xs
xsm
sm
md
lg

เอกสารลับปลุกม็อบแดง มุกแป้กของทักษิณและลิ่วล้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จตุพร พรหมพันธุ์
การเปิดเผยเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นมุกใหม่ที่ ทักษิณ ชินวัตร และบริวาร นำออกมาใช้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อปั่นหัวคนเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วงหลังปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้

ตัวโจกเกอร์ที่ถูกใช้ให้เล่นบทนี้ ก็คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย 1 ใน 3 แกนนำ ระดับ “หัวขวด” ของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เปิดแถลงข่าว 2 รอบ รอบแรกวันที่ 18 ธันวาคม 2552 โดยนำเอกสาร หนังสือประทับตรา “ลับมาก” ที่ 1303/2355 เรื่อง “แนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา” ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 โดยนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาเปิดเผยก่อน และนัดแถลงรายละเอียดเอกสารแนบอีก 9 แผ่น ในวันที่ 21 ธันวาคม แต่แล้วก็มีการเลื่อนไปเป็นวันที่ 23 ธันวาคม โดยหวังจะชิงพื้นที่ข่าวจากการแถลงผลงานรัฐบาลที่ทำงานมาครบ 1 ปี

ขณะเดียวกัน เสื้อแดงตัวพ่ออย่างทักษิณ ชินวัตร ก็เดินหมากเองอีกทางหนึ่ง โดยนำเอกสารดังกล่าวไปพูดถึงในรายการวิทยุทางอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม และนำเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ทางเว็บไซต์ Thaksinlive.com ทั้งฉบับภาษาไทยและฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักๆ ที่คนเสื้อแดงนำไปปลุกระดมเพื่อนำไปสู่การขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็คือเอกสาร 3 แผ่น ที่นายจตุพรนำมาเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวในวันที่ 18 นั่นเอง หนังสือฉบับนี้ มีเนื้อหาหลักๆ เป็นแนวทางที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวปฏิบัติสำหรับการแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ที่ยังไม่กลับคืนสู่ภาวะปกติ นับจากนายฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา แต่งตั้ง นช.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา และปฏิเสธส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนตามสนธิสัญญาที่มีต่อกัน

ในการแถลงข่าว “ตุ๊ดตู่” ได้บิดเบือนเนื้อหาในเอกสารดังกล่าว โดยพยายามดันทุรัง ลากถูให้คนทั่วไปเข้าใจว่านี่คือ “แผนสังหาร” ที่มุ่งเอาชีวิต นช.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าตัวจริงของขบวนการคนเสื้อแดง โดยหยิบเอาเพียงบางวลีในบางประโยคของเอกสาร ไปตีความ เชื่อมโยง คิดเองสรุปเองเสร็จสรรพ

นายจตุพร ได้ทำการแปลงสาร โดยนำข้อความใน ข้อ 1.1 ซึ่งอยู่ในส่วนของการวิเคราะห์ท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่มีเนื้อความระบุว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น “ภัยหลัก” มุ่งคุกคามความอยู่รอดของรัฐบาล โดยใช้ยุทธศาสตร์มุ่งให้เกิดสถานการณ์ที่เสื่อมทรามลง (deterioration)” ไปเชื่อมโยงกับข้อความในข้อ 3.จุดหมายปลายทาง (end game) ที่ระบุว่า “...การจัดการกับปัญหานี้ จึงจำเป็นต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วยการ (1) ขจัดภัยคุกคามหลัก...” แล้วสรุปเอาดื้อๆ ว่า “ขจัดภัยคุกคามหลัก” คือ การสังหาร ทักษิณ ชินวัตร

แต่ เมื่ออ่านเนื้อความโดยละเอียดก็จะพบว่า การขจัดภัยคุกคามหลัก คือการขจัด “พฤติกรรม”ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่จะเป็นภัยคุกคาม ไม่ใช่การ “ฆ่าให้ตาย” เหมือนที่ “ตุ๊ดตู่”พยายามสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะว่า ต้องสังหารทักษิณให้ได้ก่อนสิ้นปี 2552 ถ้าไม่สำเร็จก็ให้ดำเนินการอีกในเดือนเมษายน 2553

ทั้งที่เนื้อความในข้อ 3.โดยละเอียดนั้น ถัดจากข้อ (1) แล้ว ยังมีต่อว่า “...และ (2) แยกหรือทอนความร่วมมือระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณฯ กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา” โดยมีการประเมินแนวโน้มสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ไว้ 3 ระดับ พร้อมเตรียมมาตรการรับมือไว้ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ

หากใครได้อ่านเนื้อความในเอกสารทั้งหมด ก็จะมีคำถามกลับไปยังบรรดาหัวโจกคนเสื้อแดงว่า หากวลีที่ว่า “ขจัดภัยคุกคาม” หมายถึงการสังหาร นช.ทักษิณจริง จะมีมาตรการในข้อ (2) ต่อทำไม และจะประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าไว้ 3 ระดับทำไม ก็ในเมื่อได้สังหารคนที่เป็นต้นตอของปัญหาไปแล้ว

มุก “แผนสังหารทักษิณ” ที่คนเสื้อแดงพยายามจุดประเด็นขึ้นมา จึงแป้กไม่เป็นท่า เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเอกสารชิ้นนี้ เป็นเพียงแนวทางการปฏิบัติกรณีปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยประเมินสถานการณ์ไว้ในระดับต่างๆ เท่านั้น

ตรงกันข้ามประเด็นที่เอกสารชิ้นนี้ได้วิเคราะห์ไว้ต่างหาก ที่กลับไปทิ่มแทง ทักษิณ ชินวัตร เพราะคำว่า ทักษิณ เป็นภัยคุกคามหลักของรัฐบาลชุดนี้นั้น ไม่ได้ผิดจากข้อเท็จจริงเลย

นั่นเพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับเลือกจาก ส.ส.ในสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 บรรดาคนเสื้อแดง ก็แสดงพฤติกรรมคุกคามทันที จนรถของ ส.ส.ที่โหวตให้นายอภิสิทธิ์ ถูกทุบเสียหายหลายคัน แม้แต่การแถลงนโยบายของนายอภิสิทธิ์ก็ต้องย้ายสถานที่จากรัฐสภาไปที่กระทรวงการต่างประเทศ

หลังจากนั้น ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังชักใยคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมขับไล่ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 โดยมีเป้าหมายเผด็จศึกให้ได้ภายในเดือนเมษายน ซึ่งคนเสื้อแดงได้เปิดยุทธการเผาบ้านเผาเมือง ไล่ล่านายกฯ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และแกนนำถูกจับกุมในที่สุด

แต่กระนั้น คนเสื้อแดงภายใต้การชักใยโดย นช.ทักษิณ ยังคงพยายามสร้างเรื่องเพื่อปูกระแสนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการโมเมว่ามีคนถูกทหารยิงตายจำนวนมากในระหว่างการสลายชุมนุมเดือนเมษายน การตัดต่อคลิปเสียงนายอภิสิทธิ์ ซึ่งยุทธิวิธีเหล่านี้ล้วนแต่ล้มเหลว

ในที่สุดก็มาถึงยุทธการ “ชักศึกเข้าบ้าน” ซึ่งยุทธการนี้ มีเพียงนายฮุนเซน ที่รับลูกในฐานะเพื่อนเก่า ที่เคยเอื้อผลประโยชน์กันกับ ทักษิณ มาก่อน

อย่างไรก็ดี หากอ่านข่าวย้อนหลัง ก็จะพบว่า ในช่วง 10 เดือนแรกที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นบริหารประเทศ ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาก็ยังอยู่ในระดับปกติ แม้ว่านายกษิต เคยวิพากษ์วิจารณ์นายฮุนเซนว่าเป็น “กุ๊ย” แต่ก็ได้ทำความเข้าใจกัน และนายกษิตก็ยังเดินทางไปกัมพูชาถึง 3-4 ครั้ง เพื่อสานต่อความสัมพันธ์กันตามปกติ แม้ว่าช่วงหนึ่ง มีข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ส่งคลิปเสียงนายกษิตไปให้นายฮุนเซนฟังก็ตาม

จุดเปลี่ยนที่ทำให้สัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเลวร้ายลง เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2552 ที่ผ่านมานี้เอง เมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบนายฮุนเซน โดยมีคนทำงานรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร จำนวนหนึ่ง เดินทางล่วงหน้าไปก่อน พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ ซึ่งหลังจากนั้น นายฮุนเซนก็สร้างเรื่องแตกประเด็น เพื่อกล่าวหา-โจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจมารยาทหรือธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างประเทศ ขอให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้เปรียบทางการเมืองนายอภิสิทธิ์ เป็นพอ

ดังนั้น ทุกข้อหาที่หัวโจกคนเสื้อแดงพยายามอ้างจากเอกสารลับ เพื่อโยนความผิดใส่รัฐบาล ล้วนแต่ย้อนกลับไปรัดคอ นช.ทักษิณ นายใหญ่ของพวกเขาทั้งสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น