xs
xsm
sm
md
lg

จารกรรมในเขมร ลงเอย โดย “รู้ทันทักษิณ”

เผยแพร่:   โดย: ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

วันนี้ 14 ธันวาคม 2552 จะมีพิธีปล่อยตัวจารชน ซึ่งเป็นวิศวกรชาวไทย “ศิวรักษ์ ชุติพงศ์” ที่ถูกกล่าวหาว่านำความลับตารางการบินของนายทักษิณ ชินวัตร ไปให้รัฐบาลไทย

“เพื่อไทย” ภูมิใจเสนอ ฉากสุดท้ายของพิธีปล่อยตัว “จารชน” ซึ่งคงจะมีนายทักษิณ ชินวัตร หรือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ยกโขยงไปเข้าฉากร่วมกับ “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ละครลวงโลก
หรือปาหี่ฉากนี้ กำลังจะปิดฉากด้วยข้อกังขาของผู้ติดตามข่าว ดังนี้

1) ทำไม... “ฮุนเซน” ประกาศว่า “ศิวรักษ์” เป็นจารชน จารกรรมข้อมูลตารางการบินที่อ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและทำผิดกฎหมาย

แต่... เมื่อแม่ของจารชน คือ “นางสิมารักษ์ ณ นครพนม” เดินทางไปเยี่ยมบุตรชาย “ฮุนเซน” กลับส่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกของกัมพูชา ไปคอยดูแลต้อนรับอย่างดี?

2) ทำไม... เมื่อแรกที่นายศิวรักษ์ถูกกัมพูชาจับ นางสิมารักษ์ผู้เป็นแม่ถึงกับคร่ำครวญว่าลูกชายเป็นหอบหืด เกรงว่าจะหยุดหายใจ เหมือนพ่อที่เสียชีวิตเพราะโรคไหลตาย

แต่... ต่อมา เมื่อรัฐบาลไทยจะยื่นขอประกันตัวลูกชายออกจากคุกกัมพูชา นางสิมารักษ์ผู้เป็นแม่กลับขอให้รัฐบาลไทยถอนประกัน โดยไม่เกรงว่าลูกชายจะหยุดหายใจ หรือเสียชีวิตในคุก อ้างแค่ว่าต้องการให้คดีจบไวๆ ทั้งๆ ที่ ในความเป็นจริง การประกันตัวกับเรื่องคดีจบไว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย

3) ทำไม... พรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ชินวัตร ออกมาสนับสนุนข้อกล่าวหาของ “ฮุนเซน” ว่านายศิวรักษ์ร่วมมือกับทางการไทย จารกรรมข้อมูลอันจะเป็นภัยต่อนายทักษิณ

แต่... พรรคเพื่อไทย พลพรรคเสื้อแดง พลเอกชวลิต และนายทักษิณ ต่างดูแลแม่ของจารชนอย่างดีเยี่ยม ออกข่าวใหญ่โตว่าจะสามารถช่วยให้จารชนพ้นโทษได้

4) ทำไม... นางสิมารักษ์ ผู้เป็นแม่ ขอเปลี่ยนตัวทนายความ จากนายเกา โสภา ที่เป็นทนายสิทธมนุษยชนระดับแนวหน้าในกัมพูชา มีความกล้าต่อกรกับ “ฮุนเซน” ในกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลไทยช่วยจัดหาและออกค่าใช้จ่ายให้ มาเป็นทนายที่ตนเองก็ไม่เคยพบ ไม่รู้จักมาก่อน เพียงแต่ให้สัมภาษณ์ว่าเพื่อนของลูกแนะนำให้เท่านั้น

ขณะที่นายเกา โสภา ทนายคนแรก ประกาศเอาจริงเอาจังกับการต่อสู้คดี ว่าตารางการบินเป็นข้อมูลที่เปิดเผย ไม่ใช่ข้อมูลลับ สาธารณะก็ล่วงรู้ข้อมูลตารางการบินพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการบินพาณิชย์ประจำทาง หรือเช่าเหมาลำก็ตาม และกำลังต่อสู้ด้วยความแข็งขันว่าข้อมูลที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้างว่าได้จากการดักฟังโทรศัพท์สถานทูตไทยในกัมพูชา เป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายกัมพูชา และศาลจะไม่รับฟังพยานหลักฐานที่ผิดกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้หรือไม่ นางสิมารักษ์จึงประสงค์จะเปลี่ยนตัวทนายความ โดยคำแนะนำของใครบางคน ?


5) ทำไม... นางสิมารักษ์และโฆษกพรรคเพื่อไทย จึงให้สัมภาษณ์เหมือนล่วงรู้คำพิพากษาล่วงหน้า ก่อนคำตัดสินของศาลที่จะออกมาในวันที่ 8 ธ.ค. 2552?

และได้เตรียมขอพระราชทานอภัยโทษ โดยความร่วมมือของพลเอกชวลิตและทนายคนใหม่ ทำไมไม่คิดจะอุทธรณ์ต่อศาล เพื่อต่อสู้ให้พ้นผิด เพราะนางน่าจะเชื่อว่าลูกชายของนางเป็นผู้บริสุทธิ์ตามคำให้การของนายศิวรักษ์

แต่ทำไม นางจึงเลือกวิ่งเต้นให้พ้นโทษ โดยรับผิดแห่งการกระทำของลูกชาย?

6)
ทำไม... “พรรคเพื่อไทย” จึงมอบหมายให้ “เด็จพี่” พร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ เป็นหัวหน้าคณะที่จะไปยื่นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษกับฮุนเซน และได้เปลี่ยนใจว่าจะไปยื่นที่สถานทูตกัมพูชาในประเทศไทย ในวันที่ 11 ธ.ค. แทน

แต่แล้ว... รัฐมนตรีข่าวสารของกัมพูชา นายเขียว กันหะริด ก็ได้ให้สัมภาษณ์ในช่วงเช้าวันที่ 11 ธ.ค.2552 ว่านายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ตามคำขอจากครอบครัวและนายเขียว สัมโบ ทนายความของนักโทษ และจะมอบตัวให้มารดาของนายศิวรักษ์ วันที่ 14 ธ.ค. 2552 ทำให้ “เด็จพี่” ยื่นหนังสือกับสถานทูตกัมพูชาในประเทศไทยไม่ทัน

7)
ทำไม... ทางการกัมพูชาจึงได้ประกาศว่า ในการส่งมอบตัวนายศิวรักษ์ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา “ฮุนเซน” จะเป็นคนส่งมอบตัวให้กับให้กับมารดาของจารชนด้วยตนเอง และจะมีผู้แทนพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมทั้งพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เข้าร่วมพิธีด้วย?

บทวิเคราะห์

หากจะวิเคราะห์โดยยึดหลักสมมติฐานว่า

นายกรัฐมนตรี “ฮุนเซน” เป็นคนมีเหตุมีผล ไม่กลับกลอก
นางสิมารักษ์ เป็นคนรักลูก ห่วงลูก และมีเหตุมีผลเช่นกัน
พลพรรคเพื่อไทย เป็นผู้จงรักภักดีกับทักษิณ และมีเหตุมีผล
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อดีต ผบ.ทบ. ผู้รักชาติบ้านเมือง ไม่เลอะเทอะ
และนายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็น “อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หวังดีต่อประเทศไทย


หากสมมติฐานเหล่านี้ เป็นจริง จะเห็นว่า เหตุการณ์ 7 ข้อข้างต้นนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย!

ยกเว้นว่า ทั้งหมด คือ ละคร ลิเก หรือปาหี่

ที่มีการวางบทบาทให้ตัวละครหลัก คือ นางสิมารักษ์ ณ นครพนม เป็นตัวหลักในการเดินเรื่อง

นายนพดล ปัทมะ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ เป็นตัวประกอบหลัก เพื่อเสริมบท (แต่ก็ยังอุตส่าห์แย่งชิงบทกันเองให้เห็นอยู่บ้าง)

“ฮุนเซน” – “พลเอกชวลิต” – “นายทักษิณ” เป็นตัวประกอบ และผู้ช่วยอยู่หลังฉาก โดยความช่วยเหลือของ “เจ๊แดง” ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยาวนานกับ “บริษัทสามารถฯ”


บทละครนี้ กำลังจะปิดฉากในวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค.นี้ ลงเอยอย่างที่ไม่เป็นไปตามที่ผู้เขียนบทต้องการ เพราะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ไม่บ้าจี้ตามบทของคณะละครเกรดต่ำ !

แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของไทย วางบทบาทของตนเองไว้ในฐานะผู้นำประเทศที่ใจดี โดยปล่อยให้คนเล่นบทแม่ต้องตัดสินใจเดินเรื่องเอาเอง แต่แสดงความพร้อมที่จะยื่นมือช่วยเหลือเต็มที่ในทุกการตัดสินใจหรือทุกทางเลือกที่นางตัวแม่เป็นคนเลือกเอง ไม่ว่าจะเป็นการขอประกันตัว การจัดหาทนายความ การอุทธรณ์ หรือแม้แต่การจะขออภัยโทษ ฯลฯ

แถมนายกฯ ไทยยังไม่เต้นตาม “ฮุนเซน” ที่พยายามจะดึงเอาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้าไปผูกเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ฮุนเซนพยายามต่อรองขอให้ส่งทูตไทยกลับไปประจำอยู่กัมพูชา เพื่อแลกกับการจะขอรับเงินกู้ช่วยเหลือจากไทย พ่วงกับการเป็นเงื่อนไขของการพบปะเจรจาเมื่อครั้งพบกันที่งานกีฬาซีเกมส์ในประเทศลาว

รัฐบาลไทยสามารถแยกแยะลำดับเรื่องการดำเนินนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภาพรวม ออกจากละครเรื่องนี้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ โดยไม่เอาเรื่องระดับชาติเข้ามาเป็นเบี้ยให้กับละครเรื่องนี้

สุดท้าย... ละครเรื่องนี้ ความก็เลยแตก!

คนดูรู้ทัน!

ลงเอยด้วยการที่ลูกชายของนางติดคุกฟรีหลายวัน แถมมีประวัติอาชญากรรมติดตัวไปตลอดชีวิต

สงสารแต่คนที่ไม่ “รู้ทันทักษิณ”

กำลังโหลดความคิดเห็น