ASTVผู้จัดการรายวัน - “อภิสิทธิ์” ประกาศในปี 53 ขวางเขมรฮุบพระวิหาร เดินหน้ารักษาพื้นที่รอบปราสาท เชื่อมั่นประชาคมโลกเข้าใจ เมินคำพูด “ฮุนเซน” หลังถูกกัดรายวัน ขณะที่แดงถ่อยตามด่าระหว่างทำบุญ
วานนี้ (27 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงแนวทางการบริหารที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มักออกมาพูดให้ร้ายรัฐบาลไทยและนายกฯ ว่า ตนจะบริหารการพูดของนายกฯกัมพูชาไม่ได้ สิ่งที่ท่านพูดตนจะไม่เอามาเป็นเรื่องกระทบกับสิ่งที่เราต้องทำในแง่ของความสุมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน เมื่อถามว่าเบื่อไหม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ธรรมดา มีคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเองทุกวันอยู่แล้ว ก็เพิ่มมาอีก 1 คน
ส่วนการจะส่งเอกอัครราชทูตไทยไปประจำกรุงพนมเปญนั้น นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ถ้าทางกัมพูชาไม่ละเมิดศาลของเรา ทบทวนสิ่งที่ทำให้เป็นปัญหา ก็ไม่มีปัญหาเลย เพราะว่าทุกอย่างนี้ตนทำให้เป็นปกติที่สุด ตอนแรกเกิดเรื่องขึ้นคนกลัวกันมาก 1. เราจะสู้รบกันไหม สิ่งแรกที่ตนทำเลย คือบอกทางฝ่ายทหารว่าต้องระมัดระวังเพิ่มเป็นพิเศษ ในการที่จะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุความเข้าใจผิดอะไรต่าง ๆ จนเกิดการปะทะกัน ได้รับความร่วมมืออย่างดี 2. กลัวกันมากปิดพรมแดน เดี๋ยวกระทบการค้าขาย ผ่านมากี่เดือนแล้ว ตอนนี้มูลค่าการค้าทุกอย่างเหมือนเดิมหมด เว้นเรื่องเดียวที่ขอคือ คนไทยที่เดินทางไปเล่นการพนัน ก็เข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นเท่านั้นเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเดือนก.พ.2553 กัมพูชาต้องส่งแผนการใช้พื้นที่นอก ปราสาทพระวิหารเพื่อประกอบกับการขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกรัฐบาลไทย มีจุดยืนอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า อันนี้คือสิ่งที่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผู้นำกัมพูชาอาจจะไม่พอใจ เข้าใจว่าเคยมีสัมภาษณ์บ้าง แต่ตนก็ต้องบอกว่า ตนมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย เราไม่ได้คัดค้านว่ากัมพูชาจะอ้างสิทธิ์ในตัวปราสาท เพราะเราบอกว่าเราเคารพคำตัดสินของศาลโลก แม้ว่าเราจะสงวนสิทธิ์หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ แต่การที่กัมพูชากำลังไปยื่นแผนในการบริหารจัดการพื้นที่ รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งก้าวล่วงเข้ามาในพื้นที่ของเราตนจะอยู่เฉยก็ไม่ได้ ตนก็ต้องมีหน้าที่ในการที่จะปกป้องสิทธิของเรา เราก็ไปดำเนินงานในกรอบของ กรรมการมรดกโลกซึ่งก็ต้องว่ากันไป
"ถ้ามาเรียกร้องผมว่าสัมพันธ์กับกัมพูชาจะดี โดยให้ผมปล่อยเขาไปในเรื่องนี้ คนไทยยอมรับไหม คนไทยยอมรับไหมว่าถ้าอยากดีกับเขาก็ยอมในเรื่องนี้ ในเมื่อที่ตรงกันเราบอกว่าเป็นของเรา เขาก็บอกว่าเป็นของเขา แล้วมาวันนี้มาบอกว่าเขามีสิทธิบริหารจะยอมไหม"
นายอภิสิทธิ์ ถามว่าอยากให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีกว่านี้ไหม ก็ต้องบอกว่าอยาก แต่ถ้าอยากแล้วเราไม่ปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องอธิปไตยของประเทศไว้ ต่อไปก็จะเป็นแบอย่างว่าต่อไปใครจะมาวิพากษ์วิจารณ์ละเมิดศาลของเราก็ได้ ตนว่าไม่ใช่ เราก็บอกว่าความถูกต้องคือเรายืนยันสิ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความถูกต้อง เราก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์อาจจะไม่ราบรื่น เหมือนกับถ้าหากว่าเราไปยอมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันก็บริหารไม่ให้ความสัมพันธ์ที่มันกระทบกระทั่งกันนี้ลุกลามไปให้คนเดือดร้อน
ส่วนที่มีคนวิจารณ์นโยบาย over react หรือตึงมากเกินไปนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าเบามาก ดีกว่าไปทำให้กระเทือนการค้า ดีกว่าเกิดการสู้รบ แล้วก็ถ้าจะให้บอกว่าไม่เห็นด้วยกับที่เขาพูด แล้วอย่างไร จะให้เขาวิพากษ์วิจารณ์ประเทศเรา ศาลเราไปเรื่อย ๆ มันก็คงไม่ได้ เมื่อถามว่า มีแนวทางอย่างไรที่จะให้คุยกันดี ๆ ไม่ต้องใช้วิธีแขวะกันไปแขวะกันมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราไม่ได้แขวะไปอยู่แล้ว เราก็บอกว่าจริง ๆ เราไม่ได้มีอะไร บังเอิญมันก็น่าเสียใจว่ามันมีคนไทย ที่ไปช่วยเติมให้เขา ไปเพิ่มเงื่อนไขอยู่เรื่อย เพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไร รัฐบาลก็จบแล้ว รัฐบาลถือว่าเรื่องทูตนี้บอกกับกัมพูชาชัด ถ้าคุณทบทวนสิ่งที่เป็นที่มาของเรื่องนี้ เราก็มาทบทวนเรื่องนี้ เช่นเดียวกันเรื่อง MOU ที่กำลังพิจารณากันว่าจะไปยกเลิกหรือชะลอ ก็ต้องดูตามข้อเท็จจริงว่ามันมีผลประโยชน์ขัดกันที่เกิดขึ้น ก็เท่านั้นเอง อย่างอื่นเราก็ไม่ได้ทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาคมโลกเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ย้อนถามว่า คนไทยด้วยกันเองเข้าใจได้ไหมล่ะ ต้องถามอันนี้ก่อน ตอบยากนะ เพราะเราก็ไม่เคยเห็นคนไทยซึ่งเข้าไปเกี่ยวพันกับต่างประเทศแล้วมีผลย้อนกระทบกลับมากับประเทศไทยอย่างนี้ อย่างน้อยเท่าที่ตนจำความได้ตนไม่เคยเจอ
สำหรับการรับมือกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ดูจะรุนแรงหลังปีใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งแรกต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามีการนัดประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ มอบนโยบายในเรื่องของการดูแลพื้นที่เสี่ยง ต้องไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ความเข้มงวดก็จะไม่ให้กระทบกับความสะดวกสบายของประชาชนในการท่องเที่ยวหรือไปเฉลิมฉลองกัน
**แดงถ่อยได้ใจ ทำบุญยังตะโกนด่า
เมื่อเวลา 07.00 น. วานนี้ (27 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ ได้ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง พระสงฆ์จำนวน 59 รูป และร่วมทำบุญเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2553 ร่วมกับพ่อค้าประชาชนในพื้นที่ย่านคลองตัน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้ทำเป็นประจำทุกปี
อย่างไรก็ตามได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงใช้ชื่อว่ากลุ่มวัฒนา 52 รวมตัวปักหลักอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เวลา 05.30 น. เโดยมี เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจล (ปจ.) 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.คลองตัน และหน่วย อพ.ปร. พร้อมแผงเหล็กยืนแถวสะกัดไว้ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงได้ตะโกนสาปแช่ง ชูป้าย และโห่ไล่ตลอดเวลา ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างไรยังคงปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใส่บาตร ถวายภัตตาหาร รับพรจากพระภิกษุ โดยมีคนเสื้อแดงตะโกนด่า แบบไม่มีกาลเทศะ
ทั้งนี้ช่วงที่นายกรัฐมนตรี เดินทักทายประชาชนนั้น ทางกลุ่มคนเสื้อแดงยังพยายามตะโกนขับไล่สร้างความไม่พอใจ ให้กับผู้สนับสนุนและผู้ร่วมงานที่สวมใส่สีชมพู ซึ่งได้พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้กำลังใจ แต่ไร้เหตุความรุนแรง
**ผบ.ทบ.เชื่อคนไทยส่วนใหญ่คิดได้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์เมืองที่จะมีความรุนแรงในช่วงต้นปีหน้าถึงขั้นนองเลือดว่า คนไทยทุกคนต้องรู้สึก รู้สำนึก ในการที่จะรักษาบ้านเมืองของเราไว้ ความขัดแย้งมันเกินกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามเราต้องเอาชาติมาชั่งก่อน ซึ่งชาติประกอบด้วย สถาบันมากมายและในนั้นก็มีประชาชนอยู่ด้วย สถาบันหลักเป็นเรื่องสำคัญกว่า แล้วถึงจะไปเรื่องประเด็น สิทธิ ประชาธิปไตย แต่ขณะนี้มันเกินเลยมากไปแล้ว ถ้าจะรักษาประชาธิปไตยแล้วประเทศแตกระแหงถึงขั้นนองเลือด คนไทยคิดไม่เป็นไม่ได้
"ผมเชื่อมั่นว่า คนไทยส่วนใหญ่คิดได้ คนทั่วไปจะรู้ว่าเมื่อเรือจะล่ม เขารู้ว่า ถ้าเรือล่มก็ไปไม่ได้ เดินเส้นทางนั้นไม่จบและได้ประชาธิปไตยมา ตนคิดว่ามันไม่ได้ เพราะตีกันอยู่ 2 สีหรือ 3สี มันไม่ได้ ทุกคนต้องหยุดแล้วปล่อยให้เป็นไปตามกลไก แล้วทำให้อยู่รวมกันได้ หลายๆ ประเทศรักพรรคการเมืองคนละพรรคกันก็มี แต่เขา ไม่มาตีกันและรบกันในประเทศ และที่เรียกกันว่า นองเลือดไม่มี เพราะคนไทยรู้สึกรู้สา เพราะคนที่แว้ดๆ มีอยู่นิดเดียว แต่สร้างภาพสร้างอะไรขึ้นมา"
ส่วนหากนอกเลือดจากคนแบ่งสีทะเลาะกันทหารจะวางตัวอย่างไรพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กองทัพไม่ใช่ว่าตนสั่งให้ทำอะไรแล้วจะสั่งได้ คนในกองทัพเขาดี เขาเป็นสุภาพบุรุษ เขารู้ว่าหน้าที่ของชายชาติทหารคืออะไร
**ป๊อกการันตีไม่นองเลือด-ไร้ปฏิวัติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเราจะปิดประตูเรื่องการปฎิวัติรัฐประหารได้หรือไม่ถ้าหากว่า ปีหน้ามีเหตุการณ์จนเกิดการนองเลือดขึ้นมาจริงๆ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าตนสั่งในสิ่งที่ไม่ถูก คิดว่าเขาไม่ทำ ทหารไม่มีฝักไม่มีฝ่าย อะไรที่ประเทศชาติจะเดินต่อไปได้และอยู่ได้ คนไทยจะตีกันไม่ได้ ทหารจะไม่ยอมปล่อยให้คนไทยตีกัน ในขณะเดียวกันก็อย่าทำผิดกฎหมายเพราะอยู่กันไม่ได้ ขอยืนยันว่า ในปีหน้า ไม่มีเหตุการณ์นองเลือด และจะไม่มีการการปฎิวัติรัฐประหารแน่นอน เรามีทางเดิน อีกหลายทางที่จะแก้ปัญหาของคนในชาติและผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอม เชื่อมั่นว่าไม่มี ตนไม่ให้เดินไปถึงจุดนั้นใครที่คิดว่ามี ลืมไปได้เลยคิดว่าไม่มีทาง
ส่วนแนวทางการสร้างความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนอยู่บนกฎกติกา ใครต้องไปทำตามกฎหมายก็ต้องไป ไม่มีจะพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ บ้านเมืองวุ่นวายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ต้องเชื่อ แต่จะมาบอกว่าไอ้นี้กรรมการเป่าเข้าข้าง ถ้าอย่างนี้ไม่ได้ เกมกีฬาแบบนี้มันเล่นไม่ได้ มันต้องอยู่บนกฎหมาย กติกา ด้วยเสียงคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไปตะบักตะแบง
ส่วนจะอยากเห็นการเมืองเป็นอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องตอบสนองคนในชาติให้พึงพอใจ ทำให้ประชาชนรัก ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักการ ประเทศไทยมีทรัพยากรมาก คนไทยเก่ง แต่สิ่งที่คนไทยไม่ค่อยมีคือการอยู่บนหลักการและกติกา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายของบังคับ ข้อระเบียบ วัฒนธรรม
**"อนุพงษ์"ย้ำหลังเกษียณไม่เล่นการเมือง
ส่วนหลังเกษียณอายุราชการ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เวลาอีก 8 เดือนข้างหน้า อยากทำงานให้เต็มที่และให้ดีที่สุด และหลังจากวันที่ 30 กันยายน ปี 2553 ไม่ต้องคิด ปล่อยให้คนข้างหลังเขาทำกัน แก่แล้วยังเล่นกันไม่เลิกแบบนี้ ตนไม่เห็นด้วย คนรุ่นใหม่มีความสามารถเยอะทุกสาขา ไม่ต้องปฎิวัติเพราะทหารไม่ได้เก่งพอจะไปบริหารบ้านเมือง คนทุกสาขาที่เก่งมีมากมาย ทำอย่างไรให้เข้ามาอยู่ในจุดนี้ ไม่ใช่อยากไปเสียหมด แก่แล้วไปทำอะไรก็ได้ปล่อย ให้เด็กรุ่นหลังเขาทำกัน
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า บุคคลากรในประเทศที่เก่งกว่าตนมีเยอะ พอเพียงบ้านเมืองไม่ขัดสนคนเก่ง ให้เขาทำงานดีกว่า ถ้าอยากทำให้ไปทำงาน เรื่องการกุศลปล่อยให้กลไกการเมือง ปล่อยให้คนที่ยังมีพลังเขาทำกันไป ถึงแม้ว่าจะมีใครมาเชิญก็ไม่เอา เพราะไม่เหมาะและไม่น่าทำ คนแก่ๆ ที่เห็น ไม่เห็นเก่งสักคน มากเรื่อง ทั้งนี้ตนไม่อยากวิจารณือดีตนายทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและไปเล่นการเมือง
**จับผิด เสธ.แดงปูดม็อบ 14 ก.พ.
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ประกาศว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 14 ก.พ.ศกหน้าว่า พรรคมีความวิตกอย่างยิ่งต่อการส่งสัญญาณใช้ความรุนแรง ในการชุมนุมเพื่อให้เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง โดยเทียบกับเหตุการณ์สงกรานต์เลือด เมื่อเดือน เม.ย.52 ที่ผ่านมา การที่พล.ต.ขัตติยะ เคยทำนายระบุวันเวลาที่จะมีการใช้ เอ็ม 79 ยิงใส่ผู้ชุมนุมอย่างชัดเจนได้นั้น ตนจึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐช่วยป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อคนไทยด้วยกัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2550 และ วันที่15 พ.ย. 2551 เพราะการประกาศของ พล.ต.ขัตติยะ ถือเป็นความผิดที่สมบูรณ์ตามองค์ประกอบ มีโทษครึ่งหนึ่ง จึงไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ใช้อำนาจหน้าที่ออกมายุยง ส่งเสริมหรือบิดเบือนข้อมูลให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความวุ่นวาย
”ผมขอประณามคนที่จะทำให้เกิดสงครามการเมืองหรือการก่อการจลาจล ให้เกิดขึ้นเพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง และขอให้คนไทยทุกคน โดยเฉพาะข้าราชการทหาร ตำรวจได้ยึดพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสให้ไว้โดยคำนึงถึงความสงบของบ้านเมืองเป็นหลักและผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมืองซ้ำซาก ซึ่งจะฉุดลากเศรษฐกิจไทยและภาพลักษณ์ของชาติไทย”
**หมอท็อปรับท้า“นพเหล่”ฟ้อง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวตอบโต้กล่าวถึงกรณี นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้าน กฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ขู่จะแจ้งความดำเนินคดีจากกรณีหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเกี่ยวพันกับการปฏิวัติในกัมพูชาว่า ขอชี้แจงว่า การที่ตนทำหน้าที่โฆษกพรรคเกิดขึ้นจากคำให้สัมภาษณ์ผ่านการทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองรวมถึงกลุ่มคนใกล้ชิด อย่างนายนพดล แกนนำ นปช.ว่า มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างถึงเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ ซึ่งบุคคลทั้งสองทำหน้าที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้นไม่มีเหตุตามที่ถูกกล่าวอ้างจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีการใช้การแทรกแซงการเมืองในกัมพูชาหรือการใช้กำลังต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นจึงเป็นการทำหน้าที่เพื่อปกป้องนายกรัฐมนตรีและปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของ ประเทศชาติ ในฐานะโฆษกพรรคจำเป็นต้องทำหน้าที่ดังกล่าว
**ถกแกนนำ ปชป.ประเมินปี 53
ที่บ้านพักนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ย่านถนนติวานนท์-ปากเกร็ด ตั้งแต่เวลา 10.30น. นายอภิสิทธิ์ เดินทางมาร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 19 คน
เวลา 16.00น.นายอภิสิทธิ์ กล่าวภายหลังหารือว่า ได้ประเมินภาพรวมการทำงานทั้งหมดในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะเป็นแกนนำรัฐบาล และวิเคราะห์สถานการณ์ รวมทั้งทิศทางในปี 2553 โดยเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่เพราะต้องการแลกเปลี่ยนทุกประเด็นและรอบด้านที่สุด โดยประเมินตามความเป็นจริง และยืนยันทิศทางการบริหารประเทศในหลายเรื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและทำงานได้ราบรื่นทั้งนี้ยังหารือถึง จุดอ่อนจุดแข็งในทำงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะการหารือเรื่องทำงานที่เราต้องการให้เดินหน้ามากกว่านี้ เช่นเรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ปัญหาเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
**หวังใช้มาตรฐานคดียึดทรัพย์โค่น ปชป.
นพ.บุรณัชย์ สมุทรรัชย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงผลการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรค ได้รับเสียงสะท้อนความเห็นจากประชาชนทุกภาคผ่านส.ส.ของพรรค และการสอดรับกับข้อมูลของนายสุเทพว่า ยังมีการเคลื่อนไหวที่สร้างเงื่อนไขในการนำไปสู่การชุมนุม และความขัดแย้งในช่วงต้นปีหน้า คือ
1. การเคลื่อนไหวไม่ให้มีการยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยจะกดดัน และคุกคามการทำงานของศาลอย่างต่อเนื่อง 2. การโยงคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณเข้ากับการทำงานของกกต.ในการพิจาณาการยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคประเมินว่าฝ่ายที่เคลื่อนไหวในช่วงนี้เคยแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระในอดีต แต่วันนี้ทำได้ยากขึ้น จึงใช้วิธีคุกคามและกดดันทุกรูปแบบต่อกกต. โดยหวังผลสร้างเงื่อนไขว่า หากกกต.มีคำวินิจฉัยไม่ตรงกับคำข่มขู่ของนปช.,พรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยน่าจะมีการบิดเบือนว่าหากคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต้องมีความผิดด้วย แต่เรื่องนี้จะนำมาเทียบกันไม่ได้ 3. พรรคเชื่อว่าน่าจะมีการปลุกระดมต่อเนื่องโดยมีการบิดเบือนเพื่อสร้างความแตกแยก คือ เรื่องเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะดำเนินการผ่านสื่อใต้ดิน ใบปลิว วิทยุชุมชน ดั่งเช่นที่เคยกระทำมาคือสร้างเรื่องเท็จให้เกิดความเกลียดชังและดึงมวลชนให้มาชุมนุมเหมือนเดือนเม.ย. 2552
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่ออีกว่า พรรคมองว่าสามเรื่องนี้จะขับเคลื่อนมาในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯในช่วงต้นปีหน้า ที่หวังนำไปสู่ การทำให้พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดในคดีต่างๆ เปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับสู่อำนาจ และพ.ต.ท.ทักษิณได้รับสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบกลับคืน สามเหตุผลนี้จึงทำให้การเมืองน่าเป็นห่วง เพราะวิธีการที่จะได้มานั้นมีการเตรียมการกดดันเพื่อให้รัฐบาลยุบสภา และยังสร้างเงื่อนไขการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์เหมือนเดือนเม.ย. 2552 อีกครั้ง
“พรรคได้หารือถึงวิธีป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้ และยังวิตกกับกรณีที่แนวร่วมใหม่ คือ อดีตนายทหารที่ร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทยที่ส่งสัญญาณยกระดับการชุมนุมให้เกิดภาวะวิกฤตมากกว่าเดือนเม.ย. 2552 ซึ่งประมาทไม่ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้เคยสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่ความวุ่นวายของบ้านเมืองในอดีตหลายเรื่อง พรรคสนับสนุนแนวทางรัฐบาล คือ ไม่เพิ่มเงื่อนไขของปัญหา ไม่แบ่งแยกประชาชนเหมือนกับการกระทำของฝ่ายการเมืองในอดีตบางส่วน และยังเดินหน้าทำความเข้าใจ และฟังความเห็นของประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่ปิดกั้นการต่อต้านใดๆที่กระทำภายใต้กฎหมาย และเชื่อว่าจากนี้ไปคงไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง พรรคยังให้ความสำคัญกับการชี้เจงกับการบิดเบือนข้อมูลคือทำความเข้าใจกับประชาชนผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อไม่ให้การบิดเบือนที่สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองเกิดขึ้นอีก ”นพ.บุรณัชย์กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุม มีการวิเคราะห์และแสดงความเป็นห่วงกรณีที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง เตรียม 2 ยุทธศาสตร์ สำคัญในการต่อสู้ คือ 1. จัดตั้งกระบวนการทำลายความเชื่อถือของสถาบันตุลาการ และ องค์กรอิสระ โดยจะมีการตั้งศาลประชาชน เพื่อตัดสินการทำงานของกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ โดยจะเน้นย้ำ กระบวนการ 2 มาตราฐาน 2.ยังแสดงความเป็นห่วงที่ใช้ยุทธศาสตร์ให้อดีตนายทหาร จปร.ที่ใกล้ชิด กับพงต.ท.ทักษิณออกมาเคลื่อนไหว เพื่อยืนยันความจงรักภักดีต่อสถาบัน และ 3.ใช้เงื่อนไขความไม่สงบภายในบ้านเมืองเพื่อให้เกิดการแตกหักให้ได้ แม้การกดดันให้ยุบสภา หรือการสร้างเงื่อนไขอื่นๆไม่สำเร็จ
ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าตนยังเชื่อมั่นในสัมพันธภาพของพรรคร่วมรัฐบาลว่ายังมีความมั่นคง ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลอยู่ได้ครบเทอม ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีกำหนดนัดชุมนุมหลังปีใหม่นั้น คงได้แต่ขอร้องไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ไม่ดี เมื่อเข้าสู่ปีใหม่แล้วขอให้เกิดสันติสุข
วานนี้ (27 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ถึงแนวทางการบริหารที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มักออกมาพูดให้ร้ายรัฐบาลไทยและนายกฯ ว่า ตนจะบริหารการพูดของนายกฯกัมพูชาไม่ได้ สิ่งที่ท่านพูดตนจะไม่เอามาเป็นเรื่องกระทบกับสิ่งที่เราต้องทำในแง่ของความสุมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน เมื่อถามว่าเบื่อไหม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ธรรมดา มีคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเองทุกวันอยู่แล้ว ก็เพิ่มมาอีก 1 คน
ส่วนการจะส่งเอกอัครราชทูตไทยไปประจำกรุงพนมเปญนั้น นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า ถ้าทางกัมพูชาไม่ละเมิดศาลของเรา ทบทวนสิ่งที่ทำให้เป็นปัญหา ก็ไม่มีปัญหาเลย เพราะว่าทุกอย่างนี้ตนทำให้เป็นปกติที่สุด ตอนแรกเกิดเรื่องขึ้นคนกลัวกันมาก 1. เราจะสู้รบกันไหม สิ่งแรกที่ตนทำเลย คือบอกทางฝ่ายทหารว่าต้องระมัดระวังเพิ่มเป็นพิเศษ ในการที่จะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุความเข้าใจผิดอะไรต่าง ๆ จนเกิดการปะทะกัน ได้รับความร่วมมืออย่างดี 2. กลัวกันมากปิดพรมแดน เดี๋ยวกระทบการค้าขาย ผ่านมากี่เดือนแล้ว ตอนนี้มูลค่าการค้าทุกอย่างเหมือนเดิมหมด เว้นเรื่องเดียวที่ขอคือ คนไทยที่เดินทางไปเล่นการพนัน ก็เข้มงวดกวดขันกันมากขึ้นเท่านั้นเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่าในเดือนก.พ.2553 กัมพูชาต้องส่งแผนการใช้พื้นที่นอก ปราสาทพระวิหารเพื่อประกอบกับการขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกรัฐบาลไทย มีจุดยืนอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า อันนี้คือสิ่งที่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ผู้นำกัมพูชาอาจจะไม่พอใจ เข้าใจว่าเคยมีสัมภาษณ์บ้าง แต่ตนก็ต้องบอกว่า ตนมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย เราไม่ได้คัดค้านว่ากัมพูชาจะอ้างสิทธิ์ในตัวปราสาท เพราะเราบอกว่าเราเคารพคำตัดสินของศาลโลก แม้ว่าเราจะสงวนสิทธิ์หรืออะไรก็สุดแล้วแต่ แต่การที่กัมพูชากำลังไปยื่นแผนในการบริหารจัดการพื้นที่ รอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งก้าวล่วงเข้ามาในพื้นที่ของเราตนจะอยู่เฉยก็ไม่ได้ ตนก็ต้องมีหน้าที่ในการที่จะปกป้องสิทธิของเรา เราก็ไปดำเนินงานในกรอบของ กรรมการมรดกโลกซึ่งก็ต้องว่ากันไป
"ถ้ามาเรียกร้องผมว่าสัมพันธ์กับกัมพูชาจะดี โดยให้ผมปล่อยเขาไปในเรื่องนี้ คนไทยยอมรับไหม คนไทยยอมรับไหมว่าถ้าอยากดีกับเขาก็ยอมในเรื่องนี้ ในเมื่อที่ตรงกันเราบอกว่าเป็นของเรา เขาก็บอกว่าเป็นของเขา แล้วมาวันนี้มาบอกว่าเขามีสิทธิบริหารจะยอมไหม"
นายอภิสิทธิ์ ถามว่าอยากให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีกว่านี้ไหม ก็ต้องบอกว่าอยาก แต่ถ้าอยากแล้วเราไม่ปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องอธิปไตยของประเทศไว้ ต่อไปก็จะเป็นแบอย่างว่าต่อไปใครจะมาวิพากษ์วิจารณ์ละเมิดศาลของเราก็ได้ ตนว่าไม่ใช่ เราก็บอกว่าความถูกต้องคือเรายืนยันสิ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นความถูกต้อง เราก็ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์อาจจะไม่ราบรื่น เหมือนกับถ้าหากว่าเราไปยอมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันก็บริหารไม่ให้ความสัมพันธ์ที่มันกระทบกระทั่งกันนี้ลุกลามไปให้คนเดือดร้อน
ส่วนที่มีคนวิจารณ์นโยบาย over react หรือตึงมากเกินไปนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าเบามาก ดีกว่าไปทำให้กระเทือนการค้า ดีกว่าเกิดการสู้รบ แล้วก็ถ้าจะให้บอกว่าไม่เห็นด้วยกับที่เขาพูด แล้วอย่างไร จะให้เขาวิพากษ์วิจารณ์ประเทศเรา ศาลเราไปเรื่อย ๆ มันก็คงไม่ได้ เมื่อถามว่า มีแนวทางอย่างไรที่จะให้คุยกันดี ๆ ไม่ต้องใช้วิธีแขวะกันไปแขวะกันมา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราไม่ได้แขวะไปอยู่แล้ว เราก็บอกว่าจริง ๆ เราไม่ได้มีอะไร บังเอิญมันก็น่าเสียใจว่ามันมีคนไทย ที่ไปช่วยเติมให้เขา ไปเพิ่มเงื่อนไขอยู่เรื่อย เพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไร รัฐบาลก็จบแล้ว รัฐบาลถือว่าเรื่องทูตนี้บอกกับกัมพูชาชัด ถ้าคุณทบทวนสิ่งที่เป็นที่มาของเรื่องนี้ เราก็มาทบทวนเรื่องนี้ เช่นเดียวกันเรื่อง MOU ที่กำลังพิจารณากันว่าจะไปยกเลิกหรือชะลอ ก็ต้องดูตามข้อเท็จจริงว่ามันมีผลประโยชน์ขัดกันที่เกิดขึ้น ก็เท่านั้นเอง อย่างอื่นเราก็ไม่ได้ทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่าประชาคมโลกเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ย้อนถามว่า คนไทยด้วยกันเองเข้าใจได้ไหมล่ะ ต้องถามอันนี้ก่อน ตอบยากนะ เพราะเราก็ไม่เคยเห็นคนไทยซึ่งเข้าไปเกี่ยวพันกับต่างประเทศแล้วมีผลย้อนกระทบกลับมากับประเทศไทยอย่างนี้ อย่างน้อยเท่าที่ตนจำความได้ตนไม่เคยเจอ
สำหรับการรับมือกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ดูจะรุนแรงหลังปีใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งแรกต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน เพราะฉะนั้นจะเห็นว่ามีการนัดประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ มอบนโยบายในเรื่องของการดูแลพื้นที่เสี่ยง ต้องไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง แต่ความเข้มงวดก็จะไม่ให้กระทบกับความสะดวกสบายของประชาชนในการท่องเที่ยวหรือไปเฉลิมฉลองกัน
**แดงถ่อยได้ใจ ทำบุญยังตะโกนด่า
เมื่อเวลา 07.00 น. วานนี้ (27 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ ได้ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง พระสงฆ์จำนวน 59 รูป และร่วมทำบุญเนื่องในเทศกาลขึ้นปีใหม่ 2553 ร่วมกับพ่อค้าประชาชนในพื้นที่ย่านคลองตัน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้ทำเป็นประจำทุกปี
อย่างไรก็ตามได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงใช้ชื่อว่ากลุ่มวัฒนา 52 รวมตัวปักหลักอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามตั้งแต่เวลา 05.30 น. เโดยมี เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจราจล (ปจ.) 1 กองร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.คลองตัน และหน่วย อพ.ปร. พร้อมแผงเหล็กยืนแถวสะกัดไว้ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงได้ตะโกนสาปแช่ง ชูป้าย และโห่ไล่ตลอดเวลา ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างไรยังคงปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใส่บาตร ถวายภัตตาหาร รับพรจากพระภิกษุ โดยมีคนเสื้อแดงตะโกนด่า แบบไม่มีกาลเทศะ
ทั้งนี้ช่วงที่นายกรัฐมนตรี เดินทักทายประชาชนนั้น ทางกลุ่มคนเสื้อแดงยังพยายามตะโกนขับไล่สร้างความไม่พอใจ ให้กับผู้สนับสนุนและผู้ร่วมงานที่สวมใส่สีชมพู ซึ่งได้พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้กำลังใจ แต่ไร้เหตุความรุนแรง
**ผบ.ทบ.เชื่อคนไทยส่วนใหญ่คิดได้
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์เมืองที่จะมีความรุนแรงในช่วงต้นปีหน้าถึงขั้นนองเลือดว่า คนไทยทุกคนต้องรู้สึก รู้สำนึก ในการที่จะรักษาบ้านเมืองของเราไว้ ความขัดแย้งมันเกินกว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไปแล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามเราต้องเอาชาติมาชั่งก่อน ซึ่งชาติประกอบด้วย สถาบันมากมายและในนั้นก็มีประชาชนอยู่ด้วย สถาบันหลักเป็นเรื่องสำคัญกว่า แล้วถึงจะไปเรื่องประเด็น สิทธิ ประชาธิปไตย แต่ขณะนี้มันเกินเลยมากไปแล้ว ถ้าจะรักษาประชาธิปไตยแล้วประเทศแตกระแหงถึงขั้นนองเลือด คนไทยคิดไม่เป็นไม่ได้
"ผมเชื่อมั่นว่า คนไทยส่วนใหญ่คิดได้ คนทั่วไปจะรู้ว่าเมื่อเรือจะล่ม เขารู้ว่า ถ้าเรือล่มก็ไปไม่ได้ เดินเส้นทางนั้นไม่จบและได้ประชาธิปไตยมา ตนคิดว่ามันไม่ได้ เพราะตีกันอยู่ 2 สีหรือ 3สี มันไม่ได้ ทุกคนต้องหยุดแล้วปล่อยให้เป็นไปตามกลไก แล้วทำให้อยู่รวมกันได้ หลายๆ ประเทศรักพรรคการเมืองคนละพรรคกันก็มี แต่เขา ไม่มาตีกันและรบกันในประเทศ และที่เรียกกันว่า นองเลือดไม่มี เพราะคนไทยรู้สึกรู้สา เพราะคนที่แว้ดๆ มีอยู่นิดเดียว แต่สร้างภาพสร้างอะไรขึ้นมา"
ส่วนหากนอกเลือดจากคนแบ่งสีทะเลาะกันทหารจะวางตัวอย่างไรพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กองทัพไม่ใช่ว่าตนสั่งให้ทำอะไรแล้วจะสั่งได้ คนในกองทัพเขาดี เขาเป็นสุภาพบุรุษ เขารู้ว่าหน้าที่ของชายชาติทหารคืออะไร
**ป๊อกการันตีไม่นองเลือด-ไร้ปฏิวัติ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเราจะปิดประตูเรื่องการปฎิวัติรัฐประหารได้หรือไม่ถ้าหากว่า ปีหน้ามีเหตุการณ์จนเกิดการนองเลือดขึ้นมาจริงๆ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าตนสั่งในสิ่งที่ไม่ถูก คิดว่าเขาไม่ทำ ทหารไม่มีฝักไม่มีฝ่าย อะไรที่ประเทศชาติจะเดินต่อไปได้และอยู่ได้ คนไทยจะตีกันไม่ได้ ทหารจะไม่ยอมปล่อยให้คนไทยตีกัน ในขณะเดียวกันก็อย่าทำผิดกฎหมายเพราะอยู่กันไม่ได้ ขอยืนยันว่า ในปีหน้า ไม่มีเหตุการณ์นองเลือด และจะไม่มีการการปฎิวัติรัฐประหารแน่นอน เรามีทางเดิน อีกหลายทางที่จะแก้ปัญหาของคนในชาติและผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอม เชื่อมั่นว่าไม่มี ตนไม่ให้เดินไปถึงจุดนั้นใครที่คิดว่ามี ลืมไปได้เลยคิดว่าไม่มีทาง
ส่วนแนวทางการสร้างความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถ้าทุกคนอยู่บนกฎกติกา ใครต้องไปทำตามกฎหมายก็ต้องไป ไม่มีจะพูดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ บ้านเมืองวุ่นวายก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ต้องเชื่อ แต่จะมาบอกว่าไอ้นี้กรรมการเป่าเข้าข้าง ถ้าอย่างนี้ไม่ได้ เกมกีฬาแบบนี้มันเล่นไม่ได้ มันต้องอยู่บนกฎหมาย กติกา ด้วยเสียงคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ไปตะบักตะแบง
ส่วนจะอยากเห็นการเมืองเป็นอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องตอบสนองคนในชาติให้พึงพอใจ ทำให้ประชาชนรัก ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักการ ประเทศไทยมีทรัพยากรมาก คนไทยเก่ง แต่สิ่งที่คนไทยไม่ค่อยมีคือการอยู่บนหลักการและกติกา ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายของบังคับ ข้อระเบียบ วัฒนธรรม
**"อนุพงษ์"ย้ำหลังเกษียณไม่เล่นการเมือง
ส่วนหลังเกษียณอายุราชการ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เวลาอีก 8 เดือนข้างหน้า อยากทำงานให้เต็มที่และให้ดีที่สุด และหลังจากวันที่ 30 กันยายน ปี 2553 ไม่ต้องคิด ปล่อยให้คนข้างหลังเขาทำกัน แก่แล้วยังเล่นกันไม่เลิกแบบนี้ ตนไม่เห็นด้วย คนรุ่นใหม่มีความสามารถเยอะทุกสาขา ไม่ต้องปฎิวัติเพราะทหารไม่ได้เก่งพอจะไปบริหารบ้านเมือง คนทุกสาขาที่เก่งมีมากมาย ทำอย่างไรให้เข้ามาอยู่ในจุดนี้ ไม่ใช่อยากไปเสียหมด แก่แล้วไปทำอะไรก็ได้ปล่อย ให้เด็กรุ่นหลังเขาทำกัน
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า บุคคลากรในประเทศที่เก่งกว่าตนมีเยอะ พอเพียงบ้านเมืองไม่ขัดสนคนเก่ง ให้เขาทำงานดีกว่า ถ้าอยากทำให้ไปทำงาน เรื่องการกุศลปล่อยให้กลไกการเมือง ปล่อยให้คนที่ยังมีพลังเขาทำกันไป ถึงแม้ว่าจะมีใครมาเชิญก็ไม่เอา เพราะไม่เหมาะและไม่น่าทำ คนแก่ๆ ที่เห็น ไม่เห็นเก่งสักคน มากเรื่อง ทั้งนี้ตนไม่อยากวิจารณือดีตนายทหารที่เกษียณอายุราชการไปแล้วและไปเล่นการเมือง
**จับผิด เสธ.แดงปูดม็อบ 14 ก.พ.
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ประกาศว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 14 ก.พ.ศกหน้าว่า พรรคมีความวิตกอย่างยิ่งต่อการส่งสัญญาณใช้ความรุนแรง ในการชุมนุมเพื่อให้เกิดความวุ่นวายอีกครั้ง โดยเทียบกับเหตุการณ์สงกรานต์เลือด เมื่อเดือน เม.ย.52 ที่ผ่านมา การที่พล.ต.ขัตติยะ เคยทำนายระบุวันเวลาที่จะมีการใช้ เอ็ม 79 ยิงใส่ผู้ชุมนุมอย่างชัดเจนได้นั้น ตนจึงขอให้หน่วยงานความมั่นคงของรัฐช่วยป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อคนไทยด้วยกัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2550 และ วันที่15 พ.ย. 2551 เพราะการประกาศของ พล.ต.ขัตติยะ ถือเป็นความผิดที่สมบูรณ์ตามองค์ประกอบ มีโทษครึ่งหนึ่ง จึงไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ใช้อำนาจหน้าที่ออกมายุยง ส่งเสริมหรือบิดเบือนข้อมูลให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความวุ่นวาย
”ผมขอประณามคนที่จะทำให้เกิดสงครามการเมืองหรือการก่อการจลาจล ให้เกิดขึ้นเพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง และขอให้คนไทยทุกคน โดยเฉพาะข้าราชการทหาร ตำรวจได้ยึดพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตรัสให้ไว้โดยคำนึงถึงความสงบของบ้านเมืองเป็นหลักและผลประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในบ้านเมืองซ้ำซาก ซึ่งจะฉุดลากเศรษฐกิจไทยและภาพลักษณ์ของชาติไทย”
**หมอท็อปรับท้า“นพเหล่”ฟ้อง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวตอบโต้กล่าวถึงกรณี นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้าน กฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ ขู่จะแจ้งความดำเนินคดีจากกรณีหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความเกี่ยวพันกับการปฏิวัติในกัมพูชาว่า ขอชี้แจงว่า การที่ตนทำหน้าที่โฆษกพรรคเกิดขึ้นจากคำให้สัมภาษณ์ผ่านการทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เองรวมถึงกลุ่มคนใกล้ชิด อย่างนายนพดล แกนนำ นปช.ว่า มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ โดยอ้างถึงเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ ซึ่งบุคคลทั้งสองทำหน้าที่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้นไม่มีเหตุตามที่ถูกกล่าวอ้างจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะมีการใช้การแทรกแซงการเมืองในกัมพูชาหรือการใช้กำลังต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้นจึงเป็นการทำหน้าที่เพื่อปกป้องนายกรัฐมนตรีและปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวมของ ประเทศชาติ ในฐานะโฆษกพรรคจำเป็นต้องทำหน้าที่ดังกล่าว
**ถกแกนนำ ปชป.ประเมินปี 53
ที่บ้านพักนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ย่านถนนติวานนท์-ปากเกร็ด ตั้งแต่เวลา 10.30น. นายอภิสิทธิ์ เดินทางมาร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 19 คน
เวลา 16.00น.นายอภิสิทธิ์ กล่าวภายหลังหารือว่า ได้ประเมินภาพรวมการทำงานทั้งหมดในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ฐานะเป็นแกนนำรัฐบาล และวิเคราะห์สถานการณ์ รวมทั้งทิศทางในปี 2553 โดยเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่เพราะต้องการแลกเปลี่ยนทุกประเด็นและรอบด้านที่สุด โดยประเมินตามความเป็นจริง และยืนยันทิศทางการบริหารประเทศในหลายเรื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดีและทำงานได้ราบรื่นทั้งนี้ยังหารือถึง จุดอ่อนจุดแข็งในทำงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะการหารือเรื่องทำงานที่เราต้องการให้เดินหน้ามากกว่านี้ เช่นเรื่องการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ปัญหาเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์
**หวังใช้มาตรฐานคดียึดทรัพย์โค่น ปชป.
นพ.บุรณัชย์ สมุทรรัชย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงผลการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรค ได้รับเสียงสะท้อนความเห็นจากประชาชนทุกภาคผ่านส.ส.ของพรรค และการสอดรับกับข้อมูลของนายสุเทพว่า ยังมีการเคลื่อนไหวที่สร้างเงื่อนไขในการนำไปสู่การชุมนุม และความขัดแย้งในช่วงต้นปีหน้า คือ
1. การเคลื่อนไหวไม่ให้มีการยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยจะกดดัน และคุกคามการทำงานของศาลอย่างต่อเนื่อง 2. การโยงคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณเข้ากับการทำงานของกกต.ในการพิจาณาการยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคประเมินว่าฝ่ายที่เคลื่อนไหวในช่วงนี้เคยแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระในอดีต แต่วันนี้ทำได้ยากขึ้น จึงใช้วิธีคุกคามและกดดันทุกรูปแบบต่อกกต. โดยหวังผลสร้างเงื่อนไขว่า หากกกต.มีคำวินิจฉัยไม่ตรงกับคำข่มขู่ของนปช.,พรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณในเรื่องการยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยน่าจะมีการบิดเบือนว่าหากคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต้องมีความผิดด้วย แต่เรื่องนี้จะนำมาเทียบกันไม่ได้ 3. พรรคเชื่อว่าน่าจะมีการปลุกระดมต่อเนื่องโดยมีการบิดเบือนเพื่อสร้างความแตกแยก คือ เรื่องเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะดำเนินการผ่านสื่อใต้ดิน ใบปลิว วิทยุชุมชน ดั่งเช่นที่เคยกระทำมาคือสร้างเรื่องเท็จให้เกิดความเกลียดชังและดึงมวลชนให้มาชุมนุมเหมือนเดือนเม.ย. 2552
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่ออีกว่า พรรคมองว่าสามเรื่องนี้จะขับเคลื่อนมาในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯในช่วงต้นปีหน้า ที่หวังนำไปสู่ การทำให้พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิดในคดีต่างๆ เปิดทางให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับสู่อำนาจ และพ.ต.ท.ทักษิณได้รับสมบัติที่ได้มาโดยมิชอบกลับคืน สามเหตุผลนี้จึงทำให้การเมืองน่าเป็นห่วง เพราะวิธีการที่จะได้มานั้นมีการเตรียมการกดดันเพื่อให้รัฐบาลยุบสภา และยังสร้างเงื่อนไขการเผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่เหตุการณ์เหมือนเดือนเม.ย. 2552 อีกครั้ง
“พรรคได้หารือถึงวิธีป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้ และยังวิตกกับกรณีที่แนวร่วมใหม่ คือ อดีตนายทหารที่ร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทยที่ส่งสัญญาณยกระดับการชุมนุมให้เกิดภาวะวิกฤตมากกว่าเดือนเม.ย. 2552 ซึ่งประมาทไม่ได้ เพราะบุคคลเหล่านี้เคยสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่ความวุ่นวายของบ้านเมืองในอดีตหลายเรื่อง พรรคสนับสนุนแนวทางรัฐบาล คือ ไม่เพิ่มเงื่อนไขของปัญหา ไม่แบ่งแยกประชาชนเหมือนกับการกระทำของฝ่ายการเมืองในอดีตบางส่วน และยังเดินหน้าทำความเข้าใจ และฟังความเห็นของประชาชนทุกกลุ่มโดยไม่ปิดกั้นการต่อต้านใดๆที่กระทำภายใต้กฎหมาย และเชื่อว่าจากนี้ไปคงไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง พรรคยังให้ความสำคัญกับการชี้เจงกับการบิดเบือนข้อมูลคือทำความเข้าใจกับประชาชนผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อไม่ให้การบิดเบือนที่สร้างความแตกแยกในบ้านเมืองเกิดขึ้นอีก ”นพ.บุรณัชย์กล่าว
รายงานข่าวจากที่ประชุม มีการวิเคราะห์และแสดงความเป็นห่วงกรณีที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มเสื้อแดง เตรียม 2 ยุทธศาสตร์ สำคัญในการต่อสู้ คือ 1. จัดตั้งกระบวนการทำลายความเชื่อถือของสถาบันตุลาการ และ องค์กรอิสระ โดยจะมีการตั้งศาลประชาชน เพื่อตัดสินการทำงานของกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ โดยจะเน้นย้ำ กระบวนการ 2 มาตราฐาน 2.ยังแสดงความเป็นห่วงที่ใช้ยุทธศาสตร์ให้อดีตนายทหาร จปร.ที่ใกล้ชิด กับพงต.ท.ทักษิณออกมาเคลื่อนไหว เพื่อยืนยันความจงรักภักดีต่อสถาบัน และ 3.ใช้เงื่อนไขความไม่สงบภายในบ้านเมืองเพื่อให้เกิดการแตกหักให้ได้ แม้การกดดันให้ยุบสภา หรือการสร้างเงื่อนไขอื่นๆไม่สำเร็จ
ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าตนยังเชื่อมั่นในสัมพันธภาพของพรรคร่วมรัฐบาลว่ายังมีความมั่นคง ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลอยู่ได้ครบเทอม ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีกำหนดนัดชุมนุมหลังปีใหม่นั้น คงได้แต่ขอร้องไม่ให้มีเหตุการณ์ที่ไม่ดี เมื่อเข้าสู่ปีใหม่แล้วขอให้เกิดสันติสุข