เคาะข่าวริมโขง : "นช.แม้ว" เข้าตำราเกลียดตัวกินไข่ แสร้งยี้ปฏิวัติ แต่สมัยรสช. "บิ๊กจ๊อด" เรืองอำนาจ เคยเลียแข้งเลียขาทหาร จนได้สัมปทานดาวเทียม เผยเหตุออกมาโวยปฏิวัติปี 49 เพราะผูกใจเจ็บทหารโค่นล้มอำนาจ ตอนกำลังสูบผลประโยชน์ประเทศอย่างเมามันส์
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม มี น.ส.กมลพร วรกุล รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ นายประพันธ์ คูณมี น.ส.อัญชะลี ไพรีรักษ์ กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายประยูร อัครบวร อดีตผู้นำนักศึกษา 6 ตุลา มาร่วมพูดคุยถึงหลากหลายประเด็นข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณี คดีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี ในข้อหาจารกรรมข้อมูลอันเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคง ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด สมเด็จพระนโรดมสีหมุณี กษัตริย์กัมพูชา ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าให้นายศิวรักษ์ ได้รับการพระราชทานอภัยโทษแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีนำสกู๊ปที่เคยเปิดในรายการ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มานำเสนอในรายการ โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยได้รับผลประโยชน์จากการปฏิวัติเมื่อครั้งยุค รสช. ที่นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เรืองอำนาจ
น.ส.กมลพร กล่าวเปิดรายการว่า ความคืบหน้าคดี นายศิวรักษ์ วันนี้ได้รับการพระราชอภัยโทษแล้ว โดยวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค.นี้ จะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเพซอร์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งนางสิมารักษ์ ณ นครพนม และทางพรรคเพื่อไทย จะเตรียมตัวไปรอรับกลับประเทศไทย
นายประพันธ์ กล่าวประเด็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแสดงความยินดีที่ นายศิวรักษ์ จะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งตนไม่เห็นด้วยที่ นายอภิสิทธิ์ จะไปยินดีกับละครลวงโลกดังกล่าว เพราะเรื่องนี้มันหมายถึงศักดิ์ศรีของประเทศด้วย เนื่องจากเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วย สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้จับกุมคนไทยและยัดข้อหาจารกรรมข้อมูลให้ โดยถือว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ทำตัวเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ที่จับตัว นายศิวรักษ์ ไว้ เพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาลไทยในการแลกอิสรภาพของวิศวกรไทยกับศักดิ์ศรีของประเทศ
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนได้อ่านสิ่งที่ นายเขียน ธีระวิทย์ ศาตราจารย์กิตติคุณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงเรื่อง นายศิวรักษ์ไว้อย่างน่าใจ โดยตนจะขอคัดเลือกบางประเด็นมานำเสนอ ดังนี้ คดีนายศิวรักษ์ มีข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจ อาทิ 1.สมเด็จฯ ฮุนเซน เคยต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประมุขของประเทศหลายครั้ง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่เคยปรากฏว่ากำหนดการการบินเข้า-ออกกัมพูชาถือว่าเป็นความลับ และเชื่อว่าคงไม่มีใครในโลกนี้ กล้าบัญญัติกฎหมายระบุว่า เที่ยวบินการเดินทางเข้า-ออกประเทศของบุคคลสำคัญ ถือเป็นความลับในราชการ
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า 2.ตามหลักสากล คำพิพากษาศาลจะมีระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องหาทำผิดกฎหมายอะไร มาตราไหน ซึ่งต่างจากคำพิพากษาสั่งจำคุก นายศิวรักษ์ ที่ไม่ได้อ้างกฎหมายฉบับใดเลย 3.ทนายความคนใหม่ของ นายศิวรักษ์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ทำตามคำสั่ง สมเด็จฯ ฮุนเซน มากกว่า 4.ตามหลักกฎหมายอาญา ผู้กระทำผิดทางอาญาจะต้องมีเจตนา ดังนั้น ที่ถูกต้องศาลกัมพูชาต้องทราบว่า นายศิวรักษ์ ลักลอบเอาข้อมูลไปกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของกัมพูชาหรือไม่ และ5.จำเลยได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแต่ต้น แต่ตอนหลังถูกสมุน พ.ต.ท.ทักษิณ อาศัยความทุกข์จำเลยช่วงชิงบทบาทไป โดยบุคคลเหล่านี้ใช้กลยุทธสร้างกระแสให้ นายศิวรักษ์ ต้องโทษ แทนที่จะเป็นพ้นโทษ
น.ส.กมลพร กล่าวเสริมว่า วันนี้หลังจากที่ นายศิวรักษ์ ได้รับการอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ทางด้านสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็มีความเคลื่อนไหว โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อกัมพูชาว่า นายศิวรักษ์ สามารถทำงานในประเทศกัมพูชาต่อไปได้ แม้จะเคยเป็นผู้ต้องหาร้ายแรงที่จารกรรมข้อมูลอันเป็นภัยต่อความมั่นคง
นายประยูร กล่าวว่า กฏหมายกัมพูชา ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในหลักสากล เพราะต้องดูที่เจตนาว่า นายศิวรักษ์ ต้องการทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ แต่ทางกระบวนการยุติธรรมกัมพูชา กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น จึงถือว่าเป็นศาลเตี้ย ที่มีแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยกย่องเท่านั้นว่ามีความเป็นธรรม
นายประพันธ์ กล่าวว่า ที่ถูกต้องรัฐบาลไทย ต้องโต้แย้งทางกัมพูชาตั้งแต่แรกว่า ความผิดของ นายศิวรักษ์ ไม่ได้มีระบุไว้ในกฏหมายฉบับใดของกัมพูชา ดังนั้น แค่ตารางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่ใช่ความลับและไม่มีผลต่อความมั่นคงของกัมพูชา ดังนั้น รัฐบาลไทยน่าจะใช้กฏหมายกัมพูชาตบหน้า สมเด็จฯ ฮุนเซน เพราะสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาทำอยู่ถือเป็นการใช้กฏหมายตามใจชอบ
นายโสภณ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องหากคนไทยถูกจับกุมตัวในต่างประเทศ ทางสถานทูตไทยที่ประจำอยู่ในประเทศดังกล่าวต้องติดต่อประสานงานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว และเข้าไปเยี่ยมคนไทย เพื่อสอบถามความจริงที่เกิดขึ้น จากนั้นก็ต้องหาหลักฐาน แล้วไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ว่า โทษของผู้ต้องหาสถานเบาหรือสถานหนัก ต่อจากนั้น หากอีกฝ่ายตั้งข้อหาไม่เป็นธรรม ต้องโต้แย้งทันที เพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
ช่วงต่อมา ได้มีการนำสกู๊ปที่เคยเปิดในรายการ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มานำเสนอในรายการ โดยเป็นเนื้อหา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับประโยชน์จากการทำปฏิวัติเมื่อปี 2534 สมัยคณะ รสช. ที่นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงศ์ ประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เรืองอำนาจ ซึ่งครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับสัมปทานดาวเทียม อันนำมาซึ่งประโยคที่ว่า "หากไม่มีบิ๊กจ๊อด ไม่มีไทยคม" ทั้งนี้ หลังจากได้รับประโยชน์ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว แต่ยังไม่ยอมหลุดพ้นจากวงจรธุรกิจ โดยดำเนินทุกอย่างไปพร้อมๆกัน จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี และใช้กลยุทธ์ ลด แลก แจก แถม เพื่อซื้อใจรากหญ้า สร้างบุญคุณให้แก่ประชาชน ว่าช่วยแก้ปัญหาความยากจน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังใช้วิธีควบรวมพรรคการเมืองขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อให้พรรคการเมืองของตนเองได้เสียงข้างมาก จะได้รอดพ้นจากการตรวจสอบในสภา ทั้งยังมีพฤติกรรมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้ช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครองประเทศดูเหมือนกับว่าเวลานั้น รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ปกครองสมัยนั้นได้ตายไปจากประเทศไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดตอนความผิดต่างๆ ด้วยการใช้เงินเจ้าหน้าที่รัฐและสื่อเข้าเป็นพวก ทำให้กระบวนการตรวจสอบทุกอย่างหยุดชะงัก ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ต่อมาได้ถึงจุดแตกหัก เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจตัวเองและครอบครัวชินวัตร โดยได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ แล้วซิกแซกข้อกฏหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จนทำให้เกิดมวลชนพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาเรียกร้องให้รับผิดชอบการกระทำดังกล่าว เนื่องจากทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ จากการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลบเลี่ยงภาษี รวมทั้งมีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่น
จึงนำมาสู่เหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยทหารได้เข้าทำการยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น เวลานี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โทษการปฏิวัติ ก็เนื่องจากทำให้ตนเองสูญเสียอำนาจครั้งนั้น ซึ่งแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดำเนินรอยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยมาตั้งแต่แรก
เมื่อสกู๊ปดังกล่าวจบลง นายประยูร กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นพวกปากว่าตาขยิบ โดยปฏิวัติครั้งที่ได้รับผลประโยชน์ ตนไม่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโวยวาย แต่ที่ตอนนี้ออกมาโจมตีและโทษการปฏิวัติว่าทำให้ประเทศเสียหาย ก็เพราะว่าจริงๆแล้ว ปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ทำให้อำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกโค่นล้มต่างหาก
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม มี น.ส.กมลพร วรกุล รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ นายประพันธ์ คูณมี น.ส.อัญชะลี ไพรีรักษ์ กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายประยูร อัครบวร อดีตผู้นำนักศึกษา 6 ตุลา มาร่วมพูดคุยถึงหลากหลายประเด็นข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณี คดีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี ในข้อหาจารกรรมข้อมูลอันเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคง ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด สมเด็จพระนโรดมสีหมุณี กษัตริย์กัมพูชา ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าให้นายศิวรักษ์ ได้รับการพระราชทานอภัยโทษแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีนำสกู๊ปที่เคยเปิดในรายการ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มานำเสนอในรายการ โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยได้รับผลประโยชน์จากการปฏิวัติเมื่อครั้งยุค รสช. ที่นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เรืองอำนาจ
น.ส.กมลพร กล่าวเปิดรายการว่า ความคืบหน้าคดี นายศิวรักษ์ วันนี้ได้รับการพระราชอภัยโทษแล้ว โดยวันจันทร์ที่ 14 ธ.ค.นี้ จะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเพซอร์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งนางสิมารักษ์ ณ นครพนม และทางพรรคเพื่อไทย จะเตรียมตัวไปรอรับกลับประเทศไทย
นายประพันธ์ กล่าวประเด็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแสดงความยินดีที่ นายศิวรักษ์ จะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งตนไม่เห็นด้วยที่ นายอภิสิทธิ์ จะไปยินดีกับละครลวงโลกดังกล่าว เพราะเรื่องนี้มันหมายถึงศักดิ์ศรีของประเทศด้วย เนื่องจากเรื่องนี้ เริ่มต้นด้วย สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้จับกุมคนไทยและยัดข้อหาจารกรรมข้อมูลให้ โดยถือว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ทำตัวเป็นโจรเรียกค่าไถ่ ที่จับตัว นายศิวรักษ์ ไว้ เพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาลไทยในการแลกอิสรภาพของวิศวกรไทยกับศักดิ์ศรีของประเทศ
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนได้อ่านสิ่งที่ นายเขียน ธีระวิทย์ ศาตราจารย์กิตติคุณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงเรื่อง นายศิวรักษ์ไว้อย่างน่าใจ โดยตนจะขอคัดเลือกบางประเด็นมานำเสนอ ดังนี้ คดีนายศิวรักษ์ มีข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจ อาทิ 1.สมเด็จฯ ฮุนเซน เคยต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประมุขของประเทศหลายครั้ง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่เคยปรากฏว่ากำหนดการการบินเข้า-ออกกัมพูชาถือว่าเป็นความลับ และเชื่อว่าคงไม่มีใครในโลกนี้ กล้าบัญญัติกฎหมายระบุว่า เที่ยวบินการเดินทางเข้า-ออกประเทศของบุคคลสำคัญ ถือเป็นความลับในราชการ
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า 2.ตามหลักสากล คำพิพากษาศาลจะมีระบุชัดเจนว่า ผู้ต้องหาทำผิดกฎหมายอะไร มาตราไหน ซึ่งต่างจากคำพิพากษาสั่งจำคุก นายศิวรักษ์ ที่ไม่ได้อ้างกฎหมายฉบับใดเลย 3.ทนายความคนใหม่ของ นายศิวรักษ์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ทำตามคำสั่ง สมเด็จฯ ฮุนเซน มากกว่า 4.ตามหลักกฎหมายอาญา ผู้กระทำผิดทางอาญาจะต้องมีเจตนา ดังนั้น ที่ถูกต้องศาลกัมพูชาต้องทราบว่า นายศิวรักษ์ ลักลอบเอาข้อมูลไปกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของกัมพูชาหรือไม่ และ5.จำเลยได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยแต่ต้น แต่ตอนหลังถูกสมุน พ.ต.ท.ทักษิณ อาศัยความทุกข์จำเลยช่วงชิงบทบาทไป โดยบุคคลเหล่านี้ใช้กลยุทธสร้างกระแสให้ นายศิวรักษ์ ต้องโทษ แทนที่จะเป็นพ้นโทษ
น.ส.กมลพร กล่าวเสริมว่า วันนี้หลังจากที่ นายศิวรักษ์ ได้รับการอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชา ทางด้านสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็มีความเคลื่อนไหว โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อกัมพูชาว่า นายศิวรักษ์ สามารถทำงานในประเทศกัมพูชาต่อไปได้ แม้จะเคยเป็นผู้ต้องหาร้ายแรงที่จารกรรมข้อมูลอันเป็นภัยต่อความมั่นคง
นายประยูร กล่าวว่า กฏหมายกัมพูชา ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในหลักสากล เพราะต้องดูที่เจตนาว่า นายศิวรักษ์ ต้องการทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ แต่ทางกระบวนการยุติธรรมกัมพูชา กลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น จึงถือว่าเป็นศาลเตี้ย ที่มีแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยกย่องเท่านั้นว่ามีความเป็นธรรม
นายประพันธ์ กล่าวว่า ที่ถูกต้องรัฐบาลไทย ต้องโต้แย้งทางกัมพูชาตั้งแต่แรกว่า ความผิดของ นายศิวรักษ์ ไม่ได้มีระบุไว้ในกฏหมายฉบับใดของกัมพูชา ดังนั้น แค่ตารางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่ใช่ความลับและไม่มีผลต่อความมั่นคงของกัมพูชา ดังนั้น รัฐบาลไทยน่าจะใช้กฏหมายกัมพูชาตบหน้า สมเด็จฯ ฮุนเซน เพราะสิ่งที่ผู้นำกัมพูชาทำอยู่ถือเป็นการใช้กฏหมายตามใจชอบ
นายโสภณ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องหากคนไทยถูกจับกุมตัวในต่างประเทศ ทางสถานทูตไทยที่ประจำอยู่ในประเทศดังกล่าวต้องติดต่อประสานงานไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบคดีดังกล่าว และเข้าไปเยี่ยมคนไทย เพื่อสอบถามความจริงที่เกิดขึ้น จากนั้นก็ต้องหาหลักฐาน แล้วไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ว่า โทษของผู้ต้องหาสถานเบาหรือสถานหนัก ต่อจากนั้น หากอีกฝ่ายตั้งข้อหาไม่เป็นธรรม ต้องโต้แย้งทันที เพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด
ช่วงต่อมา ได้มีการนำสกู๊ปที่เคยเปิดในรายการ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง มานำเสนอในรายการ โดยเป็นเนื้อหา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับประโยชน์จากการทำปฏิวัติเมื่อปี 2534 สมัยคณะ รสช. ที่นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงศ์ ประธานคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เรืองอำนาจ ซึ่งครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับสัมปทานดาวเทียม อันนำมาซึ่งประโยคที่ว่า "หากไม่มีบิ๊กจ๊อด ไม่มีไทยคม" ทั้งนี้ หลังจากได้รับประโยชน์ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว แต่ยังไม่ยอมหลุดพ้นจากวงจรธุรกิจ โดยดำเนินทุกอย่างไปพร้อมๆกัน จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี และใช้กลยุทธ์ ลด แลก แจก แถม เพื่อซื้อใจรากหญ้า สร้างบุญคุณให้แก่ประชาชน ว่าช่วยแก้ปัญหาความยากจน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังใช้วิธีควบรวมพรรคการเมืองขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อให้พรรคการเมืองของตนเองได้เสียงข้างมาก จะได้รอดพ้นจากการตรวจสอบในสภา ทั้งยังมีพฤติกรรมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้ช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครองประเทศดูเหมือนกับว่าเวลานั้น รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ปกครองสมัยนั้นได้ตายไปจากประเทศไทย เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดตอนความผิดต่างๆ ด้วยการใช้เงินเจ้าหน้าที่รัฐและสื่อเข้าเป็นพวก ทำให้กระบวนการตรวจสอบทุกอย่างหยุดชะงัก ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ต่อมาได้ถึงจุดแตกหัก เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศในการเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจตัวเองและครอบครัวชินวัตร โดยได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ แล้วซิกแซกข้อกฏหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จนทำให้เกิดมวลชนพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาเรียกร้องให้รับผิดชอบการกระทำดังกล่าว เนื่องจากทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ จากการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลบเลี่ยงภาษี รวมทั้งมีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชั่น
จึงนำมาสู่เหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 โดยทหารได้เข้าทำการยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น เวลานี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โทษการปฏิวัติ ก็เนื่องจากทำให้ตนเองสูญเสียอำนาจครั้งนั้น ซึ่งแท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดำเนินรอยตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตยมาตั้งแต่แรก
เมื่อสกู๊ปดังกล่าวจบลง นายประยูร กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นพวกปากว่าตาขยิบ โดยปฏิวัติครั้งที่ได้รับผลประโยชน์ ตนไม่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโวยวาย แต่ที่ตอนนี้ออกมาโจมตีและโทษการปฏิวัติว่าทำให้ประเทศเสียหาย ก็เพราะว่าจริงๆแล้ว ปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ทำให้อำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกโค่นล้มต่างหาก