รมช.คลัง ยืนยันไม่ลดภาษีนำเข้าอาหารสัตว์ จาก 4% เหลือ 0% ตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนน้ำมันพืช ทำให้ราคาแพงขึ้นอีก 4-5 บาท/ขวดลิตร และทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี
วันนี้(31 มี.ค.) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในโอกาสพบปะสื่อมวลชนและพูดคุยถึงนโยบายการทำงาน หลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ กว่า 2 เดือน โดยเฉพาะความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาราคาหมูแพง หลังจากภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลปรับลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง เพื่อเป็นการลดต้นทุน โดยระบุว่า กระทรวงการคลังได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามพบว่า ปัจจุบันไทยนำเข้ากากถั่วเหลืองประมาณ 2 ล้านตันต่อปี ขณะที่ผลิตในประเทศเพียง 800,000 ตันต่อปี โดยผู้ผลิตส่วนใหญ่มีรายได้ 2 ทาง คือจากการผลิตน้ำมันพืชและจำหน่ายกากถั่วเหลือง ซึ่งหากรัฐบาลปรับลดภาษีนำเข้ากากถั่วเหลืองลงจากร้อยละ 4 เหลือร้อยละ 0 จะทำให้กากถั่วเหลืองมีราคาถูกลงจริง แต่ผู้ประกอบการจะต้องเพิ่มรายได้ในส่วนการผลิตน้ำมันพืช ส่งผลให้ราคาน้ำมันพืชแพงขึ้นอีกขวดละประมาณ 4 – 5 บาท ซึ่งถือว่าไม่คุ้มกัน
ขณะเดียวกันการลดภาษีดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 800 ล้านบาท แต่ข้อสรุปจะเป็นในแนวทางใด คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกระทรวงพาณิชย์
ส่วนงานที่กำกับดูแลในสังกัดกระทรวงการคลัง หลังเดินทางตรวจเยี่ยมทั้ง 7 แห่ง (ได้แก่ กรมสรรพากร กรมศุลกากร ธนาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(บตท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) )แล้ว พบว่า ทุกหน่วยงานที่เยี่ยมชมมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องปรับปรุงด้านประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ทั้งนี้ กรมสรรพากรและกรมศุลกากรจะต้องจัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปถึง 42,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปี หลังที่นิติบุคคลเสียภาษีน้อยลงแล้วจะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นรัฐบาลสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ส่วนการเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงิน ยืนยันว่า ขณะนี้มีข้อมูลครบแล้ว จะสามารถสรุปได้ภายในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายนนี้ แน่นอน