xs
xsm
sm
md
lg

หวังปลุกม็อบแดง "มาร์ค"ดักคอ“ไอ้ตู่” มั่วเอกสารลับบัวแก้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - “มาร์ค” รู้ทัน ดักคอ “ไอ้ตู่” ซัดบิดเบือนเอกสารลับบัวแก้ว หวังผลโหมโรงก่อนชุมนุมใหญ่เสื้อแดง ชี้เป็นแค่สรุปสถานการณ์ ลั่น มั่นใจ 100% ทำอะไรอยู่บนผลประโยชน์ประเทศชาติ เชื่อเหตุเปิดช่วงนี้ยิ่งปั่นความรุนแรงมากเท่าไร ยิ่งปิดทางเจรจา

เมื่อเวลา 09.30 น.วานนี้ (20 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงเอกสารกระทรวงการต่างประเทศ รายงานถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงนำมาเปิดโปง โดยระบุถึงแผนลอบฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า จริงๆแล้วตัวเอกสาร มั่นใจว่า เป็นเรื่องของการสรุปสถานการณ์ การวิเคราะห์ นำเสนอทางเลือกต่างๆ และได้ยืนยันไป มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า การตัดสินใจต่างๆ อยู่บนผลประโยชน์ของประเทศ และเป็นไปตามกรอบของกฎหมายทั้งสิ้น เพียงแต่การนำเสนอเอกสาร ของนายจตุพร พยายามจะบิดเบือน และทำให้เกิดปัญหาในประเทศบ้าง ระหว่างประเทศบ้าง ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า ผู้ทำ ทำไปเพื่ออะไร ถ้าอยากจะเห็นบ้านเมืองเรามีความสงบ และอยากจะเห็นการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ

ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายจตุพร นำเอกสารออกมาแฉ เป็นการซ้ำเติมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้หนักมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่มีผลมาก เพราะคนกลุ่มเดียวกันนี้ ก็ไปดำเนินการให้ข้อมูลที่ผิดๆ กับทางกัมพูชาอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อถามว่านายกฯคิดว่าข้อมูลนี้ไปถึงมือสมเด็จฮุนเซนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเขาคงจะพูดอะไร อาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะเราดูจากความเข้าใจของฝ่ายกัมพูชาหลายต่อหลายเรื่อง มันไม่ตรงกับความเป็นจริง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่า มีคนไทยอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งไปทำสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย

ต่อข้อถามที่ว่า ความพยายามที่จะพูดถึงการขยายขอบเขตของปัญหาไปถึงการทำสงครามระหว่างกัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่มีหรอกครับ เราจะสามารถรักษา หรือดูแลสถานการณ์ไม่ให้มันลุกลาม จะทำให้เป็นเรื่องที่จำกัดวงให้ได้และท่าทีของเราชัดเจนมาระยะหลังจะเห็นว่า เราไม่ได้มีการไปตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เราถือว่าเราได้วางความสัมพันธ์อยู่ในจุดที่เหมาะสม กับการกระทำที่เกิดขึ้น และจะไม่ไปตอบสนองต่อการยั่วยุในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้”

เมื่อถามว่า ดูเหมือนตอนนี้การยั่วยุจะรุนแรงมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่เป็นปัญหา รัฐบาลนี้คงไม่ไปเต้นตามจังหวะในเรื่องการยั่วยุทำให้เกิดปัญหามากขึ้นระหว่างสองประเทศ เมื่อถามว่าจะต้องการตรวจสอบในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของหน่วยงานของเขาอยู่แล้วในการตรวจสอบ

เมื่อถามว่า การนำเอาเรื่องนี้มาโหมโรง ก่อนที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะการชุมนุมแต่ละครั้ง พยายามที่จะเอาบางเรื่องขึ้นมาสร้างเป็นเงื่อนไข ในอดีตก็ทำกันมา ตนจำได้ เช่น เรื่องคลิปเสียง เรื่องอะไรๆ ต่อมาก็มีการพิสูจน์ว่า ไม่เป็นความจริง

เมื่อถามว่าสะท้อนได้ว่าการชุมนุมเดือนมกราคมนี้ อาจไม่สงบ และอาจจะรุนแรงกว่าเดือนเมษายน ปี 52 หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าเป็นอย่างไร เพราะแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน เช่น ครั้งที่ผ่านมาวันที่ 10 ธ.ค. เราก็ตรวจสอบดู ก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ใช้กฎหมายความมั่นคง ถ้าการชุมนุมครั้งไหนมีการข่าวว่า เราจะมีปัญหาเราก็ต้องเข้มในมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อย

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่ทุกครั้งมีการส่งสัญญาณอาจจะเกิดความรุนแรงกับประเทศมักมีการพูดถึงการเจรจาขึ้นมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คือมันอาจจะมีความคิดกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เอง หรือคนอื่นว่าการที่เอาความรุนแรงมาขึ้น เพื่อที่จะใช้เป็นอำนาจในการต่อรอง คิดในลักษณะนักต่อรองเพื่อผลประโยชน์ ก็อาจจะมีแนวคิดของคนรอบๆ ตัวก็เป็นได้ แต่ตนยืนยันว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวของตน หรือของรัฐบาล หรือใคร แต่เป็นเรื่องหลักของประเทศ และยิ่งไปทำความเสียหายกับประเทศยิ่งเป็นการปิดทางในการที่จะให้มันมีข้อยุติในเรื่องของการเจรจาหรืออะไรได้ ก็อยากให้ไปทบทวน ถ้าใครไปรับคำแนะนำจากใคร หรือมีกรอบความคิดอย่างนี้อยู่

เมื่อถามว่า นายกฯ ยืนยันว่าไม่มีการเอาเรื่องนี้มาต่อรอกันได้ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ไม่มี เพราะถ้าเราปล่อยให้การเอาความรุนแรง ความเสียหายต่อประเทศมาต่อรอง มันจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีอย่างยิ่ง ถ้าต่อไปในอนาคตกลายเป็นว่าใครทำความเสียหายให้กับประทศ ก็เลยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้อง

เมื่อถามว่าขณะนี้รัฐบาลปิดตายการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มันไม่มีอะไรปิดตาย แต่ปัญหาคือ จะเจรจาเรื่องอะไร ตนก็ยืนยันจุดยืนเดิมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องยอมรับระบบกฎหมายไทย และตนคิดว่าเมื่อไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับระบบกฎหมายไทยสังคมก็ให้อภัย

** “กษิต” รับเอกสารจริง แต่มั่วฆ่าแม้ว

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายกษิต ได้มาร่วมในพิธีเปิดงานเมืองแห่งภูมิปัญญาไทย ( OTOP CITY 2009 ) และให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเอกสารลับว่า เอกสารลับเป็นเอกสารของกระทรวงฯจริง ซึ่งเป็นเอกสารที่สรุปเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่ได้มีความคิดหรือความพยายามที่จะทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือประเทศกัมพูชา ตามที่มีการขยายผลอยู่ขณะนี้ ทั้งนี้ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็พูดแล้วว่ารัก พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าความสัมพันธ์ของไทย-กัมพูชา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเลวร้าย ที่มีการเอาเรื่องระหว่างประเทศมาเป็นเกมการเมืองภายใน ซึ่งเราก็ต้องต่อสู้กันต่อไป ไม่ว่าจะเล่นเกมกันแค่ไหน โดยจะยึดหลักความถูกต้อง

นายกษิต กล่าวว่า ในส่วนเรื่องการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ก็ต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาติดคุกก่อน ยืนยันไม่มีใครรังแกสมเด็จฮุนเซน และไม่มีใครบอกให้สมเด็จฮุนเซนตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษา แต่สมเด็จฮุนเซนแต่งตั้งเอง เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศจะสร้างบ้านพักในกัมพูชาติดกับสถานทูตไทย นายกษิต กล่าวว่า “จะสร้างที่ไหนก็สร้างไปเถอะ ไม่มีปัญหา”

**“สุเทพ” ซัด “ไอ้ตู่” สำคัญตัวเองผิด

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวา นายจตุพรเอาเรื่องราวที่กระทบกับความรู้สึกของประชาชนมาเขย่าอยู่เรื่อยและสื่อมวลชนก็อย่าไปใส่ใจมากนัก ขอยืนยันว่า ไม่มีจิตคิดร้ายต่อใครเป็นการส่วนตัว ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะไล่ล่า หรือสังหารอดีตนายกฯ ไม่ทำอะไรนอกกฎหมายโดยเด็ดขาด ส่วนการที่นายจตุพร ไปแปลความคำว่า ”ขจัด” ในเอกสารลับ ว่าเป็นการ “กำจัด” นั้น เชื่อว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศเข้าใจดีเรื่องนี้ เหมือนกับเรื่องก่อนๆ ที่เขาพยายามทำมาแล้ว ซึ่ง เป็นหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำให้กระจ่าง

"ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา มันยากอยู่แล้ว เพราะเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีแล้วไปปักหลักอยู่ที่กัมพูชา ใช้เป็นฐานบัญชาการเพื่อทำร้ายประเทศไทย ที่จริงเราต้องต่อว่ากัมพูชาว่า จริง ๆไม่ควรให้คนอย่างคุณทักษิณไปตั้งหลักตั้งฐานบัญชาการมาทำร้ายประเทศไทยด้วยซ้ำไป" นายสุเทพกล่าวและว่า ส่วนที่นายจตุพร โวยวายว่า ถูกรถปริศนา ทะเบียน จ.บุรีรัมย์ ตามประกบเพื่อลอบทำร้าย ระหว่างการไปปราศรัยที่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น นั้น "คุณจตุพรสำคัญตัวเองผิดไป ตามความคาดหมายของตัวเอง ผมไม่เชื่อ และผมไม่ทำ ไม่ใช่นิสัยผม ผม เล่นการเมืองมา 30 กว่าปี ไม่เคยทำร้ายใคร" นายสุเทพ กล่าว

**เปรียบไอ้ตู่ ออกญาจักรีเผาเมือง

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าพรรคได้วิเคราะห์หลายครั้งว่า ทุกครั้งที่เสื้อแดงจะชุมนุมจะสร้างประเด็นเพื่อให้มวลชนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ล่าสุดคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่ในช่วงเดือนม.ค. เพื่อแตกหักกับรัฐบาล จึงมีการเปิดเผยจดหมายลับของกระทรวงต่างประเทศ เมื่อดูเนื้อหาก็เป็นแค่การเสนอแนวทางการแก้ปัญหาของกระทรวงการต่างประเทศเป็นปกติ แต่คนของพรรคเพื่อไทย พยายามบิดเบือนตัดต่อ ตีความเพื่อเป็นไปตามที่ตัวเองจินตนาการ

“เรื่องนี้แค่เด็กอนุบาล ก็ยังอ่านเข้าใจ แต่การนายจตุพรนำไปบิดเบือน อยากถามว่า เคยเรียนภาษาไทยหรือเปล่า ร่วมทั้ง และเรียนการอ่านจับใจความในภาษาไทยบ้างหรือเปล่า ถึงแปลความไปในทางที่ผิด ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงขอเรียนไปนายจตุพร อย่านำประโยชน์ของชาติมาเป็นเกมการเมือง พฤติกรรรมทั้งหมดคนไทยเขารู้ทัน ผมไม่อยากบอกว่า การกระทำของนายจตุพร ทำตัวคล้าย ออกญาจักรี ที่เปิดประตูเมืองอยุธยา ให้พม่าเข้ามาเผาเมือง"

**โรคจิตหวาดระแวงถูกลอมฆ่า

ส่วนที่นายจตุพรมาท้าทายให้กระทรวงการต่างประเทศฟ้องนั้น ขอยืนยันว่า หากผิดกฎหมายจริง ก็จะดำเนินการ แต่คนที่เปิดเผยเรื่องนี้ต้องกล้ารับผิดชอบ ตามที่ระบุว่า ได้มาจากนายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ซึ่งตนได้ฟังการให้สัมภาษณ์มาจากนายสงวน ได้ตีกรรเชียงบอกว่ามีการส่งไปรษณีย์มาให้

"ขณะนี้แน่ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ นายจตุพร และคนในพรรคเพื่อไทย กำลังเกิดโรคจิตหวาดระแวง หรือโรคจิตเภท คิดว่าจะถูกคนลอบฆ่า ดูได้จากพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตเตอร์มาเป็นรายวันว่า จะถูกฆ่า ล่าสุดนายจตุพร ก็ออกมาระบุว่า ถูกไล่ล่าเอาชีวิต จึงขอแนะนำให้ให้คนในพรรคเพื่อไทย ไปตรวจสุขภาพจิตบ้าง" นายเทพไทกล่าวและว่า ส่วนที่ส.ส.เพื่อไทย ออกมายอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ประเทศกัมพูชา เป็นฐานปฏิบัติการทางการเมือง ยืนยันว่า มีความเป็นไปได้ที่จะใช้กัมพูชาเป็นวอร์รูม ล้มล้างรัฐบาล เพราะยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทยไม่เป็นผล เพราะต่างประเทศไม่ให้ความร่วมมือ

**"นช.ทักษิณ"ตั้งเงื่อนไขเรื่องคดีความ หาก"บิ๊กแอ้ด"อาสาเจรจาหย่าศึก

ขณะที่นช.ทักษิณยังโพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ โดยระบุถึงการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ฟังคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ แล้วไม่แน่ใจว่าออกมาพูดเองหรือได้รับอนุญาต วันนี้คนไทยขัดแย้งกันมากเกินไปแล้ว มาไกลมากกว่าการประนีประนอม และเกินกว่าจะเป็นเรื่องของตนเพียงคนเดียวแล้ว แม้ว่าตนเองอาจเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง แต่ขอให้ใจกว้างและมองภาพกว้างของความเกี่ยวพันในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ข้อความยังระบุว่า ผมคุยกับท่านในฐานะรุ่นน้องที่พูดกับรุ่นพี่ และเป็นพลร่มเหมือนกันในระหว่างที่พี่เป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 2 ครั้งว่า สมานฉันท์เปรียบเสมือนปรบมือข้างเดียวไม่ดัง

**พท.สุมไฟ! เอกสารลับบัวแก้วยันขัด รธน.- ระบุ"กษิต"ทำเกินอำนาจ

วันเดียวกันนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ อดีตปลัดกระทรวงแรงงานร่วมแถลงข่าว

นายยงยุทธ กล่าวว่า ทุกคนที่แถลงมีประสบการณ์ดำรงตำแหน่งถึงปลัดกระทรวง ได้วิเคราะห์เอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ ขอถามว่าทำขึ้นโดยถูกต้อง มีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเนื้อหาหนังสือระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยหลักคุกคามชาติ และประชาชนนั้น ข้อเท็จจริงไม่ใช่ แต่ภัยหลักที่กำลังคุกคามประชาชน คือ ความยากจน รวมทั้งปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้

**โวอ่านภาษาไทยแตกฉากกว่าใน ครม.

ขณะที่นายปลอดประสพ กล่าวว่า ที่นายกฯระบุว่าผู้ที่อ่านหนังสือฉบับดังกล่าว อ่านเข้าใจหรือไม่ มีจินตนาการของตัวเองหรือไม่ เราจะตอบสนองความต้องการของท่าน เป็นไปไม่ได้ที่อดีต 3 ปลัดกระทรวงจะอ่านหนังสือราชการไม่รู้เรื่อง เรา 3 คน อ่านหนังสือราชการเก่งกว่าทุกในครม.ก็แล้วกัน โดยเราได้วิเคราะห์รายละเอียดในหนังสือแล้ว ขอเตือนข้าราชการฝ่ายการเมืองหยุดดำเนินการที่ผิดกฎหมาย และขอเตือนข้าราชการประจำว่า ขออย่าปฏิบัติตามหนังสือดังกล่าว เพราะหนังสือดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมาย หากข้าราชการปฏิบัตตามจะมีความผิด และยังสะท้อนให้เห็นว่าการออกคำสั่งในหนังสือขาดด้อยเรื่องคุณธรรม จริยธรรม

นายปลอดประสพกล่าวด้วยว่ากรณีที่กระทรวงการต่างประเทศจะหาเอาผิดต่อข้าราชการที่เปิดเผยเอกสารลับนี้นั้น เห็นว่า ทุเรศ เพราะมันเขียนแบบนี้มาได้อย่างไรหากไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ขอฟันธงว่าคนที่นำมาเปิดเผย คือ คนที่ทำหนังสือฉบับนี้ เพื่อให้เห็นว่าเป็นผู้กำหนดนโยบายของประเทศไทย หากไม่จริงให้พูดมา ส่วนคนที่นำเอกสารมาให้เรามี 2 กลุ่ม คือ ฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายการเมือง

ด้านนายจารุพงษ์ กล่าวว่า หากกัมพูชาอ่านแล้วจะคิดอย่างไรต่อรมว.ต่างประเทศ เพราะท่าทีต่อกัมพูชาอันตรายมาก อีกทั้งนายกษิตบอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยคุกคามหลักที่จะมุ่งคุกคามความอยู่รอดของรัฐบาลอภิสิทธิ์ วิเคราะห์เอง เออเอง แก้ไขเอง แยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ หรือของนายกษิต หรือของนายอภิสิทธิ์ ถือเป็นอันตราย ที่มองเรื่องผลประโยชน์ของชาติและของพรรคเป็นเรื่องเดียวกัน

ส่วนที่ระบุให้เร่งรัดคดีต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยฉวยโอกาสบริหารจัดเรื่องในเรื่องเวลานั้น อยากถามว่าเป็นผลประโยชน์ต่อรัฐหรือนายอภิสิทธิ์กันแน่ ส่วนที่บอกจะขจัดภัยคุกคามหลักนั้น ขจัดแปลว่าอะไร ที่บอกว่าจะแยกหรือบันทอนความร่วามมือระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จอุนเซน นายกฯกัมพูชา แบบนี้ไปก้าวกายหรือไม่

**“นพดล”แฉ ขรก.บัวแก้วทน “กษิต”ไม่ได้

ขณะที่นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ และที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพ.ต.ท.ทักษิณ แถลงว่า เอกสารลับที่ส่งไปถึงนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่งานของรมว.ต่างประเทศที่จะใช้กระทรวงการต่างประเทศไปขจัดคู่แข่งทางการเมืองในประเทศ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ไม่ว่าจะเป็นลูกชาวบ้าน คนผู้ดีชั้นสูงเข้ามาเป็นรมว.ต่างประเทศ ไม่ว่าบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการ ไม่มีรมว.ต่างประเทศทำลายเกียรติยศของกระทรวงการต่างประเทศ และศักดิ์ศรีของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเท่ากับนายกษิต ข้าราชการระส่ำระสายกันมาก หลายคนไม่อยากทำงานในกระทรวง เพราะทนพฤติกรรมของรมว.ต่างประเทศไม่ได้

**ขู่เลิกตามไล่ล่านายใหญ่ได้แล้ว

นายนพดลกล่าวว่า ขอให้นายกษิตยุติพฤติกรรมทำลายเกียรติยศของกระทรวง และเลิกหมกมุ่นไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เช่นนั้นจะสร้างความเสียหายให้แก่กระทรวง ตนรู้ว่ามีข้าราชการที่เป็นลิ่งล้อของนายกษิตไม่กี่คน ที่ร่วมมืออยู่และมีรายชื่ออยู่ ขอให้ราชการส่วนนี้ยุติพฤติกรรมทั้งนี้ ตนรักเพื่อนข้าราชการ รักกระทรวงนี้ จะไม่ยอมให้รมว.ต่างประเทศที่คงอยู่มีเหตุผลเดียวคือ การไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ

**“ทักษิณ”พร้อมจับเข่าคุยสงบศึก

ทั้งนี้ ขอพูดในนาม พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2552 ได้โทรศัพท์คุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกรณีที่พล.อ.สุรยุทธ ระบุทำนองว่าพร้อมเป็นตัวกลางในการเจรจากับอดีตนายกฯ แต่พ.ต.ท.ทักษิณต้องโทรศัพท์มาก่อน เรื่องนี้ขอเรียนว่าเมื่อครั้งที่พล.อ.สุรยุทธ์เป็นนายกฯหลังการยึดอำนาจรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณไป พ.ต.ท.ทักษิณได้โทรศัพท์หาพล.อ.สุรยุทธ์ 2 ครั้ง คือ พร้อมรวมมือพูดคุยกับฝ่ายต่างๆในสังคมที่สุมหัวหรือร่วมมือกันยึดอำนาจ แต่ต้องไม่มีการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง ได้ย้ำกับพล.อ.สุรยุทธ์ในตอนนั้นว่า การปรบมือต้องปรบมือ 2 ข้างถึงจะดัง การพูดคุยต้องคุยทั้ง 2 ฝ่ายด้วยความจริงใจ ตรงนี้อยากย้ำเตือนความทรงจำของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่เสนอเป็นตัวกลาง พ.ต.ท.ทักษิณยินดีที่จะพูดคุย

**แบะท่าเปิดช่องติดต่อเจรจา

นายนพดลกล่าวว่า มีข้อแม้ว่าการพูดคุยต้องจริงจัง และจริงใจ หากมาแสดงยืนไมตรีมากอย่างไม่จริงใจแล้ว หากไม่รีบพูดคุยกัน มีสุภาษิตที่ฝากไปถึงฝ่ายอำมาตย์ว่า ถ้าไม่มีความยุติธรรม ความยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด และตราบใดเรายังใช้ 2 มาตรฐาน บ้านเมืองก็จะแตกแยก พ.ต.ท.ทักษิณจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัย เพราะบ้านเมืองสงบสุข ทุกคนเดินหน้าต่อไปได้ ตอนนี้พล.อ.สุรยุทธ์พูดชัดเจนว่าบ้านเมืองแตกแยก มีปัญหาทางการเมือง ต้องหาทางออก

**ยื่นเงือนไข 3 ข้อหารือบนโต๊ะ

นายนพดล กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมเพราะไม่มีที่ไหนในโลกที่จะเอาศัตรูมาสอบอีกฝ่ายหนึ่ง และคดีนี้เกิดขึ้นหลังยึดอำนาจที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย ถ้าเจรจาพูดคุยกันได้ มีทางออกทุกฝ่ายยอมรับ มี 3 ข้อต้องจำเป็นอยู่ในการจเรจาด้วย คือ 1. มีรัฐธรรมนูญ 2540 หรือมีเนื้อหาใกล้เคียงมาประกาศใช้ 2.ยุบสภา และ 3.มีการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งทุกฝ่ายทุกสีต้องให้สัตยบรรณร่วมกันว่า ต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และไม่ไปดำเนินการใดๆนอกสภาที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการบริหารประเทศเดินไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมันก็วนกลับมาเหมือนเดิมใช้หรือไม่

“ตอนนี้เป็นคุกรุ่นทางการเมือง มันเหมือนภูเขาไฟที่รอวันระเบิด เหมือนระเบิดเวลาที่รอระเบิด ขอเตือนรัฐบาลอีกนิดว่า อย่าประเมินศักยภาพของฝ่ายที่รักประชาธิปไตยต่ำเกินไป เพราะการกดขี่ขมเหงที่รัฐบาลทำทุกวี่ทุกวัน มันเป็นการเพิ่มกระแสพลังของฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตย ให้มีมากขึ้น”นายนพดลกล่าว เมื่อถามว่าผลการเจรจาสำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยุติบทบาททางการเมือง นายนพดลตอบว่า อย่าลืมท่านบอกว่าไม่ประสงค์จะกลับมาเป็นนายกฯ ท่านไม่ใช่เด็กดื้อ เป็นผู้ใหญ่ที่รับฟัง พร้อมที่จะคุยกับทุกฝ่ายหาทางออกให้บ้านเมือง

**กมธ.ต่างประเทศ บรรจุเอกสารลับเป็นญัตติ

ด้านนายต่อพงษ์ ไชยสาสน์ ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวชมเชยความกล้าหาญของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่ได้เปิดเอกสารดังกล่าว โดยกรรมาธิการการต่างประเทศจจบรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาว่า เอกสารดังกล่าวที่ออกมาเหมาะสมหรือไม่.
กำลังโหลดความคิดเห็น