดใหม่-ทำใหม่” และ “คิดนอกกรอบ” ได้รับการกล่าวชื่นชมจากบางประเทศของกลุ่มสมาชิกอาเซียนว่าจะเป็น “ผู้นำอาเซียน!” จนทำให้คนไทย “หลงใหล-คลั่งไคล้” จนเลยไปถึง “ศรัทธา” ว่าในที่สุด “ประเทศไทยจะพลิกสู่โฉมหน้าใหม่!”
ทั้งนี้ “อำนาจ” ที่มากลับนำพาไปสู่ “หน้ามืดตามัว” กับ “การเสาะแสวงหาผลประโยชน์” ดังที่ Lord Action เคยกล่าวไว้ว่า “อำนาจเบ็ดเสร็จนำไปสู่การฉ้อฉลคดโกงผลประโยชน์แบบเบ็ดเสร็จ” หรือ “Absolute Power Corrupts Absolutely!”
ช่วง 5-6 ปี “การรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ” ด้วย “การระดม” และ “ข่มขู่-รังแก-เบียดเบียน-บังคับ” ให้พรรคการเมืองเล็กๆ “ยุบพรรค” มาเป็น “พรรคการเมืองใหญ่” จนเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยจากกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง นักการเมือง และแน่นอน ภาคเอกชนต่างๆ ที่ได้รับการเบียดเบียนจนถึงขั้น “บอนไซ!” ไม่ให้มีโอกาสเติบโตเท่า “เครือบริษัท” ของ “ครอบครัว” ไปได้
จาก “คิดใหม่ ทำใหม่” เป็น “คิดนอกกรอบ” และ “คิดนอกลู่นอกทาง” จนในที่สุด “คิดเลยเถิด!” จนเป็นปัญหาที่ไม่ทราบว่าตระหนักหรือไม่ที่ได้ “บ่มเพาะศัตรูไว้เพียบรอบด้าน!”
“ปัญหาการเมือง” ที่เป็นปัจจัยของวิกฤตตลอดปี 2552 ควบคู่กับ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่เริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2551 เป็น “ปัจจัยซ้ำเติม” กับปัญหาการเมืองไทยตั้งแต่ต้นปี 2551 เรื่อยมา แม้กระทั่งปัจจุบันที่จะหมดปี 2552 อีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
สภาพชาติบ้านเมืองที่บอบช้ำมาโดยตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า จริงๆ แล้วต้องยอมรับว่า “ปัญหาการเมือง” เป็นอุปสรรคสำคัญสาหัสสากรรจ์มากกว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เราได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจาก “อุตสาหกรรมส่งออก” และ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” เนื่องด้วยกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญและกลุ่มประเทศตะวันตกที่เป็นบ่อเกิดสำคัญของปัญหาเศรษฐกิจเจอสภาวะวิกฤตด้านการเงิน จึงต้องสะดุดหยุดชะงักกับการจับจ่ายใช้สอยตลอดปี 2552 โดยเฉพาะ 2 ไตรมาสของปี 2552
จากปัจจัยเงื่อนไขสำคัญสองประการทำให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ตลอด 1 ปีเต็มๆ ที่ผ่านมา ไม่สามารถที่จะบริหารจัดการแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้เป็นไปตามคาด แต่ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ปัญหาสำคัญของ “รัฐบาลแกนนำพรรคประชาธิปัตย์” นั้น หนึ่ง รัฐบาลผสมที่กว่าจะผนึกกำลัง “แท็คทีม” ในการขับเคลื่อนนโยบายได้เป็นไปค่อนข้างยาก สอง “การขัดแข้งขัดขา” ระหว่าง “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” กับกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญๆ ที่ไม่สามารถตกลงและประสานร่วมมือกันได้ จนก่อให้เกิดความล่าช้าในการกระจายสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก จน “ขาดทุน!”
สาม การห่างเหินในการเป็นรัฐบาลมาตลอด 8 ปี ยังอาจฝืดๆ เครื่องยนต์เดินไม่สะดวกหรือตามภาษาชาวบ้านที่นินทากันว่า “ทำงานไม่เป็น-ทำงานไม่เก่ง” สี่ การตั้งหลักในการแบ่งแยกภารกิจและวิธีการในการทำงานอาจจะมุ่ง “การเมือง” มากกว่า “การบริหาร” และห้า ปัญหาการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ยืดเยื้อต่อเนื่องแทบทุกสัปดาห์ แต่ที่รุนแรงที่สุดก็ช่วงเดือนเมษายน จนทำให้เกิดปัญหาลามสู่ความเชื่อมั่น ศรัทธาที่มีต่อเวทีโลกส่งผลให้เกิดการชะงักงันแทบทุกภาคส่วนของประเทศไทย
ปี 2552 กำลังจะจากเราไปด้วยสารพัดปัญหารุมเร้า แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยัง “ให้กำลังใจ” รัฐบาลในการทำงานต่อไป บ้างก็ให้ “สอบผ่าน” แบบฉิวเฉียด บ้างก็ให้ “สอบตก”
เพียงแต่ปี 2553 จะเป็นปีที่ประชาชนจะ “คาดหวัง” กับรัฐบาลมากกว่าเดิม แต่ที่น่าห่วงที่สุดคือ “เศรษฐกิจโลก” ส่งสัญญาณเป็นบวก แต่ “วิกฤตการเมือง” ที่ฝ่ายตรงข้าม “ตั้งป้อม-ตั้งท่า” ว่า “เล่นแรง-เล่นหนัก!” แน่ๆ ดังนั้น ปี 2553 รัฐบาลต้องโชว์ผลงานให้เข้าตากรรมการ (ประชาชน) มากกว่าปี 2552!