แพรนด้าฯ มั่นใจยอดขายทั้งปีโตได้ 8%จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.36 พันล้านบาท แม้ไตรมาสแรกยอดขายลดฮวบ 12% เป็นผลจากค่าเงินบาทแข็งและพิษซับไพร์ม เผยบริษัทฯวางแผนกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดภูมิภาคอื่นๆที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะจีนและอินเดียจะเป็นตลาดสำคัญในอนาคต ยอมรับไตรมาส 2 รายได้จากตลาดสหรัฐฯลด 15% แต่ตลาดอื่นๆ ยังดี ส่งผลให้ผลดำเนินงานใกล้เคียงปีที่แล้ว
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกดั (มหาชน) (PRANDA) เปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 8% จากปีที่แล้วมียอดขายรวม 4.36 พันล้านบาท เนื่องจากมีการกระจายความเสี่ยงทางการตลาดโดยขยายฐานการตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการเปิดตลาดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตทางทางเศรษฐกิจสูง และวางฐานการจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้าตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดียและจีน ขณะที่ราคาทองคำได้เริ่มปรับตัวลงในช่วงนี้ทำให้มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มเข้ามา และจาก การประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานสาขาในต่างประเทศยังยืนยันเป้าหมายการขายโดยไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส1/2550 บริษัทฯจะมีรายได้จากการขาย 1.01 พันล้านบาท ลดลง 12% ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 9% ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 69 ล้านบาท รวมทั้งการชะลอตัวของตลาดสหรัฐฯเนื่องจากวิกฤติซับไพร์ม แต่บริษัทฯยังมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 35% โดยปีนี้คาดว่าจะคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้ระดับนี้ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตลาดแบรนด์สินค้าของบริษัทเองเป็นสำคัญ
โดยปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในตลาดจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากและมีอัตราการบริโภคเครื่องประดับและอัญมณีสูง ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตทั้ง 2 ตลาดนี้จะใหญ่กว่าตลาดสหรัฐฯที่ปัจจุบันมีสัดส่วนคิดเป็น 40%ของยอดส่งออกรวม โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้จากตลาดอินเดียไว้ 6-8 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีถัดไปจะเพิ่มเป็น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดจีนจะมีการลงทุนช็อปจำหน่ายสินค้าของตนเอง โดยปี51 คาดว่าจะมี 10 แห่งและปีถัดไปเพิ่มเป็น 20 แห่ง รวมทั้งมีการขยายสู่แฟรนด์ไชน์เป็น 30 แห่งโดยจะบุกตลาดที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมปีนี้ 1 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 2-3ล้านเหรียญสหรัฐ
" ปัจจุบัน บริษัททำตลาดเครื่องประดับเงินในจีน เนื่องจากตลาดเครื่องประดับทองติดปัญหาด้านภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เชื่อว่าหลังปี 2553 จะสามารถบุกตลาดกลุ่มเครื่องประดับทองได้ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ทำให้ภาษีนำเข้าเหลือ 0% ซึ่งจะทำให้มูลค่าตลาดในจีนขยายตัวมากขึ้น "นางสุนันทากล่าว
นางสุนันทา กล่าวว่าปัญหาซับไพร์มทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวทำให้ลูกค้าระมัดระวังการใช้จ่าย ทำให้ยอดสั่งซื้อในช่วงไตรมาส 2 นี้ลดลง 15% แต่บริษัทฯคงเป้าหมายยอดขายในตลาดสหรัฐฯเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯเป็นเครื่องประดับอัญมณีที่มีราคาไม่สูงมากนักและมีการผลิตจำนวนมากทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ โดยฐานลูกค้าเป็นคนชั้นกลาง จึงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก ขณะที่ตลาดในสหภาพยุโรปก็ขยายตัวในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 35% ของยอดขายรวม ขณะที่ตลาดเอเชียมีสัดส่วน 25% ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2ปีนี้คงไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว
สำหรับ การลงทุนในปีนี้จะใช้เงินประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะลงทุนเครื่องจักรในโรงงานที่กวางเจาประมาณ 40-50 ล้านบาท และที่เหลือจะลงทุนด้านการตลาดในการทำแบรนด์สินค้าตนเอง
ขณะที่ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ พบว่า มีมูลค่าการส่งออก1.91 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 85% เนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ มีผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยมีการออกบูธงานแฟร์ต่างๆทำให้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามา รวมทั้งราคาวัตถุดิบปรับขึ้น อาทิ ทองคำปรับราคาขึ้น 50% และโลหะเงินปรับขึ้น 35% แต่เชื่อว่าในไตรมาส 2 นี้ อัตราการขยายตัวการส่งออกจะต่ำกว่าไตรมาส 1/2551 ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่จะขยับตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ดังนั้นในปีนี้ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะส่งออกเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15%ของปีก่อนที่มียอดส่งออกรวม 5.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกดั (มหาชน) (PRANDA) เปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 8% จากปีที่แล้วมียอดขายรวม 4.36 พันล้านบาท เนื่องจากมีการกระจายความเสี่ยงทางการตลาดโดยขยายฐานการตลาดไปยังภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการเปิดตลาดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตทางทางเศรษฐกิจสูง และวางฐานการจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้าตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะอินเดียและจีน ขณะที่ราคาทองคำได้เริ่มปรับตัวลงในช่วงนี้ทำให้มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มเข้ามา และจาก การประชุมร่วมกับผู้บริหารสำนักงานสาขาในต่างประเทศยังยืนยันเป้าหมายการขายโดยไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส1/2550 บริษัทฯจะมีรายได้จากการขาย 1.01 พันล้านบาท ลดลง 12% ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 9% ทำให้บริษัทฯประสบปัญหาการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 69 ล้านบาท รวมทั้งการชะลอตัวของตลาดสหรัฐฯเนื่องจากวิกฤติซับไพร์ม แต่บริษัทฯยังมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 35% โดยปีนี้คาดว่าจะคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้ระดับนี้ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตลาดแบรนด์สินค้าของบริษัทเองเป็นสำคัญ
โดยปีนี้บริษัทจะให้ความสำคัญในตลาดจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากและมีอัตราการบริโภคเครื่องประดับและอัญมณีสูง ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตทั้ง 2 ตลาดนี้จะใหญ่กว่าตลาดสหรัฐฯที่ปัจจุบันมีสัดส่วนคิดเป็น 40%ของยอดส่งออกรวม โดยบริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้จากตลาดอินเดียไว้ 6-8 ล้านเหรียญสหรัฐ และปีถัดไปจะเพิ่มเป็น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดจีนจะมีการลงทุนช็อปจำหน่ายสินค้าของตนเอง โดยปี51 คาดว่าจะมี 10 แห่งและปีถัดไปเพิ่มเป็น 20 แห่ง รวมทั้งมีการขยายสู่แฟรนด์ไชน์เป็น 30 แห่งโดยจะบุกตลาดที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมปีนี้ 1 ล้านเหรียญสหรัฐเป็น 2-3ล้านเหรียญสหรัฐ
" ปัจจุบัน บริษัททำตลาดเครื่องประดับเงินในจีน เนื่องจากตลาดเครื่องประดับทองติดปัญหาด้านภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เชื่อว่าหลังปี 2553 จะสามารถบุกตลาดกลุ่มเครื่องประดับทองได้ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ทำให้ภาษีนำเข้าเหลือ 0% ซึ่งจะทำให้มูลค่าตลาดในจีนขยายตัวมากขึ้น "นางสุนันทากล่าว
นางสุนันทา กล่าวว่าปัญหาซับไพร์มทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวทำให้ลูกค้าระมัดระวังการใช้จ่าย ทำให้ยอดสั่งซื้อในช่วงไตรมาส 2 นี้ลดลง 15% แต่บริษัทฯคงเป้าหมายยอดขายในตลาดสหรัฐฯเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯเป็นเครื่องประดับอัญมณีที่มีราคาไม่สูงมากนักและมีการผลิตจำนวนมากทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ โดยฐานลูกค้าเป็นคนชั้นกลาง จึงไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก ขณะที่ตลาดในสหภาพยุโรปก็ขยายตัวในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 35% ของยอดขายรวม ขณะที่ตลาดเอเชียมีสัดส่วน 25% ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2ปีนี้คงไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว
สำหรับ การลงทุนในปีนี้จะใช้เงินประมาณ 100 ล้านบาท โดยจะลงทุนเครื่องจักรในโรงงานที่กวางเจาประมาณ 40-50 ล้านบาท และที่เหลือจะลงทุนด้านการตลาดในการทำแบรนด์สินค้าตนเอง
ขณะที่ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 3 เดือนแรกปีนี้ พบว่า มีมูลค่าการส่งออก1.91 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 85% เนื่องจากไตรมาสแรกปีนี้ มีผู้ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยมีการออกบูธงานแฟร์ต่างๆทำให้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามา รวมทั้งราคาวัตถุดิบปรับขึ้น อาทิ ทองคำปรับราคาขึ้น 50% และโลหะเงินปรับขึ้น 35% แต่เชื่อว่าในไตรมาส 2 นี้ อัตราการขยายตัวการส่งออกจะต่ำกว่าไตรมาส 1/2551 ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่จะขยับตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ดังนั้นในปีนี้ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจะส่งออกเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15%ของปีก่อนที่มียอดส่งออกรวม 5.38 พันล้านเหรียญสหรัฐ