xs
xsm
sm
md
lg

“สิมารักษ์” ออสการ์ตัวแม่ รับผิด ไม่อุทธรณ์พึ่ง “แม้ว-จิ๋ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในที่สุดละครฉากจบเรื่องการจับตัว “นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์” ในข้อหาโจรกรรมตารางการบินของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เมื่อครั้งนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเหยียบกัมพูชาก็จบลงอย่าง “บริบูรณ์” โดยที่ไม่ต้องมีเงื่อนปมอะไรให้ค้างคาใจหรือให้สงสัยอีกต่อไป

เพราะภายหลังจากที่ศาลกัมพูชาตัดสินให้นายศิวรักษ์มีความผิด ต้องคำพิพากษาจำคุก 7 ปีและปรับอีก 10ล้านเรียลหรือประมาณ 85,00 บาท “นางสิมารักษ์ ณ นครพนม” แม่ของนายศิวรักษ์เลือกที่จะไม่อุทธรณ์ เลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศของราชอาณาจักรไทย แต่เลือกที่จะขอความช่วยเหลือจาก นช.ทักษิณ พระเจ้ามูลเมืองในดวงใจของของเธอ กับ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ออกญาจักรีในดวงใจของเธอเท่านั้น

ความจริง ต้องบอกว่า ละครเรื่องนี้ถูกวางพล็อตเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าฉากจบจะเป็นอย่างไร และเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบก็พิสูจน์แล้วว่า คดีนี้คือคดีการเมืองที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างมิอาจปฏิเสธความจริงได้

องก์ที่ 1
พิรุธสัมพันธ์ลึกซึ้ง นช.แม้ว


ในช่วงแรกที่รัฐบาลกัมพูชาของนายฮุนเซนสั่งให้จับกุมนายศิวรักษ์ สังคมต่างให้ความเห็นใจนางสิมารักษ์ ผู้เป็นแม่ของนายศิวรักษ์เพราะรู้ดีกว่าหัวอกของคนเป็นแม่นั้นเจ็บปวดเพียงไรกับการที่ลูกถูกดำเนินคดี ต้องถูกจับกุมคุมขังอยู่ในคุกของกัมพูชา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความเห็นใจนางสิมารักษ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะเมื่อสืบค้นข้อมูลก็เริ่มพบว่า นางสิมารักษ์นั้นไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา หากเป็นชาวบ้านที่ชอบสวมเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ มิหนำซ้ำยังมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนช.ทักษิณมาแต่เก่าก่อน

นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ บิดาของนายศิวรักษ์นั้นคือผู้มีบุญคุณกับ นช.ทักษิณ เมื่อครั้งที่เคยทำธุรกิจค้าขายภาพยนตร์ร่วมกัน โดยนายสุวิทย์ไม่เคยกล่าวทวงหนี้ที่ นช.ทักษิณ ติดค้างอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

และต้องไม่ลืมข้อมูลสำคัญที่ว่า บิดาของนายศิวรักษ์คือผู้หาแหล่งเงินกู้ให้ นช.ทักษิณ ด้วยการพาไปทำความรู้จักกับเศรษฐี จ.สุโขทัย ที่ชื่อ "สุวิทย์" เช่นกัน

“กับพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อ 20-30 ปีมาแล้ว สามีเคยอยู่ในวงการเล็กๆ ด้วยกันมาก่อน”นั่นคือคำให้การของนางสิมารักษ์ที่ยืนยันว่า สามีของเธอรู้จักกับ นช.ทักษิณ

ความผิดปกติถัดมาคือ หลังจากกระทรวงการต่างประเทศได้ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้นางสิมารักษ์ได้ไปพบกับลูกชายในครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อย นางสิมารักษ์กลับมีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด หรือจะเรียกว่า “ไม่เห็นคุณข้าวแดงแกงร้อน” ก็คงจะว่าได้ เมื่อตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทยในการเดินทางไปเยี่ยมลูกชายในครั้งที่ 2 ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลและต้องการล้มรัฐบาลให้ได้

ตามกำหนดการเดิมนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานให้นางสิมารักษ์ไปเยี่ยมลูกชายครั้งที่ 2 ในช่วงระหว่างวันที่ 7-8 ธันวาคมที่จะถึงนี้ แต่นางสิมารักษ์อ้างว่า หากรอตามกำหนดการของกระทรวงการต่างประเทศเกรงจะช้าเกินไป เพราะหลังไปเยี่ยมครั้งแรกพบว่า ยังมีสิ่งของจำเป็นขาดอยู่เยอะดังนั้น จึงหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากพรรคเพื่อไทยดำเนินการได้รวดเร็วกว่า

ที่สำคัญคือ ก่อนหน้านี้นางสิมารักษ์ไม่ได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อนว่าจะไปหาลูกชายก่อนกำหนดเนื่องจากนัดกันแล้วว่าจะไปวันที่ 7 ธันวาคม ซึ่งมี

องก์ที่ 2
ขอเปลี่ยนทนาย-ไม่ขอประกัน


และการเดินทางไปเยี่ยมลูกชายรอบ 2 ก็มีกลิ่นทะแม่งๆ เกิดขึ้นให้จับสัญญาณความผิดปกติได้อีก เมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาที่มี นช.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาเดินทางมารับถึงสนามบินในกรุงพนมเปญ ตามต่อด้วยภายหลังการเข้าพบเพื่อขอความช่วยเหลือจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นางสิมารักษ์ได้ขอเปลี่ยนตัวทนายความจาก “นายเกา โสภา” ที่มีชื่อเสียงด้านการว่าความด้านสิทธิมนุษยชนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดหาให้ มาเป็น “นายเขียว สัมโบ” ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วปวดใจว่า นายเกาไม่เป็นที่ชื่นชอบของรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งอาจส่งผลทำให้การต่อสู้คดีแพ้ได้

จากนั้นก็ตามมาด้วยการที่ พล.อ.ชวลิตได้ร่างหนังสือเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษล่วงหน้าเอาไว้ พร้อมส่งไปให้นายฮุนเซน เพื่อยื่นถวายต่อไปยังพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดมสีหมุนี กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาอีกต่อหนึ่ง ราวกับว่า พล.อ.ชวลิตรู้ล่วงหน้าแล้วว่าละครฉากนี้จะจบเช่นไร

เหมือนกับ พล.อ.ชวลิตรู้ล่วงหน้าแล้วว่า จะอย่างไรศาลกัมพูชาจะต้องตัดสินให้นายศิวรักษ์มีความผิด และตอนจบของเรื่องอยู่ตรงที่กษัตริย์กัมพูชาพระราชทานอภัยโทษให้กับนายศิวรักษ์เนื่องด้วยมีความสัมพันธ์อันดีกับ นช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิต

เรื่องที่พิลึกพิลั่นไปกว่านั้นก็คือ ความจริงแล้ว นายศิวรักษ์จะต้องได้ประกันตัวออกมาสู้คดีก่อนที่จะถึงวันที่ศาลนัดพิพากษาในวันที่ 8 ธันวาคม ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกลับตัวของนายศิวรักษ์เองเพราะจะได้ลิ้มรสอิสรภาพเป็นครั้งแรก แต่นางสิมารักษ์กลับตัดสินใจที่จะถอนประกันและรอฟังคำพิพากษาของศาลทีเดียวในวันที่ 8 ธันวาคม

การอ้างว่า เป็นคำแนะนำของนายเขียว สัมโบ ทนายความคนใหม่ที่บอกว่า หากถอนประกันจะเป็นการช่วยลดคามยุ่งยากในขั้นอนการไต่สวนของศาลกัมพูชาลงเพราะไม่ต้องใช้เวลาไต่สวนเพื่อที่จะอนุญาตให้ประกันหรือไม่ และจะได้ใช้เวลาสำหรับการพิจารณาในวันที่ 8 ธันวาคมครั้งเดียว ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก

องค์ที่ 3
ไม่อุทธรณ์-ขอพึ่งแม้วอภัยโทษ


8 ธันวาคม ละครเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องและทุกอย่างก็เป็นไปตามบทที่วางเอาไว้จริงๆ เมื่อศาลกัมพูชามีคำพิพากษาจำคุกนายศิวรักษ์เป็นเวลา 7 ปีและถูกปรับ 10 ล้านเรียลหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 85,000 บาท และนางสิมารักษ์ตัดสินใจที่จะไม่ขอสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากในกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งประกาศชัดเจนว่า จะขอความช่วยเหลือจากนช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิตแทน

คำถามที่ตามมาคือ ทำไมนางสิมารักษ์ถึงมั่นใจว่า นช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิตสามารถช่วยลูกชายของเธอได้

คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมนางสิมารักษ์ถึงได้เสี่ยงที่จะไม่อุทธรณ์ แต่เลือกขอความช่วยหลือจากนช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิต เพราะถ้าทั้ง 2 คนช่วยเหลือไม่ได้ นั่นหมายความว่า ลูกชายของเธอจะต้องติดคุกกัมพูชาเป็นเวลา 7 ปีโดยไม่มีหนทางที่จะช่วยเหลืออื่นใดอีก

คำถามที่ตามมาอีกก็คือ ทำไมนางสิมารักษ์ถึงไม่ตัดสินใจอุทธรณ์พร้อมกับขอความช่วยเหลือจากนช.ทักษิณ และพล.อ.ชวลิตไปพร้อมๆ กันเพื่อไม่เป็นการปิดทางในการต่อสู้คดีให้เหลือเพียงทางเดียว

คำตอบของเรื่องนี้มีความชัดเจนมาก นั่นเพราะนางสิมารักษ์มีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า นช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิตจะสามารถช่วยลูกชายของเธอให้พ้นจากโทษ และได้รับจากอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาได้ในที่สุด

คำตอบของเรื่องนี้มีความชัดเจนมากว่า นางสิมารักษ์ไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่สำคัญคือเธอต้องการให้ฉากจบของละครเรื่องนี้เป็นไปตามพล็อตที่กำหนดไว้

นอกจากนั้น หากไล่เรียงดูพฤติการณ์ของนางสิมารักษ์แล้วในวันที่ศาลกัมพูชามีคำพิพากษาแล้วก็จะยิ่งเห็นความชัดเจนของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะภายหลังจากผลการตัดสินออกมา “เด็จพี่-นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” โฆษกพรรคเพื่อได้ได้เปิดแถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าว โดยมีนางสิมารักษ์โฟนอินมาร่วมแถลงข่าวกับนายพร้อมพงศ์ด้วย

“ขอขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ จากนี้ไปคงไม่มีที่พึ่งไหนอีกแล้ว จึงอยากขอความช่วยเหลือจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพรรคเพื่อไทย ช่วยลูกชายให้ได้รับอิสรภาพ โดยการขอพระราชทานอภัยโทษให้”

“เบื้องต้นจะไม่ยื่นอุทธรณ์ คดีจะได้ไม่ยืดเยื้อออกไปอีก ส่วนกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศก็จะยื่นพระราชทานอภัยโทษให้ด้วยนั้น วันนี้ต้องขอโทษด้วย ยังไม่ขอรับ เพราะขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศมีความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา เกรงว่าจะเป็นอุปสรรคส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าได้ เวลานี้ฝากความหวังไว้ที่ทนาย พล.อ.ชวลิต พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย”

นางสิมารักษ์โฟนอินแสดงตัวตนให้เห็นชัดเจนว่า แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นใคร

จากนั้น นางสิมารักษ์ได้เริ่มดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ด้วยการเดินเกมดิสเครดิตรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยการให้สัมภาษณ์โจมตีนายคำรบ ปาลวัฒน์วิชัย เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชาว่า เป็นต้นตอที่ทำให้ลูกชายของเธอต้องติดคุก

“อยากฝากถามคุณคำรบด้วยว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน ถ้าไม่โทรศัพท์มาหา ลูกแม่ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ขอให้ออกมารับผิดชอบด้วย แม่ไม่เคยพูดว่าใครเป็นต้นเหตุให้ลูกต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่วันนี้ลูกอยู่ในสภาพถูกใส่กุญแจมือ แม่รับไม่ได้ ทำใจไม่ได้จริงๆ ศิวรักษ์เป็นผู้บริสุทธิ์ จะให้เขารับผิดชอบแทนท่านหรือคะ คุณคำรบออกมาแสดงความรับผิดชอบสักหน่อย น้องเขาอยู่ที่เรือนจำเกือบ 30 วันแล้ว ถ้าใครมาเห็นสภาพตอนนี้ แม้แต่แม่เองก็ยังทนไม่ไหว”

และที่เด็ดสุดจนไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ก็คือ นางสิมารักษ์ไม่ขอพักในโรงแรมที่ทางกระทรวงการต่างประเทศจัดไว้ให้ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้สังคมส่วนใหญ่จะพิพากษาไปแล้วว่า นี่คือละคร แต่นางสิมารักษ์ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาโดยระบุว่า “ไม่มีแม่คนไหน ยอมเอาลูกตัวเองไปเสี่ยงกับสถานการณ์เลวร้ายนี้ เอาลูกไปติดคุกเพื่ออะไรแค่คิดก็ถือว่าเลวสุดๆแล้ว ออกไปสร้างละคร ไปสร้างสถานการณ์แล้วครอบครัวเราได้อะไร ลูกนอนอยู่ในคุกแล้วแม่มีความสุขอย่างนั้นหรือ”

องก์ที่ 4
ฮุนเซนภิวัฒน์ช่วยแม้ว


ทั้งนี้ หากนำคำพิพากษาของศาลกัมพูชาก็จะพบเห็นความผิดปกติอยู่ไม่น้อย เพราะขณะที่ศาลกัมพูชาที่พิพากษาภายใต้ระบบ “ฮุนเซนภิวัฒน์” บอกว่า นายศิวรักษ์มีความผิดจริงในข้อหาที่รุนแรงคือละเมิดความมั่นคงแห่งชาติและความปลอดภัยของสาธารณะ แต่กลับพิพากษาด้วยโทษที่ต่ำสุด

นายเค สถาน หัวหน้าคณะผู้พิพากษาของศาลกรุงพนมเปญกล่าวว่า ระหว่างที่นายศิวรักษ์ให้ปากคำ นายศิวรักษ์ขอให้ศาลยกข้อหา เพราะไม่ได้จารกรรมข้อมูลใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอกของสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญจริง โดยเป็นเพียงการยืนยันว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำลงจอดแล้ว และที่ไม่ได้รับรู้เลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โดยสารมาในเที่ยวบินดังกล่าว

คำให้การของนายศิวรักษ์แสดงว่า การโทรศัพท์คุยกับนายคำรบนั้น เป็นการคุยหลังจากที่เครื่องบินเจ็ตส่วนของของนช.ทักษิณถึงสนามบินแล้ว

แต่สุดท้ายก็พิพากษาให้นายศิวรักษ์มีความผิดด้วยข้อหาสอดแนมข้อมูลของ นช.ทักษิณระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยการส่งข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการของเที่ยวบินให้กับสถานทูตไทย เนื่องจากข้อมูลการเดินทางซึ่งถือว่าเป็นความลับ การนำข้อมูลไปเปิดเผยต่อผู้อื่นจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยสำหรับบุคคลสำคัญ เพราะ นช.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา ดังนั้นกัมพูชาจึงมีพันธกรณีที่จะให้การดูแลรักษาความปลอดภัยกับ นช.ทักษิณ และกำหนดการเที่ยวบินของ นช.ทักษิณ อาจจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาลไทย แต่ขณะเดียวกันข้อมูลดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อ นช.ทักษิณได้

จุดที่ผิดสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ศาลกัมพูชาใช้อะไรเป็นหลักฐานในการตัดสิน เพราะนายศิวรักษ์เองก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวถามนางสิมารักษ์ว่าได้ฟังเทปการสนทนาระหว่างนายศิวรักษ์กับนายคำรบหรือไม่ นางสิมารักษ์กล่าวว่า “ทุกคำพูดที่นายศิวรักษ์ให้การต่อศาลเป็นระยะเวลากว่า 5 ชั่วโมงนั้นคือความจริงที่สุด เทปไม่มี”

...ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่ว่า “ขำสิ้นดี” เพราะนายศิวรักษ์มีความผิดตามที่ศาลกัมพูชาพิพากษาว่าจารกรรมข้อมูลการบินของนช.ทักษิณ แต่นางสิมารักษ์กลับทำเรื่องที่พิลึกพิลั่นด้วยการไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ลูกชายของตนเองไปจารกรรมข้อมูลมา คนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายของตนเองต้องถูกจับและติดคุก

แต่ที่ขำไปกว่านั้นก็คือ ขณะที่นายศิวรักษ์ ผู้เป็นลูกชายปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าไม่ได้จารกรรมข้อมูล แต่นางสิมารักษ์ผู้เป็นแม่กลับไม่ขออุทธรณ์แต่เลือกที่จะขออภัยโทษ ซึ่งนั่นเท่ากับยอมรับว่า ลูกชายจารกรรมข้อมูลการบินของ นช.ทักษิณจริง

มันช่างเป็นตรรกที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

และถ้าบทไม่เปลี่ยนแปลง เชื่อหัวไอ้เรืองได้เลยว่า นายศิวรักษ์จะต้องได้รับการอภัยโทษอย่างแน่นอน

กำลังโหลดความคิดเห็น