ทนายพันธมิตรฯ เปรีบบคดี “ศิวรักษ์” ดั่งละครน้ำเน่า เย้ยแสดงไม่สมบทบาท พบพิรุธหลายเรื่อง เหน็บระบบศาลเขมร ไม่มีหลักเกณฑ์ไม่มีแก่นสาร ขึ้นอยู่กับ “ฮุนเซน” คนเดียว
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "สภาท่าพระอาทิตย์"
วันนี้(12ธ.ค.) นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทางสถานีเอเอสทีวี ถึงกรณีที่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ถูกศาลกัมพูชาสั่งจำคุก 7 ปี ฐานจารกรรมข้อมูลการบิน จากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ได้รับอภัยโทษ ว่า ไม่จ่างจากนิยายน้ำเน่า คนแต่งไม่มีฝืมือ เรื่องนี้ตนเคยพูดผ่านรายการวิทยุ มานานแล้ว ตั้งแต่ที่ นายศิวรักษ์ ถูกจับใหม่ๆ ถึง ความสัมพันธ์ระหว่าง นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ (พ่อของนายศิวรักษ์) กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่องนี้มีการวางหมากไว้แล้ว ซึ่งไม่ว่ารัฐบาลไทยจะพยายามช่วยเหลืออย่างไรก็ตาม ไม่มีทางนำตัวนายศิวรักษ์ กลับมาได้ เป็นเกมสำหรับทำลายเกียรติภูมิรัฐบาลไทย และประเทศไทย เพื่อยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นวีรบุรุษ
การบังคับใช้ กฎหมายของกัมพูชา ในหลายบทหลายมาตราลอกมาจากกฎหมายไทย แต่ยังล้าหลังกว่ากฎหมายไทยนับร้อยปี คดีอย่างนี้ถือเป็นความผิดทางอาญาของกัมพูชา แต่การกระทำของนายศิวรักษ์ ศาลกัมพูชาอ้างว่า นายคำรบ ปาลวัฒน์วิชัย เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชา โทรศัพท์ใช้ให้ นายศิวรักษ์ หาเส้นทางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในขณะนั้นเครื่องบินได้ลงจอดเรียบร้อยแล้ว หากเป็นกฎหมายไทย ไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะตารางการบินเป็นข้อมูลเปิดเผย เมื่อไม่ใช่ความลับ การได้มาจึงไม่ใช่การจารกรรม
ซึ่งตนมองว่า คดีนี้มีความผิดปกติอยู่ที่ 1.หากจำเลยยืนยันว่าไม่ผิด แล้วถูกนำตัวเอาไปขังคุก ระหว่างที่ถูกขังอยู่นั้น ปกติตามหลักสิทธิมนุษย์ชนของกฎบัตรสหประชาชาติ ย่อมมีสิทธิประกันตัว และคดีนี้ก็อยู่ในเงื่อนไขที่ต้องประกันตัว แต่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม (แม่ของนายศิวรักษ์) กลับไม่ต้องการให้ประกันตัว ทั้งที่ กระทรวงการต่างประเทศก็หาทนายให้แล้ว มิหนำซ้ำยังเปลี่ยนตัวทนายเสียอีก เพื่อต้องการให้ลูกตัวเองเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเกม หากประเทศไหน ไม่ได้ติดตามข้อมูล ย่อมตีความไปในทางเสียหายได้ว่า ประเทศไทยส่งคนไปจารกรรมข้อมูล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เขมรแย่ลง อีกด้านก็ชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นคนดี ขนาดเขาคิดฆ่าตัวเองยังอภัยโทษ และ2.เมื่อศาลมีคำพิพากษามีความผิดให้จำคุก 7 ปี ก็ไม่อุทธรณ์
“เป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการเปรียบเทียบ ว่า ตัวเขาเองพยายามขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยโทษจำคุก 2ปี ในขณะที่ ศิวรักษ์ โดนโทษจำคุก 7 ปี แล้วขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไทยปฎิบัติกับเขาสองมาตรฐาน ขนาดกษัตริย์ กัมพูชา ยังมีพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษให้ และในทันทีทันใดด้วย” นายสุวัตร กล่าว
นายสุวัตร กล่าวต่อว่า กฎหมายกัมพูชา ไม่มีหลักเกณฑ์ ปกติตามกฎหมายของเขา คนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสองในสาม และคำวินิจฉัยของศาล หากเป็นศาลไทย เมื่อโจทย์- จำเลย ฟ้องอย่างไร ต้องวินิจฉัยเฉพาะในประเด็นที่ต่อสู้ แต่ศาลกัมพูชา วินิจฉัยคดีนี้ ว่า “นายศิวรักษ์ มีความผิด เกี่ยวกับความมันคงแห่งชาติ ที่กระทำการสอดแนมเที่ยวบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ระหว่างเดินทางเข้าประเทศกัมพูชา ให้กับสถานทูตไทย ซึ่งข้อมูลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นความลับ การนำข้อมูลไปเปิดเผยต่อผู้อื่น เป็นการฝ่าฝืนข้อปฎิบัติต่อความปลอดภัยของบุคคลสำคัญ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา ” ตรงนี้ เป็นคำวินิจฉัยนอกประเด็นโต้แย้ง ที่จริงต้องวินิจฉัย ว่า การเอาข้อมูลเครื่องบินที่จอดแล้วไป เป็นความลับหรือไม่ และตามหลักกระบวนการยุติธรรม เมื่อจำเลยถูกอัยการของกัมพูชาฟ้อง ขั้นแรกต้องสืบพยานโจทย์ ทนายจำเลยต้องเข้าไปซักค้านพยานโจทย์ เพื่อทำลายน้ำหนักก่อน เสร็จแล้วจึงสืบพยานจำเลย แต่กระบวนการของเขมรตัดสินได้ในวันเดียว อีกกรณี ประเทศไทยข้อให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามปกติศาลยุติธรรมต้องเป็นผู้พิจารณา แต่ ฮุนเซน ยื่นคำขาดบอกไม่ส่งตัวให้เด็ดขาด แสดงให้เห็นว่า หลักกฎหมายของกัมพูชา ไม่มีแก่นสาร ขึ้นอยู่กับ ฮุนเซน คนเดียว
นายสุวัตร กล่าวอีกว่าดูจากคำให้สัมภาษณ์ของ นายกษิต ภิรมย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เหมือนรัฐบาลเอง ก็รู้ว่า เป็นนิยายน้ำเน่า พฤติกรรม ความมสัมพันธ์แสดงออกชัด พ่อของนายศิวรักษ์ มีความสัมพันธ์ กับพ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนแม่ ที่บอกว่า ลูกเป็นโรคหืดหอบ กลัวลูกจะไหลตายเหมือนพ่อ แต่เมื่อเจอลูก แทนที่จะประกันตัวออกมา กลับไม่ประกัน ปล่อยให้เรื่องดำเนินต่อ นอกจากนี้ยังไปพึ่งพรรคเพื่อไทย แล้วแถลงข่าวโจมตีรัฐบาล บ่อยๆเหมือนหวังผลอะไรบางอย่าง