สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ทำโรดแม็พ ดันไทยเป็นฮับไลฟ์สไตล์ของอาเซียน ชี้ผ้ประกอบการไทยต้อปรับตัวพร้อมรับอาฟต้า แนะรุกตลาดส่งออก สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีน อินเดีย
นายสมชาย ธนพลเกียรติ นายกสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ในวันที่ 1 มกราคม 2553 นโยบายเขตการค้าเสรีอาเชียนหรืออาฟต้า ที่ภาษีนำเข้าจะลดเหลือ 0% มีผลบังคับใช้นั้น จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการของไทยในธุรกิจสินค้าๆไลฟ์สไตล์ที่จะมีโอกาสในการรุกตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเขตอาเชียนนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยเองก็ควรที่จะมีการปรับตัวและเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้มากขึ้นด้วย เพื่อสร้างพลังในการแข่งขันกับต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อให้เป็นการสูญเสียโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นที่อาจจะมีบางประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าของไทยที่จะชูความได้เปรียบตรงนี้ในการทำตลาด
ทั้งนี้ตลาดที่มีศักยภาพมากและเป็นตลาดที่น่าสนใจซึ่งประชาชนมีอำนาจในการซื้อสูงมาก คือ สิงคโปร์ กับอินโดนีเซีย ส่วนตลาดประเทศจีนกับอินเดียนั้น ก็เป็นตลาดที่ผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้ามเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ยากและมีการแข่งขันที่หลากหลายก็ตาม แต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการของไทยสามารถไปแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้เพียงแค่ 5% ก็ถือว่ามากแล้ว สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยได้มาก
นอกจากนั้นแล้วประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางหรือฮับ ของตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคนี้ด้วย โดยเฉพาะการที่ไทยจัดงานBIG & BIH ที่จะผลักดันให้สู่ความเป็นงานนานาชาติ โดยการจัดงานแต่ละครั้งนั้นมีการซื้อขายรวมการส่งออกไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้จะมีการติดลบที่ 6% ก็ตาม แต่คาดว่าการผลักดันของสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์จะทำให้กลับมาเติบโตได้อีกที่ 3%
ด้านนายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า สมาพันธ์ฯดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันของสมาคมฯทั้ง 7 แห่งที่เกี่ยวกับสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งขณะนี้ สมาพันธ์ฯอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บท (Road Map)ที่จะเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุก ที่จะกำหนดทิศทางและรูปแบบการบุกตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)ของสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย เพื่อเสนอให้กับรัฐบาลเข้ามาสนับสนุน ซึ่งก่อนหน้านี้สมาพันธ์ฯเคยหารือกับทางกระทรวงพาณิชย์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง
ในเบื้องต้นนี้สมาพันธ์ฯได้ย้ายงานบิ๊กแอนด์บี(BIG&BIH)หรือ งานแสดงของขวัญ ของชำร่วย ของตกแต่งบ้าน ที่จัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ที่เดิมจัดที่อิมแพ็คเมือทองธานี ย้ายไปจัดที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา ซึ่งจะเป็นการโชว์ศักยภาพของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ขณะที่นายชูชาติ ผลวิวัฒน์ กรรมการสมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย หนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์ฯ เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้ส่งออกหลักของภูมิภาคนี้ หลังจากที่อาฟต้ามีผลบังคับใช้ ซึ่งแต่เดิมไทยกับมาเลเซียก็เป็นฐานผลิตเครื่องเขียนที่สำคัญในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ขณะที่จีนกับอินเดียคงไม่ได้รับผลดีจากอาฟต้ามากเท่าใดนัก
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดในประเทศหดตัวเล็กน้อย และคาดว่าช่วงปีใหม่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากสัญญาณบวกด้านเศรษฐกิจ ส่วนการส่งออกเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่องแล้ว โดยคาดว่าทั้งปียอดส่งออกเท่ากับปีก่อน
นายสมชาย ธนพลเกียรติ นายกสมาคมผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แนวดีไซน์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ในวันที่ 1 มกราคม 2553 นโยบายเขตการค้าเสรีอาเชียนหรืออาฟต้า ที่ภาษีนำเข้าจะลดเหลือ 0% มีผลบังคับใช้นั้น จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการของไทยในธุรกิจสินค้าๆไลฟ์สไตล์ที่จะมีโอกาสในการรุกตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในเขตอาเชียนนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยเองก็ควรที่จะมีการปรับตัวและเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจให้มากขึ้นด้วย เพื่อสร้างพลังในการแข่งขันกับต่างประเทศ อีกทั้งเพื่อให้เป็นการสูญเสียโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นที่อาจจะมีบางประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าของไทยที่จะชูความได้เปรียบตรงนี้ในการทำตลาด
ทั้งนี้ตลาดที่มีศักยภาพมากและเป็นตลาดที่น่าสนใจซึ่งประชาชนมีอำนาจในการซื้อสูงมาก คือ สิงคโปร์ กับอินโดนีเซีย ส่วนตลาดประเทศจีนกับอินเดียนั้น ก็เป็นตลาดที่ผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้ามเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ยากและมีการแข่งขันที่หลากหลายก็ตาม แต่ก็เป็นตลาดที่ใหญ่ ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการของไทยสามารถไปแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้เพียงแค่ 5% ก็ถือว่ามากแล้ว สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยได้มาก
นอกจากนั้นแล้วประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางหรือฮับ ของตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในภูมิภาคนี้ด้วย โดยเฉพาะการที่ไทยจัดงานBIG & BIH ที่จะผลักดันให้สู่ความเป็นงานนานาชาติ โดยการจัดงานแต่ละครั้งนั้นมีการซื้อขายรวมการส่งออกไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้จะมีการติดลบที่ 6% ก็ตาม แต่คาดว่าการผลักดันของสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์จะทำให้กลับมาเติบโตได้อีกที่ 3%
ด้านนายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ เปิดเผยว่า สมาพันธ์ฯดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันของสมาคมฯทั้ง 7 แห่งที่เกี่ยวกับสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งขณะนี้ สมาพันธ์ฯอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บท (Road Map)ที่จะเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุก ที่จะกำหนดทิศทางและรูปแบบการบุกตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)ของสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทย เพื่อเสนอให้กับรัฐบาลเข้ามาสนับสนุน ซึ่งก่อนหน้านี้สมาพันธ์ฯเคยหารือกับทางกระทรวงพาณิชย์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง
ในเบื้องต้นนี้สมาพันธ์ฯได้ย้ายงานบิ๊กแอนด์บี(BIG&BIH)หรือ งานแสดงของขวัญ ของชำร่วย ของตกแต่งบ้าน ที่จัดขึ้นช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ที่เดิมจัดที่อิมแพ็คเมือทองธานี ย้ายไปจัดที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา ซึ่งจะเป็นการโชว์ศักยภาพของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ขณะที่นายชูชาติ ผลวิวัฒน์ กรรมการสมาคมเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานไทย หนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์ฯ เปิดเผยว่า ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้ส่งออกหลักของภูมิภาคนี้ หลังจากที่อาฟต้ามีผลบังคับใช้ ซึ่งแต่เดิมไทยกับมาเลเซียก็เป็นฐานผลิตเครื่องเขียนที่สำคัญในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว ขณะที่จีนกับอินเดียคงไม่ได้รับผลดีจากอาฟต้ามากเท่าใดนัก
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดในประเทศหดตัวเล็กน้อย และคาดว่าช่วงปีใหม่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากสัญญาณบวกด้านเศรษฐกิจ ส่วนการส่งออกเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาต่อเนื่องแล้ว โดยคาดว่าทั้งปียอดส่งออกเท่ากับปีก่อน
