ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (16 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน มีการพิจารณากรณีการจับตัวนายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ วิศวกรไทย ในประเทศกัมพูชา โดยเชิญนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ และนายคำรบ ปานวัฒน์วิชัย เลขานุการเอก ประจำสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ มาชี้แจง แต่ปรากฎว่าทั้ง 2 คนไม่ได้มาตามคำเชิญ โดยกระทรวงการต่างประเทศส่งนายอิศร ปกมนตรี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวงการต่างประเทศ และน.ส. มธุรสพจนา อิทธิรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล มาชี้แจงแทน
นายต่อพงษ์ เปิดเผยภายหลังเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศชี้แจงว่า คำชี้แจงของตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศยังไม่ครบองค์ประกอบ ตามที่คณะกรรมาธิการได้ตั้งไว้ ดังนั้นทางกรรมาธิการจึงเตรียมทำหนังสือเชิญ นายกษิต และนายคำรบ มาชี้แจงอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ได้เตรียมที่จะเชิญนายศิวรักษ์ มาให้ข้อมูลในกรณีดังกล่าวด้วย
นายต่อพงษ์ ยังอ้างว่า ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศยอมรับว่านายคำรบ มีการขอข้อมูลตารางการบินของพ.ต.ท ทักษิณ จากนายศิวรักษ์จริง ดังนั้นจึงเห็นว่า เรื่องนี้นายคำรบ ควรมายืนยันกรณีดังกล่าวด้วยตนเอง
นายต่อพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ที่มีนางฐิติมา ฉายแสง เป็นประธาน รับเรื่องไปดำเนินการตรวจสอบ ต่อไป โดยจะมีการนัดประชุมกันอีกครั้งในวันพุธ ที่23 ธ.ค.นี้
**บี้ถาม"สุเทพ"สั่งยิงเครื่องบิน"แม้ว"หรือไม่
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯแจ้งว่า บรรยากาศในการประชุม ในช่วงแรก กรรมาธิการฯจากพรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามตัวแทนกองทัพอากาศว่า มีการสั่งการจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ว่า เครื่องบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้ามายังกัมพูชา หากผ่านน่านฟ้าประเทศไทย ให้กองทัพอากาศของไทย นำเครื่องบินประกบยิงได้ทันทีหากไม่ลงจอด จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าปกติมีขั้นตอนการดำเนินการกับเครื่องบินที่ไม่ปรากฏการแจ้งการบิน บินเข้าน่านฟ้าไทยอยู่แล้ว โดยบินประกบเพื่อตรวจสอบว่า มาจากที่ใด และแจ้งให้รีบบินออกจากน่านฟ้าไทย
กรณีเครื่องบินพลเรือน พาณิชย์ หรือ เครื่องบินส่วนบุคคล โดยทั่วไป ที่มีการแจ้งขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้า ในการปฏิบัติทั่วโลกไม่สามารถยิงเครื่องบินดังกล่าวได้ นอกจากเป็นเครื่องบินรบ ซึ่งกรรมาธิการฯ สรุปว่าทางกองทัพอากาศไม่ได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
**กต.ยัน"คำรบ"ไม่ได้ข้อตารางบิน"แม้ว"
ส่วนการซักถามตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศนั้น กรรมาธิการฯจาก พรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามถึงกรณีที่นายคำรบ ขอข้อมูลการบินจากนายศิวรักษ์ จริงหรือไม่ ซึ่งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ทางกระทรวงได้สอบถาม นายคำรบแล้ว นายคำรบ ชี้แจงมาว่า ได้โทรศัพท์ไปถาม ใช้คำพูดเพียงแค่ "มาถึงหรือยัง" ซึ่งนายศิวรักษ์ ก็ตอบกลับมาว่า"มาแล้ว" จากนั้นนายคำรบ ก็รายงาน ให้เอกอัครราชทูตทราบ แต่กรรมาธิการฯ จากพรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามต่อไปว่า มีเอกสาร บันทึกอะไรหรือไม่ ซึ่งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ไม่มี และการหาข่าวแบบนี้ เป็นการหาข่าวปกติ ไม่ได้ถือว่าเป็นสายลับหรือจารกรรม
ขณะที่กรรมาธิการฯจากพรรคประชาธิปัตย์ พยายามสอบถามว่า กรณีที่เกิดขึ้น เป็นการจัดฉากหรือไม่ ซึ่งได้รับคำชี้แจงว่า ไม่น่าจะจัดฉาก และการดำเนินการในเรื่องนี้ ทั้งหมดไม่น่าจะเกิดจากฝั่งไทย แต่น่าจะเกิดจากฝั่งกัมพูชาวางแผน ทำให้กรรมาธิการฯ จากทุกพรรค พยายามสอบถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายกัมพูชาอาศัยสถานการณ์ความขัดแย้งในไทย เสี้ยมให้ความขัดแย้งในไทยทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ซึ่งตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ก็เป็นไปได้ เพราะกัมพูชาอาจไม่อยากให้ประเทศไทยพัฒนาไปเกินหน้าเกินตา
ทั้งนี้ กมธ.ยังไม่ได้สรุปประเด็นดังกล่าว เพราะนายคำรบ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ไม่ได้มาชี้แจง
** "กษิต"ยันไม่ได้สั่งจารกรรมตารางบิน
ในวันเดียวกันนี้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ แสดงความยินดีต่อนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย และครอบครัว ที่ได้รับอิสรภาพจากประเทศกัมพูชา และเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ พร้อมทั้งยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินการทางการทูตในการให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตนเคารพการตัดสินใจของครอบครัวนายศิวรักษ์ ในการเปลี่ยนตัวทนาย และเปิดทางพรรคเพื่อไทยให้การช่วยเหลือ โดยไม่เคยกล่าวหาว่าเป็นการจัดฉาก พร้อมปฏิเสธว่าไม่เคยสั่งการให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ไปจารกรรมตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเชื่อว่านายคำรบ ปฏิบัติตามหน้าที่ปกติ เพื่อหาข้อมูลยืนยันการเดินทางเข้ากัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งนายคำรบ ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายกษิตย้ำว่าไม่มีนโยบายให้นายคำรบออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนด้วยตนเอง เพราะทั้งนายคำรบ และนายศิวรักษ์ ก็เป็นเพียงเหยื่อทางการเมืองเท่านั้น
ส่วนความสัมพันธ์ของไทย และกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศยังคงเห็นว่าปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองได้เกิดขึ้นโดยมีต้นตอของปัญหามาจากการที่ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายที่เลือกดำเนินการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ต.ค.52 ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในประเทศไทย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
**ไม่ห่วงศิวรักษ์ฟ้องกต.
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่านายศิวรักษ์ และนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดา จะฟ้องกระทรวงต่างประเทศ และนายคำรบที่ทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิที่จะใช้สิทธิตามกฎหมาย ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไรนั้นในทุกเรื่องก็จะเกิดความชัดเจนเอง
ส่วนการฟ้องนั้นเกิดจากการให้คำแนะนำของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือ พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น เห็นว่าเป็นเรื่องของประชาชน ไม่อยากให้เอารัฐไปมีปัญหากับประชาชน หรือไปขัดแย้งกัน
ส่วนกรณีที่นายศิวรักษ์ ออกมายอมรับว่าทางกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ในช่วงที่พูดกับนายคำรบนั้น นายสุเทพ กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบ้านเราก็ยังมีการดักฟังอยู่จากขบวนการที่จะดักฟัง ซึ่งนายสุเทพ ยอมรับด้วยว่า ขนาดตนก็ยังถูกดักฟังทุกวัน
ขณะที่ความเป็นไปได้ในการพื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาตามข้อเสนอ 3 ข้อ ของนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้น ตนก็เห็นตามนั้น ซึ่งทุกอย่างก็ต้องมาดูว่าทั้งหมดเริ่มต้นมาจากเรื่องอะไร และก็ต้องแก้ที่เรื่องนั้น โดยถ้าหากกัมพูชายังไม่ถอนการเป็นที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ก่อน
**"เทพไท"ชี้จัดฉากไม่เนียน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่อยากให้ความยาวสาวความยืดอีกต่อไป โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่ควรฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้ขยายประเด็นทางการเมืองอีกต่อไป
สำหรับตัวนายศิวรักษ์ เองทุกคนก็เข้าใจว่าไม่ได้เป็นตัวการของการจัดฉากในละครเรื่องนี้ แต่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อหวังประโยชน์โดยที่นายศิวรักษ์ไม่รู้ตัว เพราะภาพที่ปรากฏออกมาหลังการถูกปลดปล่อยจากคุก ตนไม่เคยเห็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติใด ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงสูงสุดที่ออกจากคุกแล้วกลับมีรถเบนซ์ เอสคลาส ที่รัฐบาลกัมพูชาจัดให้ไปรับถึงหน้าคุกเปรยซอร์
หนำซ้ำสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังเปิดคฤหาสน์ส่วนตัวต้อนรับรับรองด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการพูดคุย ลูบหน้าลูบหลังอย่างสนิทสนม ถึงขนาดเรียกแทนตัวเองว่าอา และเรียกนายศิวรักษ์ว่าหลานทุกคำ สุดท้ายยังอนุญาตให้กลับมาทำงานในประเทศกัมพูชาได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็ได้พบได้เห็น ว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่ปฏิบัติต่อนักโทษ หรือผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเช่นนี้ แทนที่จะถูกเนรเทศ หรือขับไล่ออกนอกประเทศโดยเร็วที่สุด แต่กรณีของนายศิวรักษ์กลับสวนทางกัน ซึ่งคนไทยน่าจะคิดได้ว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร
ส่วนการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามออกมาปฏิเสธแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการจัดฉากละครเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถที่จะสั่งนายคำรบ ให้โทรไปหานายศิวรักษ์ได้ โดยพยายามโยงให้เห็นว่า คนที่สั่งการนายคำรบ คือนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะผู้บังคับบัญชา และพาดพิงมายังนายกรัฐมนตรีด้วยว่า น่าจะรับรู้ด้วยนั้น ตนขอชี้แจงว่าพรรคเพื่อไทยกำลังปฏิเสธเรื่องนี้เข้าลักษณะขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะละครเรื่องนี้มีการจัดฉากมาตามลำดับ เพื่อให้สังคมไทยและโลกเห็นว่า รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย และถึงวันนี้พระเอกคนนั้นก็ได้ตกม้าตายไปแล้ว เพราะผลโพลสำรวจความเห็นของคนไทยส่วนใหญ่ในชาติกว่า 60% เห็นตรงกันว่า กรณีนี้เป็นการจัดฉากเพื่อหวังผลทางการเมือง ของคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
**แนะศิวรักษ์ควรฟ้อง"แม้ว-จิ๋ว"
ส่วน การที่พรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและนายกฯ แสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ และเยียวยาครอบครัวนายศิวรักษ์นั้น ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยเสนอข้อเรียกร้องผิดที่ผิดทาง เพราะต้องกลับไปดูต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดว่าเป็นมาอย่างไร ไม่ใช่จับแพะชนแกะ ตัดตอนเล่าเรื่องนี้ในบางช่วง บางตอน แล้วเอามามาขยายผลทางการเมือง เพราะถ้าพล.อ.ชวลิต ไม่เดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซน และพ.ต.ท.ทักษิณไม่เดินทางไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชาแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น ต้นเหตุที่แท้จริงจึงอยู่ที่บุคคลทั้งสอง เพราะที่ไม่มีหน้าที่ใดๆในรัฐบาลไทยหรือแม้ในกระทรวงการต่างประเทศของไทย และถ้าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายตามที่เปิดประเด็นแถลงข่าวมานั้น ตนขอแนะนำว่า ให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก พล.อ.ชวลิต และพ.ต.ท.ทักษิณ จะเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นที่มาของต้นเหตุทั้งหมด
--------------------
นายต่อพงษ์ เปิดเผยภายหลังเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศชี้แจงว่า คำชี้แจงของตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศยังไม่ครบองค์ประกอบ ตามที่คณะกรรมาธิการได้ตั้งไว้ ดังนั้นทางกรรมาธิการจึงเตรียมทำหนังสือเชิญ นายกษิต และนายคำรบ มาชี้แจงอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ได้เตรียมที่จะเชิญนายศิวรักษ์ มาให้ข้อมูลในกรณีดังกล่าวด้วย
นายต่อพงษ์ ยังอ้างว่า ตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศยอมรับว่านายคำรบ มีการขอข้อมูลตารางการบินของพ.ต.ท ทักษิณ จากนายศิวรักษ์จริง ดังนั้นจึงเห็นว่า เรื่องนี้นายคำรบ ควรมายืนยันกรณีดังกล่าวด้วยตนเอง
นายต่อพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ ที่มีนางฐิติมา ฉายแสง เป็นประธาน รับเรื่องไปดำเนินการตรวจสอบ ต่อไป โดยจะมีการนัดประชุมกันอีกครั้งในวันพุธ ที่23 ธ.ค.นี้
**บี้ถาม"สุเทพ"สั่งยิงเครื่องบิน"แม้ว"หรือไม่
รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯแจ้งว่า บรรยากาศในการประชุม ในช่วงแรก กรรมาธิการฯจากพรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามตัวแทนกองทัพอากาศว่า มีการสั่งการจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ว่า เครื่องบินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางเข้ามายังกัมพูชา หากผ่านน่านฟ้าประเทศไทย ให้กองทัพอากาศของไทย นำเครื่องบินประกบยิงได้ทันทีหากไม่ลงจอด จริงหรือไม่ ซึ่งได้รับการชี้แจงว่าปกติมีขั้นตอนการดำเนินการกับเครื่องบินที่ไม่ปรากฏการแจ้งการบิน บินเข้าน่านฟ้าไทยอยู่แล้ว โดยบินประกบเพื่อตรวจสอบว่า มาจากที่ใด และแจ้งให้รีบบินออกจากน่านฟ้าไทย
กรณีเครื่องบินพลเรือน พาณิชย์ หรือ เครื่องบินส่วนบุคคล โดยทั่วไป ที่มีการแจ้งขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้า ในการปฏิบัติทั่วโลกไม่สามารถยิงเครื่องบินดังกล่าวได้ นอกจากเป็นเครื่องบินรบ ซึ่งกรรมาธิการฯ สรุปว่าทางกองทัพอากาศไม่ได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
**กต.ยัน"คำรบ"ไม่ได้ข้อตารางบิน"แม้ว"
ส่วนการซักถามตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศนั้น กรรมาธิการฯจาก พรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามถึงกรณีที่นายคำรบ ขอข้อมูลการบินจากนายศิวรักษ์ จริงหรือไม่ ซึ่งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ทางกระทรวงได้สอบถาม นายคำรบแล้ว นายคำรบ ชี้แจงมาว่า ได้โทรศัพท์ไปถาม ใช้คำพูดเพียงแค่ "มาถึงหรือยัง" ซึ่งนายศิวรักษ์ ก็ตอบกลับมาว่า"มาแล้ว" จากนั้นนายคำรบ ก็รายงาน ให้เอกอัครราชทูตทราบ แต่กรรมาธิการฯ จากพรรคเพื่อไทย พยายามสอบถามต่อไปว่า มีเอกสาร บันทึกอะไรหรือไม่ ซึ่งตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงว่า ไม่มี และการหาข่าวแบบนี้ เป็นการหาข่าวปกติ ไม่ได้ถือว่าเป็นสายลับหรือจารกรรม
ขณะที่กรรมาธิการฯจากพรรคประชาธิปัตย์ พยายามสอบถามว่า กรณีที่เกิดขึ้น เป็นการจัดฉากหรือไม่ ซึ่งได้รับคำชี้แจงว่า ไม่น่าจะจัดฉาก และการดำเนินการในเรื่องนี้ ทั้งหมดไม่น่าจะเกิดจากฝั่งไทย แต่น่าจะเกิดจากฝั่งกัมพูชาวางแผน ทำให้กรรมาธิการฯ จากทุกพรรค พยายามสอบถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่ายกัมพูชาอาศัยสถานการณ์ความขัดแย้งในไทย เสี้ยมให้ความขัดแย้งในไทยทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ซึ่งตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า ก็เป็นไปได้ เพราะกัมพูชาอาจไม่อยากให้ประเทศไทยพัฒนาไปเกินหน้าเกินตา
ทั้งนี้ กมธ.ยังไม่ได้สรุปประเด็นดังกล่าว เพราะนายคำรบ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ไม่ได้มาชี้แจง
** "กษิต"ยันไม่ได้สั่งจารกรรมตารางบิน
ในวันเดียวกันนี้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ แสดงความยินดีต่อนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย และครอบครัว ที่ได้รับอิสรภาพจากประเทศกัมพูชา และเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ พร้อมทั้งยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินการทางการทูตในการให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตนเคารพการตัดสินใจของครอบครัวนายศิวรักษ์ ในการเปลี่ยนตัวทนาย และเปิดทางพรรคเพื่อไทยให้การช่วยเหลือ โดยไม่เคยกล่าวหาว่าเป็นการจัดฉาก พร้อมปฏิเสธว่าไม่เคยสั่งการให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ไปจารกรรมตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเชื่อว่านายคำรบ ปฏิบัติตามหน้าที่ปกติ เพื่อหาข้อมูลยืนยันการเดินทางเข้ากัมพูชาของพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งนายคำรบ ก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายกษิตย้ำว่าไม่มีนโยบายให้นายคำรบออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนด้วยตนเอง เพราะทั้งนายคำรบ และนายศิวรักษ์ ก็เป็นเพียงเหยื่อทางการเมืองเท่านั้น
ส่วนความสัมพันธ์ของไทย และกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศยังคงเห็นว่าปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองได้เกิดขึ้นโดยมีต้นตอของปัญหามาจากการที่ผู้นำรัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายที่เลือกดำเนินการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ต.ค.52 ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในประเทศไทย และต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
**ไม่ห่วงศิวรักษ์ฟ้องกต.
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่านายศิวรักษ์ และนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดา จะฟ้องกระทรวงต่างประเทศ และนายคำรบที่ทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิที่จะใช้สิทธิตามกฎหมาย ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไรนั้นในทุกเรื่องก็จะเกิดความชัดเจนเอง
ส่วนการฟ้องนั้นเกิดจากการให้คำแนะนำของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือ พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น เห็นว่าเป็นเรื่องของประชาชน ไม่อยากให้เอารัฐไปมีปัญหากับประชาชน หรือไปขัดแย้งกัน
ส่วนกรณีที่นายศิวรักษ์ ออกมายอมรับว่าทางกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ในช่วงที่พูดกับนายคำรบนั้น นายสุเทพ กล่าวว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบ้านเราก็ยังมีการดักฟังอยู่จากขบวนการที่จะดักฟัง ซึ่งนายสุเทพ ยอมรับด้วยว่า ขนาดตนก็ยังถูกดักฟังทุกวัน
ขณะที่ความเป็นไปได้ในการพื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาตามข้อเสนอ 3 ข้อ ของนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้น ตนก็เห็นตามนั้น ซึ่งทุกอย่างก็ต้องมาดูว่าทั้งหมดเริ่มต้นมาจากเรื่องอะไร และก็ต้องแก้ที่เรื่องนั้น โดยถ้าหากกัมพูชายังไม่ถอนการเป็นที่ปรึกษาของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ก่อน
**"เทพไท"ชี้จัดฉากไม่เนียน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่อยากให้ความยาวสาวความยืดอีกต่อไป โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่ควรฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้ขยายประเด็นทางการเมืองอีกต่อไป
สำหรับตัวนายศิวรักษ์ เองทุกคนก็เข้าใจว่าไม่ได้เป็นตัวการของการจัดฉากในละครเรื่องนี้ แต่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อหวังประโยชน์โดยที่นายศิวรักษ์ไม่รู้ตัว เพราะภาพที่ปรากฏออกมาหลังการถูกปลดปล่อยจากคุก ตนไม่เคยเห็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติใด ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงสูงสุดที่ออกจากคุกแล้วกลับมีรถเบนซ์ เอสคลาส ที่รัฐบาลกัมพูชาจัดให้ไปรับถึงหน้าคุกเปรยซอร์
หนำซ้ำสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังเปิดคฤหาสน์ส่วนตัวต้อนรับรับรองด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการพูดคุย ลูบหน้าลูบหลังอย่างสนิทสนม ถึงขนาดเรียกแทนตัวเองว่าอา และเรียกนายศิวรักษ์ว่าหลานทุกคำ สุดท้ายยังอนุญาตให้กลับมาทำงานในประเทศกัมพูชาได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็ได้พบได้เห็น ว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่ปฏิบัติต่อนักโทษ หรือผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเช่นนี้ แทนที่จะถูกเนรเทศ หรือขับไล่ออกนอกประเทศโดยเร็วที่สุด แต่กรณีของนายศิวรักษ์กลับสวนทางกัน ซึ่งคนไทยน่าจะคิดได้ว่า เรื่องราวเป็นอย่างไร
ส่วนการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามออกมาปฏิเสธแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการจัดฉากละครเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถที่จะสั่งนายคำรบ ให้โทรไปหานายศิวรักษ์ได้ โดยพยายามโยงให้เห็นว่า คนที่สั่งการนายคำรบ คือนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ในฐานะผู้บังคับบัญชา และพาดพิงมายังนายกรัฐมนตรีด้วยว่า น่าจะรับรู้ด้วยนั้น ตนขอชี้แจงว่าพรรคเพื่อไทยกำลังปฏิเสธเรื่องนี้เข้าลักษณะขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะละครเรื่องนี้มีการจัดฉากมาตามลำดับ เพื่อให้สังคมไทยและโลกเห็นว่า รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย และถึงวันนี้พระเอกคนนั้นก็ได้ตกม้าตายไปแล้ว เพราะผลโพลสำรวจความเห็นของคนไทยส่วนใหญ่ในชาติกว่า 60% เห็นตรงกันว่า กรณีนี้เป็นการจัดฉากเพื่อหวังผลทางการเมือง ของคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
**แนะศิวรักษ์ควรฟ้อง"แม้ว-จิ๋ว"
ส่วน การที่พรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและนายกฯ แสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษ และเยียวยาครอบครัวนายศิวรักษ์นั้น ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยเสนอข้อเรียกร้องผิดที่ผิดทาง เพราะต้องกลับไปดูต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดว่าเป็นมาอย่างไร ไม่ใช่จับแพะชนแกะ ตัดตอนเล่าเรื่องนี้ในบางช่วง บางตอน แล้วเอามามาขยายผลทางการเมือง เพราะถ้าพล.อ.ชวลิต ไม่เดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซน และพ.ต.ท.ทักษิณไม่เดินทางไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชาแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น ต้นเหตุที่แท้จริงจึงอยู่ที่บุคคลทั้งสอง เพราะที่ไม่มีหน้าที่ใดๆในรัฐบาลไทยหรือแม้ในกระทรวงการต่างประเทศของไทย และถ้าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายตามที่เปิดประเด็นแถลงข่าวมานั้น ตนขอแนะนำว่า ให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก พล.อ.ชวลิต และพ.ต.ท.ทักษิณ จะเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นที่มาของต้นเหตุทั้งหมด
--------------------