อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
กรณี “ศิวรักษ์ ชุติพงษ์” ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ดูเหมือนว่าน่าจะจบแล้ว แต่ทางพรรคเพื่อไทยเหมือนไม่อยากให้จบ โดยพยายามขยายผลจี้ให้เอาผิด “คำรบ ปาลวัฒน์วิไชย” เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชา ผู้โทร.หานายศิวรักษ์เพื่อถามเที่ยวบินทักษิณ ไม่เท่านั้น เพื่อไทยยังพยายามนำกรณีกษัตริย์กัมพูชาพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ มาผูกโยงเปรียบเทียบชี้นำว่า “ทักษิณ” ควรได้รับพระราชทานอภัยโทษจากคดีต่างๆ เช่นกัน เพื่อความสมานฉันท์ปรองดอง ทั้งที่ทั้ง 2 กรณีนอกจากไม่อาจเทียบกันได้แล้ว กรณีศิวรักษ์ยังถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจัดฉากของคนบางคนบางพรรคอีกด้วย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า กรณีที่กัมพูชาจับกุมและในที่สุดก็ปล่อยนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยในกัมพูชา ด้วยการพระราชทานอภัยโทษ หลังศาลกัมพูชาตัดสินลงโทษจำคุก 7 ปี ฐานจารกรรมข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ นั้น เป็นแค่เรื่องบังเอิญที่ถูกจับได้ และเป็นเหยื่อของขบวนการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอ้าง หรือแท้จริงแล้ว เป็นเหยื่อของการจัดฉากของ พ.ต.ท.ทักษิณกันแน่ เพราะมีพิรุธหลายจุดให้สงสัยว่า งานนี้อาจเป็นเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เพราะท่าทีของนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดาของนายศิวรักษ์ เริ่มกลายเป็นเรื่องทางการเมืองหลังจากเธอได้ปฏิสัมพันธ์และขอความช่วยเหลือจาก พ.ต.ท.ทักษิณ-พล.อ.ชวลิต และพรรคเพื่อไทย จึงไม่แปลกที่กรณีนายศิวรักษ์จะถูกมองว่าเป็นเกมที่ถูกจัดวางเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้หน้า ได้โชว์ศักยภาพ และขณะเดียวกันก็หวังผลดิสเครดิตรัฐบาลไทยของนายอภิสิทธิ์
พิรุธของนางสิมารักษ์ มารดานายศิวรักษ์ที่ถูกตั้งข้อสังเกต ได้แก่ การรีบขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ-พล.อ.ชวลิต และพรรคเพื่อไทยช่วยนายศิวรักษ์ ทั้งที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศพยายามช่วยเหลืออยู่อย่างเต็มที่, การที่นางสิมารักษ์เข้าพบ พล.อ.ชวลิต แล้วตัดสินใจยกเลิกการใช้บริการทนายความที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้ทันที พร้อมยกเลิกการยื่นขอประกันตัวบุตรชายที่ทนายความคนเดิมทำไว้, การที่นางสิมารักษ์ช่วยยืนยันให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ-พล.อ.ชวลิต และพรรคเพื่อไทยว่า กรณีนายศิวรักษ์ไม่ได้เป็นการสร้างฉากเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับใคร แต่ขณะเดียวกันนางสิมารักษ์ก็ดิสเครดิตฝ่ายที่คิดว่าเรื่องนี้เป็นการจัดฉาก โดยบอกว่า บุตรชายตนอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือแม้แต่การที่นางสิมารักษ์ออกมาโยนความผิดให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก สถานทูตไทยในกัมพูชาว่า หากนายคำรบไม่โทรหานายศิวรักษ์เพื่อถามเรื่องเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ บุตรชายตนก็คงไม่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ทั้งที่นายศิวรักษ์เองก็ได้เคยเขียนจดหมาย รวมทั้งเบิกความต่อศาลแล้วว่า ข้อมูลเที่ยวบินที่นายคำรบถาม ไม่ใช่ความลับ เป็นงานปกติในหน้าที่ที่คนอื่นๆ ก็ถามเข้ามาเช่นกัน
แม้มองเผินๆ พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะได้แต้มจากกรณีนายศิวรักษ์ แต่หลายคนไม่คิดเช่นนั้น นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ มองว่า นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้แต้มจากกรณีนายศิวรักษ์แล้ว น่าจะเสียแต้มด้วยซ้ำ เพราะคนที่มีสามัญสำนึกย่อมมองออกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และไม่ได้เป็นตามที่กัมพูชากล่าวหา
“ผมว่าคนที่มีสามัญสำนึกและตามข่าวหน่อย และใช้สามัญสำนึก ก็ย่อมมองออกได้ว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและเกิดขึ้นตามที่ฝ่ายกัมพูชาให้เหตุผล ถ้าเราติดตามนับตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวเขาดำเนินการจับกุมคุณศิวรักษ์ในข้อหามีการกระทำเป็นจารชน พูดง่ายๆ เป็นสปาย และเขาจะดำเนินการฟ้องศาล แล้วก็ฟ้องไปแล้ว เสร็จแล้วหลังจากนั้นอีก 3 วันก็มีการให้กษัตริย์ของกัมพูชามีพระราชทานอภัยโทษให้กับคุณศิวรักษ์ แต่ทั้งหมดนี้ เราจะเห็นว่ามันเป็นการสอดรับกับแต่ละช่วงๆ ระหว่างการกระทำของไม่ว่าจะเป็นคำพูดของฮุนเซนเอง และการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชาเอง ในส่วนที่เกี่ยวกับคุณศิวรักษ์และในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในภาพรวม ตั้งแต่เหตุการณ์ของคุณทักษิณไปกัมพูชา การตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ เหตุการณ์ที่หัวหิน และตามมาเรื่อยๆ ผมคงไม่ต้องพูดยาว เสียเวลามาก ก็จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่มีการดำเนินการโดยฝ่ายกัมพูชา ก็จะมีภายในประเทศเรา มีการสอดรับกับคำพูดและการดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายที่แน่นอนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยทางคุณทักษิณ”
“(ถาม-ท่านสุรพงษ์รู้สึกยังไงที่คุณแม่ของคุณศิวรักษ์ ออกมาเรียกหาความรับผิดชอบจากคุณคำรบ เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชา?) ผมไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ความจริงแล้วในเมื่อจริงๆ แล้ว ถ้าเราคิดอย่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แน่นอนเราเข้าใจความผูกพันระหว่างผู้ปกครอง ในกรณีนี้ระหว่างมารดากับลูก ความห่วงใยความผูกพันย่อมมีเป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามองจากมนุษยธรรม อันนี้เป็นที่เข้าใจได้ แต่หลังจากที่ได้รับ วันแรกที่ให้สัมภาษณ์และวันถัดๆ มาที่ให้สัมภาษณ์อีกหลายครั้งหลังจากที่ไปพนมเปญมาแล้ว อย่างน้อยเข้าใจว่า 2-3 ครั้ง การให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งๆ ในช่วงหลังๆ นี่มันก็ชี้เลยว่าคุณแม่คุณศิวรักษ์ก็เอาเรื่องลูกชายเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งจากวันแรกที่ให้สัมภาษณ์เป็นการให้สัมภาษณ์ที่สะท้อนให้เห็นแต่เรื่องข้อกังวลของมารดาที่มีต่อบุตร ในยามที่บุตรอยู่ในฐานะลำบาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอีกหลายครั้งเนี่ย ผมคงไม่ต้องไปนั่น คนที่มีสติปัญหามีสามัญสำนึกก็อ่านคำให้สัมภาษณ์ทุกคำได้ และอ่านระหว่างบรรทัดได้ในแต่ละครั้งว่ามันคืออะไร มันก็คือประเด็นการเมืองที่แกก็เอาเรื่องของบุตรมาเป็นประเด็นการเมืองเพื่อสนับสนุนวาระซ่อนเร้นของกลุ่มใดก็คงไม่ต้องพูดอีก”
ด้าน ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้แสดงความเห็นด้วยที่นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชา ไม่ออกมาตอบโต้หลังถูกนางสิมารักษ์ มารดานายศิวรักษ์ท้าทายให้ออกมารับผิดชอบกรณีที่บุตรชายตนถูกจับกุม เพราะการไม่ต่อความยาวสาวความยืดจะช่วยให้เรื่องจบแบบสงบ ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยอ้างว่า นายศิวรักษ์เป็นเหยื่อของขบวนการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงคนเดียว แต่บางฝ่ายมองว่าน่าจะเป็นการจัดฉากมากกว่านั้น ผศ.ทวี บอกว่า ขึ้นอยู่ว่าจะมองแบบกว้างหรือแบบแคบ แต่ส่วนตัวแล้วมองว่า เรื่องนี้เป็นเกมที่ พ.ต.ท.ทักษิณเอาหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศไปขายในระดับนานาชาติ ทำให้ไทยมีแต่เสียกับเสีย
“ก็เป็นการคิดทางกว้างกับทางแคบ ถ้าอย่างของคุณทักษิณเป็นการคิดทางแคบ เพราะคิดว่าตัวเองสำคัญ การล่าตัวเขาก่อให้เกิดปัญหา อย่างที่เป็นมาคือการมองเขาที่ตัวบุคคลเพียงคนเดียว แต่ถ้าเผื่อเรามองกว้างก็จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ เป็นเรื่องศักดิ์ศรี หน้าตาของประเทศ ซึ่งการที่มีบุคคลพยายามที่จะเอาศักดิ์ศรี หน้าตาของประเทศไปเล่นโดยใช้คนไทยเป็นแพะหรือสัตว์สำหรับบูชายัญ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะสง่างามนัก เพราะการเอาชาติไปแลกกับประโยชน์ของบุคคลบางคน มันก็กลายเป็นเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเกมนี้ ไม่ใช่เป็นเกมของการบูชายัญทางการเมืองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการที่เราเอาศักดิ์ศรี ความเป็นประเทศชาติ หน้าตาของประเทศไทยเอาไปขาย ก็คือขายหน้าในระดับนานาชาติว่า คนไทยพร้อมที่จะทำร้ายกันและกันก็ได้ รวมทั้งทำลายชื่อเสียง ศักดิ์ศรีของประเทศก็ได้เพื่อที่จะให้ตนเองเด่น ตัวเองสำคัญ เพราะฉะนั้นการที่คุณทักษิณ วันนี้ก็ออกมาในการที่จะทำพิธีในเรื่องคุณศิวรักษ์ ก็เป็นสิ่งที่เราก็คาดเดาได้ ผมเลยมองว่างานนี้ประเทศไทยมีแต่เสียกับเสีย และคนที่ทำให้เกิดความเสียหายก็คือคุณทักษิณเอง ซึ่งเอาเรื่องเล็กๆ ส่วนตัวมาทำให้เป็นความเสื่อมเสียระดับชาติ”
“(ถาม-คุณแม่ของคุณศิวรักษ์บอกว่า ถ้าคุณคำรบ เลขานุการเอกสถานทูตไทยในกัมพูชาไม่โทรไปหาลูก เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น?) ผมมองว่า ถ้าผมเป็นคุณคำรบเนี่ย ผมก็ต้องดูว่าผมจะแสดงบทบาทตรงนั้นได้อย่างไร เช่น ออกมาช่วยคุณศิวรักษ์ดีหรือไม่ ซึ่งเมื่อคุณศิวรักษ์ สิ่งที่เรารู้ว่าเป็นเพื่อนกับคุณคำรบ และมีการติดต่อกัน เสร็จแล้วพอเกิดปัญหาก็มาต่อว่าต่อขานกัน ผมมองว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ถ้าเผื่อออกมาปะทะกันก็จะเป็นการเติมเชื้อไฟให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น เพราะฉะนั้น คุณคำรบอาจจะ โดยนิสัยส่วนตัวอาจจะไม่ชอบตอบโต้หรืออีกทางหนึ่งก็อาจจะเพราะถูกกำกับโดยระบบราชการที่ว่าเมื่อเรื่องนี้มันเป็นคดีทางการเมืองระหว่างประเทศ มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ ก็ต้องเก็บตัวไว้ ผมคิดว่าเรื่องนี้ ท้ายที่สุด หลายฝ่ายเขาก็รู้ดีว่าอะไรมันเป็นอะไร ยังไง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ มันปิดเกมหรือจบเกม ก็คือ ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ผมสังเกตไม่เฉพาะของคุณคำรบเท่านั้น แม้กระทั่งท่าทีของรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์หรือหลายๆ ฝ่าย แม้กระทั่งตัวคุณกษิต ภิรมย์ เอง ก็ไม่ออกมาปะทะหรือต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องนี้ พรรคเพื่อไทยเขาจะทำอะไรกับคุณสิมารักษ์ คุณแม่ และคุณศิวรักษ์ เขาก็ทำไป สร้างข่าวไปของเขา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องรู้ว่าถ้าเผื่อว่าไปต่อเติมเสริมเรื่อง ก็จะกลายเป็นองค์ประกอบเข้าไปในการสร้างเรื่องตรงนี้ ผมคิดว่าคุณคำรบเองที่สงวนท่าที แม้กระทั่งคุณสิมารักษ์จะออกมาท้าทาย หรือคุณศิวรักษ์เอง ตอนนี้ก็บอกว่า อยากจะติดต่อคุณคำรบ คุณคำรบก็ไม่ออกมา ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องของการหลบซ่อนปัญหา แต่เป็นเรื่องของยุทธวิธีในการที่จะแก้ปัญหา ไม่ให้ปัญหามันลุกลาม และนอกจากนั้นก็อยากให้เรื่องนี้จบไปอย่างสงบเงียบ”
ส่วนกรณีที่มีการมองว่า ไทยคงหมดหวังที่จะได้ตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดี หากเดินทางเข้ากัมพูชา เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยอย่างแน่นอนนั้น ผศ.ทวี ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ไทยอาจใช้วิธีเดียวกับที่ประเทศอิสราเอลเคยเข้ามาจับผู้ร้ายในไทยก็ได้
“ผมจำได้นะในประเทศไทย อิสราเอลก็เคยละเมิดอำนาจของรัฐไทย เข้ามาจับผู้ร้ายได้ และตอนหลังก็ค่อยมาขอโทษไทยในการที่ได้ดำเนินการจับผู้ก่อการร้ายไป เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อจะทำจริงๆ มันก็ได้ มีวิธีในการที่จะบุกยึดจับตัว และผมก็คิดว่ากัมพูชาเองเขาก็คง มันก็เป็นเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อเรามีข้อหาและเรารู้ว่ามีผู้ร้ายเข้าไปดำเนินการอยู่ตรงไหน และเราก็อาจจะมีการดำเนินการในทางลับ ตอนนี้คุณทักษิณมีค่าหัวนะ ผมเข้าใจว่ามี อย่างน้อยอย่างกลุ่มสยามสามัคคี ซึ่งผมเคยไปร่วมประชุมเนี่ย ก็ตั้งค่าหัวไว้ รู้สึกจะน้อยไปหน่อยล้านเดียว และไม่แน่ใจว่ามีที่ไหนอีก แต่ทางกลุ่มเหล่านี้เขาก็ยังยืนยันว่า ถ้าเผื่อจับคุณทักษิณได้ก็จะได้เงิน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคุณทักษิณก็เป็นเป้าหมายของหลายๆ ส่วน ไม่เฉพาะแต่ทางรัฐบาลไทยเท่านั้น ผมก็เลยมองว่าคุณทักษิณตอนนี้อยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง และจะหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้เลย เพราะตัวเองก็พยายามสร้างสถานการณ์ให้ขุ่นคลั่ก ไม่ยอมให้มันสงบใสนิ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นการจุดชนวนปลุกกระแสให้เกิดการสนใจในตัวคุณทักษิณตลอดเวลา ซึ่งผมคิดว่าคุณทักษิณ สักวันหนึ่งก็ต้องพลาด และจะต้องมารับกรรมในเรื่องที่ก่อไว้ ไม่ว่าจะในเรื่องทางกฎหมาย และในทางการเมือง เพราะฉะนั้นผมไม่แน่ใจว่ารัฐบาลกัมพูชาจะปกป้องคุณทักษิณได้ดีแค่ไหน เพราะมันไม่เข้าใครออกใคร กัมพูชาก็ไม่ได้มีเฉพาะฮุนเซน มันมีฝ่ายตรงข้ามฮุนเซน ฮุนเซนก็อยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง ก็ต้องระมัดระวังตัวอย่างยิ่งเหมือนกัน มีคนที่จะโค่นล้มคุณฮุนเซนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการหักหน้าฮุน เซนด้วยวิธีจับทักษิณโดยคนกัมพูชาเอง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อที่จะเอาตัวมาให้รัฐบาลไทย”
เมื่อถามว่า กรณีที่คดีนายศิวรักษ์จบลงด้วยการพระราชทานอภัยโทษ หาก พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยขยายผลหรือเชื่อมโยงเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษเช่นกันในคดีที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาฯ จะสามารถเทียบกันได้หรือไม่ โดยล่าสุด ส.ส.พรรคเพื่อไทยเริ่มขยายผลเรื่องนี้แล้ว โดยอ้างว่าเพื่อความปรองดองนั้น ผศ.ทวี บอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณคิดหรือทำเช่นนั้น ก็ถือว่าเลวมาก เพราะการใช้เหตุการณ์กรณีนายศิวรักษ์ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ของกัมพูชามาเทียบเคียงกับคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงเป็นการล้อเลียน แต่ยังเป็นการหยามสถาบันสูงสุดของประเทศไทยด้วย ที่กล้าเอาเจ้ากำมะลอก็คือ สมเด็จฯ ฮุนเซน ที่ตั้งตัวเองเป็นสมเด็จ และคอยกำกับเจ้านโรดมสีหมุนี ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ไม่ได้มีอำนาจ มาเปรียบเทียบกับเจ้าของไทย ซึ่งเทียบกันไม่ได้ เพราะกษัตริย์ของไทยยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์ สำคัญ และมีความมั่นคง ดังนั้นหาก พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย หรือกลุ่ม นปช.นำกรณีพระราชทานอภัยโทษนายศิวรักษ์ไปขยายผลหรือโจมตีสถาบัน เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็ถือว่าแย่มาก หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเมื่อใด ขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนช่วยกันนำหลักฐานไปฟ้องดำเนินคดีกับบุคคลที่กำลังคิดไม่ซื่อต่อสถาบันทันที!!