ASTVผู้จัดการรายวัน-"พีระพันธ์" เร่งจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญา หวังไล่ล่า "นช.ทักษิณ-จักรภพ"และผู้ต้องหาที่หลบหนีคดี ด้าน"บัวแก้ว-ส.ส.ปชป." แจ้งจับ "3เกลอ"ฐานนำเอกสารลับมาเปิดเผย
วานนี้ ( 24 ธ.ค.) นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวนายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมาดำเนินคดี ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังต้องเร่งแก้ไข เพราะขณะนี้เรามีหมายจับผู้ที่ต้องนำมาดำเนินคดี เพราะมีหลักฐาน พยาน เพียงพอประมาณ 250,000 คน จะโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเดียวก็ไม่ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ตั้งแต่คดีการเมือง รวมไปถึงคดียาเสพติด
ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าว อยู่ที่ขณะนี้ยังไม่มีเจ้าภาพในการรับภาระเพื่อติดตามบุคคลเหล่านี้มาดำเนินคดี
"ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคดีใด เราต้องใช้มาตรฐานเดียวกันหมด แต่วันนี้ยังหาเจ้าภาพชัดๆว่าเป็นหน้าที่ของใครในการติดตามยังไม่มีเลย กระทรวงยุติธรรมจึงนำเสนอครม.ไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญา และการบังคับใช้กฎหมาย โดยเสนอเป็นกฎกระทรวง เพื่อรับหน้าที่ในส่วนนี้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า" นายพีระพันธ์กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมีความหวังในการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายจักรภพ มาดำเนินคดีหรือไม่ นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างมีความหวังทั้งนั้น แต่ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และถูกต้องตามกฎหมาย จะไม่ทำตามอำเพอใจ
ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ แสดงตัวผ่านวีดีโอลิงก์ มาในงานสังสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทยพร้อมกัน ถือเป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมหรือไม่นั้น รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ในมุมของผู้กระทำคงไม่ได้มองเช่นนั้น คงไม่ได้ต้องการท้าทายกระบวนการยุติธรรม เป้าหมายคงเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า แต่ในแง่กระบวนการยุติธรรม กลายเป็นว่าผู้ที่กระทำผิด และต้องได้รับการดำเนินการทางกฎหมายไทย ยังสามารถลอยนวลอยู่ในต่างประเทศได้
"พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ในวันนี้กระทรวงยุติธรรมไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ เลยในการดำเนินการตามกฎหมาย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงยุติธรรมควรจะมีบทบาทหน้าที่ด้วย เนื่องจากกรอบหน้าที่ตามกฎหมายไม่ได้เขียนให้อำนาจไว้" นายพีระพันธ์กล่าว
ส่วนกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แกนนำล้วนแล้วแต่มีคดีติดตัว และเกี่ยวข้องกับที่ศาลได้วางเงื่อนไขในการประกันตัวไว้นั้น เป็นเรื่องของศาลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าว
**แจ้งจับ"จตุพร-วีระ"ขายชาติ
เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ธนาเดช หนูเอียด พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 123 และ 124 หลังทั้งคู่นำเอกสารลับของทางราชการมาเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ พร้อมนำหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 22-24 ธ.ค. มามอบให้เป็นหลักฐาน โดยมี พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รองผกก.สส.สน.นางเลิ้ง ร่วมทำการสอบปากคำ
นายวัชระ เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากนายจตุพร ได้นำเอกสารลับของทางราชการของกระทรวงการต่างประเทศ มาเผยแพร่ลงในบทความของหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 22-24 ธ.ค. ในหน้าที่ 9 คอลัมน์ “สถานีแดง” ซึ่งเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สำคัญต่อประเทศ จะนำมาเผยแพร่ไม่ได้ แต่นายจตุพร กลับนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 123 ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี กับ มาตรา 124 ผู้ใดกระทำการใดๆ ให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เช่นกัน
"การกระทำของนายจตุพรนั้น ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงที่สุด เพราะไม่ได้ทำในฐานะประชาชนธรรมดา แต่ทำในฐานะที่เป็นส.ส. ซึ่งถวายสัตย์ฯ ในที่ประชุมรัฐสภาว่า จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กลับทำตัวเป็นทาสรับใช้ฮุนเซน" นายวัชระ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ กล่าวว่า เบื้องต้นจะรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะทำการสอบปากคำผู้แจ้งความร้องทุกข์อย่างละเอียดอีกครั้ง และทำการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะส่งเรื่องให้ทางผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณาต่อไป
**"บัวแก้ว"แจ้งกองปราบเอาผิด"ไอ้ตู่"
ในวันเดียวกันนี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายกอบแก้ว พิกุลทอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่กองปราบปราม เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา ฐานนำเอกสารลับทางราชการไปเผยแพร่ บิดเบือนข้อเท็จจริง และเนื้อหาเอกสาร ทำให้กระทรวงฯได้รับความเสียหาย และความผิดฐานหมิ่นประมาทจากกรณีที่นายจตุพร นำเอกสารลับของกระทรวงฯ มาเผยแพร่ในครั้งแรก
นายชวนนท์ กล่าวว่าหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในการเชิญ บุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำต่อไป ส่วนจะมีการพิจารณาฟ้องร้องเพิ่มเติม และจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เผยแพร่เอกสารลับเป็นครั้งที่ 2 โดยนำข้อความไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตหรือไม่นั้น ทางกระทรวงฯ กำลังพิจารณาอยู่ ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคงใช้เวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องครั้งนี้ไม่ได้เป็นการทำตาม คำท้าของนายจตุพร แต่เพื่อปกป้องกระทรวงฯ ในส่วนของเอกสารที่ถูกนำมาเปิดเผย อีกชุดหนึ่งเป็นจำนวน 9 แผ่นนั้น ขอยืนยันว่ากระทรวงฯ ไม่ได้มีเจตนาทำร้าย ทำลาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ไม่ได้เป็นการชี้นำ ไม่ได้มุ่งร้ายทำลายใคร แต่เป็นเอกสารประเมินสถานการณ์ และผลกระทบตั้งแต่ระดับเบา ปานกลาง และขั้นรุนแรง
"ยอมรับว่า การนำเอกสารลับกระทรวงฯ ไปเผยแพร่ ส่งผลให้การทำงานของกระทรวงฯ ลำบากขึ้น และทำให้ประเทศเพื่อนบ้านรู้ท่าที และเป็นต่อในการเจรจา จึงขอให้ยุติการเผยแพร่เอกสารลับดังกล่าว เพราะเป็นการทำร้ายคนไทยด้วยกัน" นายชวนนท์ กล่าว
**จวก"ไอ้ตู่"ตีความเกินจริง
นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าการที่นายจตุพร นำเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศมาเปิดเผยเป็นรอบที่สองนั้น เท่าที่ ตนติดตามเนื้อหาคำแถลง ข้อกล่าวอ้างต่างๆแล้วเห็นว่า รายละเอียดไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะเป็นการนำเอาเอกสารสรุปเชิงวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจ เพราะมีขั้นตอนการเปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย ซึ่งผู้บริหารไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ และเป็นเอกสารชั้นความลับที่หากมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ เพื่อนำขึ้นเว็บไซต์ ออกเผยแพร่ จะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายได้ ถือเป็นการไม่สมควร
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลเอกสารทั้งสองชุดที่นายจตุพร กล่าวอ้าง ไม่มีสาระสำคัญใดๆที่ระบุว่า จะมีการ กำจัด หรือ สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่กล่าวอ้าง บิดเบือน เข้าใจว่านายจตุพร ทำเพื่อให้เป็นประเด็นการเมือง จึงอยากถามคนเหล่านี้ว่าเห็นความสำคัญของชาติอื่นมากกว่าชาติตัวเองหรือ และไม่น่าเชื่อว่านายจตุพร จะทำเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งการได้มาซึ่งข้อมูล ก็พูดไม่ตรงกัน โดยนายจตุพร ระบุว่าได้มาจากข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศ ขณะที่นายสงวน พงษ์มณี แกนนำกลุ่มเสื้อแดง กลับระบุว่ามีผู้ส่งมาให้ทางไปรษณีย์
ดังนั้นเรื่องนี้นายจตุพร จึงต้องชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะกระทรวงต่างประเทศได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษแจ้งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการการเปิดเผยเอกสารดังกล่าวแล้ว
"ในฐานะที่เป็นเพื่อนของนายจตุพร ผมจะไม่ขอเรียกว่า ตุ๊ดตู่ อีกแล้ว แต่จะขอเรียกว่า ไอ้ขี้ตู่แทน"
**รองปลัด กต.แจง กมธ.แทนกษิต
ในวันเดียวกันนี้ ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ ว่าด้วยการรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางธิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เป็นประธานอนุกรรมาธิการ เพื่อพิจารณากรณีที่ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยถูกจับกุมในข้อหาจารกรรมข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง ซึ่งได้เชิญนายศิวรักษ์ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และนายคำรบ ปาลวัฒวิไชย เลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงพนมเปญมาชี้แจง แต่นายกษิตและนายคำรบไม่ได้เดินทางมาชี้แจง แต่ได้มอบให้นายปิยวัชร นิยมฤกษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และน.ส.มธุรพจนา อิทธะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล มาชี้แจงแทน ขณะที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์เป็นผู้มาชี้แจงแทน เนื่องจากนายศิวรักษ์อยู่ในสมณเพศ
นายปิยวัชร ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ คนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีของนายศิวรักษ์ ที่เป็นเรื่องทางการเมืองระหว่างประเทศจึงต้องดูแลเป็นพิเศษ
การที่บางฝ่ายมองว่า กระทรวงการต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือล่าช้านั้น เนื่องจากต้องรอทางการกัมพูชา แจ้งเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง รวมทั้งเรื่องนี้ สถานทูตไทย ในกัมพูชา ทราบเรื่องหลังจากที่นายศิวรักษ์ ถูกจับกุมไปแล้ว 2 วัน
ขณะที่นางสิมารักษ์ เห็นว่า การช่วยเหลือของรัฐบาลมีความล่าช้า จึงจำเป็น ต้องขอความช่วยเหลือไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เพื่อให้บุตรชาย มีช่อช่องทางที่จะได้รับอิสรภาพเร็วขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนตัวทนายความจากเดิมที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้ก็เพื่อความสะดวกในการดำเนินการช่วยเหลือนายศิวรักษ์ รวมทั้งขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้มีการจัดฉาก
จากนั้นนายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส. ศรีษะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากนายคำรบ ไม่มาชี้แจงก็จะไม่สามารถตอบข้อสงสัยของสังคมได้ เพราะนายคำรบ เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดีที่สุด พร้อมกับมองว่าเรื่องนี้ถือว่าผิดปกติที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ส่งนายคำรบมาร่วมชี้แจง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชัดเจนที่มีความพยายามหลีกเลี่ยงด้วยการ ส่งไปราชการต่างประเทศทุกครั้ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากตราบใดที่กระทรวงต่างประเทศยังไม่ให้นายคำรบ มาชี้แจง คงไม่มีวันได้ความกระจ่าง
**กรณีศิวรักษ์ไม่กระทบภาพลักษณ์
นายปิยวัชร ชี้แจงว่า สาเหตุที่นายคำรบ ไม่มาชี้แจง เนื่องจาก นโยบายของ รมว.ต่างประเทศ เล็งเห็นว่าเรื่องนี้สิ้นสุดแล้ว ขณะเดียวกันเห็นว่าทั้งสองฝ่าย คือนายศิวรักษ์ และนายคำรบ ผ่านความรู้สึกและเหตุการณ์มามากมายแล้ว จึงไม่ต้องการให้เกิดการขยายต่อ อีกทั้งเห็นว่าสิ่งที่นายคำรบ ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนน่าจะมีความกระจ่างแล้ว
ขณะที่นายธานี ชี้แจงถึงข้อกังวลของคณะกรรมาธิการที่เกรงว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ว่า กรณีของนายศิวรักษ์ มีการประเมินแล้วว่า ไม่ได้สร้างผลกระทบด้านลบต่อไทย เพราะนานาประเทศล้วนเข้าใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องการเมืองภายใน และเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
วานนี้ ( 24 ธ.ค.) นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้าในการติดตามตัวนายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงมาดำเนินคดี ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังต้องเร่งแก้ไข เพราะขณะนี้เรามีหมายจับผู้ที่ต้องนำมาดำเนินคดี เพราะมีหลักฐาน พยาน เพียงพอประมาณ 250,000 คน จะโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเดียวก็ไม่ได้ โดยเฉพาะบุคคลที่หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ตั้งแต่คดีการเมือง รวมไปถึงคดียาเสพติด
ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าว อยู่ที่ขณะนี้ยังไม่มีเจ้าภาพในการรับภาระเพื่อติดตามบุคคลเหล่านี้มาดำเนินคดี
"ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคดีใด เราต้องใช้มาตรฐานเดียวกันหมด แต่วันนี้ยังหาเจ้าภาพชัดๆว่าเป็นหน้าที่ของใครในการติดตามยังไม่มีเลย กระทรวงยุติธรรมจึงนำเสนอครม.ไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อจัดตั้งสำนักบังคับคดีอาญา และการบังคับใช้กฎหมาย โดยเสนอเป็นกฎกระทรวง เพื่อรับหน้าที่ในส่วนนี้ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปีหน้า" นายพีระพันธ์กล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้ยังมีความหวังในการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายจักรภพ มาดำเนินคดีหรือไม่ นายพีระพันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างมีความหวังทั้งนั้น แต่ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และถูกต้องตามกฎหมาย จะไม่ทำตามอำเพอใจ
ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ และนายจักรภพ แสดงตัวผ่านวีดีโอลิงก์ มาในงานสังสรรค์ปีใหม่ของพรรคเพื่อไทยพร้อมกัน ถือเป็นการท้าทายกระบวนการยุติธรรมหรือไม่นั้น รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ในมุมของผู้กระทำคงไม่ได้มองเช่นนั้น คงไม่ได้ต้องการท้าทายกระบวนการยุติธรรม เป้าหมายคงเป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า แต่ในแง่กระบวนการยุติธรรม กลายเป็นว่าผู้ที่กระทำผิด และต้องได้รับการดำเนินการทางกฎหมายไทย ยังสามารถลอยนวลอยู่ในต่างประเทศได้
"พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ในวันนี้กระทรวงยุติธรรมไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ เลยในการดำเนินการตามกฎหมาย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงยุติธรรมควรจะมีบทบาทหน้าที่ด้วย เนื่องจากกรอบหน้าที่ตามกฎหมายไม่ได้เขียนให้อำนาจไว้" นายพีระพันธ์กล่าว
ส่วนกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แกนนำล้วนแล้วแต่มีคดีติดตัว และเกี่ยวข้องกับที่ศาลได้วางเงื่อนไขในการประกันตัวไว้นั้น เป็นเรื่องของศาลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าว
**แจ้งจับ"จตุพร-วีระ"ขายชาติ
เมื่อเวลา 13.00 น. วานนี้ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ธนาเดช หนูเอียด พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 123 และ 124 หลังทั้งคู่นำเอกสารลับของทางราชการมาเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ พร้อมนำหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 22-24 ธ.ค. มามอบให้เป็นหลักฐาน โดยมี พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รองผกก.สส.สน.นางเลิ้ง ร่วมทำการสอบปากคำ
นายวัชระ เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากนายจตุพร ได้นำเอกสารลับของทางราชการของกระทรวงการต่างประเทศ มาเผยแพร่ลงในบทความของหนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ ฉบับวันที่ 22-24 ธ.ค. ในหน้าที่ 9 คอลัมน์ “สถานีแดง” ซึ่งเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารลับที่สำคัญต่อประเทศ จะนำมาเผยแพร่ไม่ได้ แต่นายจตุพร กลับนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติ จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 123 ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี กับ มาตรา 124 ผู้ใดกระทำการใดๆ ให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือได้ไปซึ่งข้อความ เอกสาร หรือสิ่งใดๆ อันปกปิดไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เช่นกัน
"การกระทำของนายจตุพรนั้น ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงที่สุด เพราะไม่ได้ทำในฐานะประชาชนธรรมดา แต่ทำในฐานะที่เป็นส.ส. ซึ่งถวายสัตย์ฯ ในที่ประชุมรัฐสภาว่า จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่กลับทำตัวเป็นทาสรับใช้ฮุนเซน" นายวัชระ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ กล่าวว่า เบื้องต้นจะรับแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจะทำการสอบปากคำผู้แจ้งความร้องทุกข์อย่างละเอียดอีกครั้ง และทำการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะส่งเรื่องให้ทางผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณาต่อไป
**"บัวแก้ว"แจ้งกองปราบเอาผิด"ไอ้ตู่"
ในวันเดียวกันนี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายกอบแก้ว พิกุลทอง แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่กองปราบปราม เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา ฐานนำเอกสารลับทางราชการไปเผยแพร่ บิดเบือนข้อเท็จจริง และเนื้อหาเอกสาร ทำให้กระทรวงฯได้รับความเสียหาย และความผิดฐานหมิ่นประมาทจากกรณีที่นายจตุพร นำเอกสารลับของกระทรวงฯ มาเผยแพร่ในครั้งแรก
นายชวนนท์ กล่าวว่าหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในการเชิญ บุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำต่อไป ส่วนจะมีการพิจารณาฟ้องร้องเพิ่มเติม และจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เผยแพร่เอกสารลับเป็นครั้งที่ 2 โดยนำข้อความไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตหรือไม่นั้น ทางกระทรวงฯ กำลังพิจารณาอยู่ ตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคงใช้เวลาไม่นาน
อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องครั้งนี้ไม่ได้เป็นการทำตาม คำท้าของนายจตุพร แต่เพื่อปกป้องกระทรวงฯ ในส่วนของเอกสารที่ถูกนำมาเปิดเผย อีกชุดหนึ่งเป็นจำนวน 9 แผ่นนั้น ขอยืนยันว่ากระทรวงฯ ไม่ได้มีเจตนาทำร้าย ทำลาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ไม่ได้เป็นการชี้นำ ไม่ได้มุ่งร้ายทำลายใคร แต่เป็นเอกสารประเมินสถานการณ์ และผลกระทบตั้งแต่ระดับเบา ปานกลาง และขั้นรุนแรง
"ยอมรับว่า การนำเอกสารลับกระทรวงฯ ไปเผยแพร่ ส่งผลให้การทำงานของกระทรวงฯ ลำบากขึ้น และทำให้ประเทศเพื่อนบ้านรู้ท่าที และเป็นต่อในการเจรจา จึงขอให้ยุติการเผยแพร่เอกสารลับดังกล่าว เพราะเป็นการทำร้ายคนไทยด้วยกัน" นายชวนนท์ กล่าว
**จวก"ไอ้ตู่"ตีความเกินจริง
นายเทพไท เสนพงษ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าการที่นายจตุพร นำเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศมาเปิดเผยเป็นรอบที่สองนั้น เท่าที่ ตนติดตามเนื้อหาคำแถลง ข้อกล่าวอ้างต่างๆแล้วเห็นว่า รายละเอียดไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะเป็นการนำเอาเอกสารสรุปเชิงวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจ เพราะมีขั้นตอนการเปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย ซึ่งผู้บริหารไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ และเป็นเอกสารชั้นความลับที่หากมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศ เพื่อนำขึ้นเว็บไซต์ ออกเผยแพร่ จะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายได้ ถือเป็นการไม่สมควร
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลเอกสารทั้งสองชุดที่นายจตุพร กล่าวอ้าง ไม่มีสาระสำคัญใดๆที่ระบุว่า จะมีการ กำจัด หรือ สังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่กล่าวอ้าง บิดเบือน เข้าใจว่านายจตุพร ทำเพื่อให้เป็นประเด็นการเมือง จึงอยากถามคนเหล่านี้ว่าเห็นความสำคัญของชาติอื่นมากกว่าชาติตัวเองหรือ และไม่น่าเชื่อว่านายจตุพร จะทำเช่นนี้ได้ แม้กระทั่งการได้มาซึ่งข้อมูล ก็พูดไม่ตรงกัน โดยนายจตุพร ระบุว่าได้มาจากข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศ ขณะที่นายสงวน พงษ์มณี แกนนำกลุ่มเสื้อแดง กลับระบุว่ามีผู้ส่งมาให้ทางไปรษณีย์
ดังนั้นเรื่องนี้นายจตุพร จึงต้องชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะกระทรวงต่างประเทศได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษแจ้งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการการเปิดเผยเอกสารดังกล่าวแล้ว
"ในฐานะที่เป็นเพื่อนของนายจตุพร ผมจะไม่ขอเรียกว่า ตุ๊ดตู่ อีกแล้ว แต่จะขอเรียกว่า ไอ้ขี้ตู่แทน"
**รองปลัด กต.แจง กมธ.แทนกษิต
ในวันเดียวกันนี้ ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ ว่าด้วยการรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ในคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนางธิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เป็นประธานอนุกรรมาธิการ เพื่อพิจารณากรณีที่ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยถูกจับกุมในข้อหาจารกรรมข้อมูลที่กระทบต่อความมั่นคง ซึ่งได้เชิญนายศิวรักษ์ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และนายคำรบ ปาลวัฒวิไชย เลขานุการเอกประจำสถานเอกอัครราชฑูตไทยประจำกรุงพนมเปญมาชี้แจง แต่นายกษิตและนายคำรบไม่ได้เดินทางมาชี้แจง แต่ได้มอบให้นายปิยวัชร นิยมฤกษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และน.ส.มธุรพจนา อิทธะรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล มาชี้แจงแทน ขณะที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์เป็นผู้มาชี้แจงแทน เนื่องจากนายศิวรักษ์อยู่ในสมณเพศ
นายปิยวัชร ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศให้ความสำคัญในการช่วยเหลือ คนไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีของนายศิวรักษ์ ที่เป็นเรื่องทางการเมืองระหว่างประเทศจึงต้องดูแลเป็นพิเศษ
การที่บางฝ่ายมองว่า กระทรวงการต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือล่าช้านั้น เนื่องจากต้องรอทางการกัมพูชา แจ้งเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริง รวมทั้งเรื่องนี้ สถานทูตไทย ในกัมพูชา ทราบเรื่องหลังจากที่นายศิวรักษ์ ถูกจับกุมไปแล้ว 2 วัน
ขณะที่นางสิมารักษ์ เห็นว่า การช่วยเหลือของรัฐบาลมีความล่าช้า จึงจำเป็น ต้องขอความช่วยเหลือไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เพื่อให้บุตรชาย มีช่อช่องทางที่จะได้รับอิสรภาพเร็วขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนตัวทนายความจากเดิมที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้ก็เพื่อความสะดวกในการดำเนินการช่วยเหลือนายศิวรักษ์ รวมทั้งขอยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้มีการจัดฉาก
จากนั้นนายธเนศ เครือรัตน์ ส.ส. ศรีษะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการฯ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากนายคำรบ ไม่มาชี้แจงก็จะไม่สามารถตอบข้อสงสัยของสังคมได้ เพราะนายคำรบ เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดีที่สุด พร้อมกับมองว่าเรื่องนี้ถือว่าผิดปกติที่กระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ส่งนายคำรบมาร่วมชี้แจง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมชัดเจนที่มีความพยายามหลีกเลี่ยงด้วยการ ส่งไปราชการต่างประเทศทุกครั้ง ดังนั้นจึงเชื่อว่าหากตราบใดที่กระทรวงต่างประเทศยังไม่ให้นายคำรบ มาชี้แจง คงไม่มีวันได้ความกระจ่าง
**กรณีศิวรักษ์ไม่กระทบภาพลักษณ์
นายปิยวัชร ชี้แจงว่า สาเหตุที่นายคำรบ ไม่มาชี้แจง เนื่องจาก นโยบายของ รมว.ต่างประเทศ เล็งเห็นว่าเรื่องนี้สิ้นสุดแล้ว ขณะเดียวกันเห็นว่าทั้งสองฝ่าย คือนายศิวรักษ์ และนายคำรบ ผ่านความรู้สึกและเหตุการณ์มามากมายแล้ว จึงไม่ต้องการให้เกิดการขยายต่อ อีกทั้งเห็นว่าสิ่งที่นายคำรบ ชี้แจงผ่านสื่อมวลชนน่าจะมีความกระจ่างแล้ว
ขณะที่นายธานี ชี้แจงถึงข้อกังวลของคณะกรรมาธิการที่เกรงว่าเรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ว่า กรณีของนายศิวรักษ์ มีการประเมินแล้วว่า ไม่ได้สร้างผลกระทบด้านลบต่อไทย เพราะนานาประเทศล้วนเข้าใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องการเมืองภายใน และเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ