xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปไตยกับคนเสื้อแดง

เผยแพร่:   โดย: วิทยา วชิระอังกูร

อริสโตเติล ปราชญ์ยุคกรีกโบราณ ได้แยกแยะระบอบการปกครองออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนี้

1.การปกครองโดยบุคคลคนเดียว (สมบูรณาญาสิทธิราชย์ / ทรราช)

2.การปกครองโดยคณะบุคคลส่วนน้อย (อภิชนาธิปไตย / คณาธิปไตย)

3.การปกครองโดยคนส่วนใหญ่ (ปกครองโดยคนชั้นกลาง / ประชาธิปไตย)

และตามทฤษฎีทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน นักวิชาการทางรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ได้แยกแยะรูปแบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยออกเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายหลากหลายแนวคิดและหลากหลายทฤษฎี ตามวัฒนธรรมความเชื่อของแต่ละค่ายวิชาการ

 แต่หากสรุปรวบยอดโดยรวมแล้ว ก็น่าจะกล่าวได้ว่า รากฐานของระบอบประชาธิปไตยนั้น มาจากเสรีภาพแห่งมนุษย์นั่นเอง ซึ่งมีเพียงการปกครองในระบอบนี้เท่านั้น ที่มนุษยชาติสามารถแบ่งปันเสรีภาพร่วมกันได้ โดยประกอบด้วยภาวะผู้นำ และภาวะผู้ตามที่ดีบนพื้นฐานศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

ผมยกหลักการประชาธิปไตย มากล่าวอ้างแจกแจงพอให้เห็นกันเป็นกระสาย ก็เพียง เพราะอยากจะบอกกับคนเสื้อแดงที่รักทักษิณ ที่ชอบกล่าวอ้างว่า เลือกข้างฝ่ายประชาธิปไตย ได้ไตร่ตรองกันดูให้ถ่องแท้ว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักประชาธิปไตยที่เทิดทูนการปกครองระบอบประชาธิปไตย จริงหรือ?

 ลองทบทวนดู ว่า นับตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่แวดวงการเมืองการปกครอง เคยมีบ้างไหมที่เป็นตัวอย่างพอจับต้องได้ ที่แสดงความเป็นนักประชาธิปไตยของทักษิณ ชินวัตร ให้ปรากฏต่อสาธารณชน นอกจากการอ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอด จนกลายเป็นความเชื่อว่า ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้งเท่านั้น

ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจทุกผู้ทุกฝ่ายว่า การเลือกตั้งในประเทศไทยทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่เคยโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามรูปแบบประชาธิปไตยที่แท้จริงแม้แต่ครั้งเดียว

และผลงานชิ้นโบดำที่ ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร  จงใจละเลยไม่กล่าวถึงเลย ก็คือ การแทรกแซงคณะกรรมการการเลือกตั้งในยุคสามหนาห้าห่วง จนเป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลการเลือกตั้ง เพื่อพลพรรคของทักษิณ ถูกจับได้ไล่ทัน จนต้องโทษคดีอาญาอย่างน่าอับอาย

ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้การบังคับใช้ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้ออำนวยต่อระบอบประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง ที่คนเสื้อแดงร่ำร้องโหยหาให้นำกลับมาใช้อีกนั่นแหละ

เป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการกลั่นกรองการร่าง โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งแรกก็ว่าได้ โดยมีความพยายามที่จะกำหนดกลไก เพื่อแก้ไขวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่ระบอบประชาธิปไตยถูกบั่นทอนจากการปฏิวัติรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันเกิดจากความอ่อนแอของระบบพรรคการเมือง และรัฐบาลผสมหลากหลายพรรคที่ทำให้ขาดเอกภาพและด้อยประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง อีกทั้งประชาชนไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองเท่าที่ควร

โดยรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 40 ได้เน้นการออกแบบให้รัฐบาลและระบบการเมืองมีเสถียรภาพมั่นคงขึ้น เพื่อให้มีศักยภาพ และประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ขณะเดียวกันก็สร้างระบบการถ่วงดุลอำนาจ โดยให้มีองค์กรการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับการขยายสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองมากยิ่งขี้นด้วย

หากทักษิณ ชินวัตร มีจิตวิญญาณของความเป็นประชาธิปไตยจริงตามที่ชอบกล่าวอ้างกับคนเสื้อแดง ทักษิณก็น่าจะใช้โอกาสในขณะเรืองอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 พัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย เพราะมีปัจจัยเอื้ออำนวยอย่างพรั่งพร้อม

แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ตรงข้ามทักษิณ ชินวัตร  ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับเสาะหาช่องว่างมุ่งทำลายกลไกที่เอื้อต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญ ปี 40 จนพิกลพิการ และเป็นเหตุให้มีการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ทิ้งอีกจนได้ 

และหลังการรัฐประหาร ในเดือนกันยายน 2549 ก็จำต้องให้ ส.ส.ร.ชุดปี 2550 มาช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่โดยปรับแก้อุดรูร่องช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ซึ่งกลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ประดานักการเมืองที่ชอบช่องว่างช่องโหว่เกลียดกลัวและอยากปรับรื้อแก้ไขกันหนักหนา เพื่อให้มีช่องโหว่ไว้ฉ้อฉลคดโกงสะดวกสบายดังเดิม

ตัวอย่างในการทำลายกลไกในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงระบบรัฐสภา โดยตั้งเงินเดือนพิเศษให้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว.ที่ยอมสังกัด ให้สั่งการกำกับได้ แล้วลามไปถึงการแทรกแซงองค์กรอิสระ กกต., ป.ป.ช., สตง. และไม่เว้นแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ

 นอกจากนั้น ก็ยังใช้เล่ห์กลมนต์คาถาทุกรูปแบบ บีบบังคับให้พรรคการเมืองที่มีชนักติดหลังยุบรวมพรรคมาเข้าสังกัดหลายต่อหลายพรรค จนพรรคของทักษิณกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่มีเสียงข้างมากยึดกุมอำนาจทั้งรัฐสภา และการบริหารอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ตลอดเวลาแห่งการครองอำนาจ ทักษิณใช้ระบบซีอีโอในการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งไม่ว่าจะพิจารณาจากแง่มุมใด ก็ดูจะมีลักษณะของผู้นำแบบเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัดเจน

ภาพการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เหมือนการประชุมรับฟังข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรี ซีอีโอหรือบางนัดเหมือนรัฐมนตรีมานั่งฟังการบรรยายพิเศษที่จบลงด้วยคำสั่งสอน ให้รัฐมนตรี ไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ เพื่อแสดงความทรงภูมิรอบรู้ของนายกรัฐมนตรี ซีอีโอ (ซึ่งภายหลังมีนักวิชาการบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า ตำราเศรษฐศาสตร์บางเล่มที่ทักษิณแนะนำ ให้รัฐมนตรีไปอ่าน ไม่น่าที่ด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยาอย่างทักษิณ จะอ่านรู้เรื่องได้)

โดยพฤติกรรมต่างๆ ของทักษิณ ชินวัตร ที่ผ่านมา จึงมีแต่ภาพของการเอาแต่ใจตนเอง ไม่รับฟังความเห็นต่าง ไม่รู้แพ้รู้ชนะแบบน้ำใจนักกีฬา เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปฏิปักษ์กับความเป็นประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

ผมเชื่อว่า ความเป็นจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของทักษิณ ชินวัตรทั้งหมด คนเสื้อแดงที่เคยมีอดีตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายต่อสู้เพื่อเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยกับเผด็จการทหารอย่างจาตรุงค์ ฉายแสง, อดิศร เพียงเกษ, สุธรรม แสงประทุม และพลพรรคเพื่อไทยที่สวมใส่เสื้อแดงอีกหลายต่อหลายคนย่อมสัมผัสรับรู้ได้มาโดยตลอดว่า ทักษิณ ชินวัตร มิใช่นักประชาธิปไตย และไม่เคยมีจิตวิญญาณเชิดชูระบอบประชาธิปไตยในความหมายที่แท้จริงแต่อย่างใดเลย

ผมจึงประหลาดใจกึ่งรำคาญใจทุกครั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงชูธงว่า จะต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย โดยชูคนอย่างทักษิณ ชินวัตร เป็นแกนนำสำคัญ และสงสัยกึ่งสมเพชทุกครั้ง ที่เห็นอดีตนักต่อสู้ที่เคยร่วมกันต่อสู้กับเผด็จการทหารมาในอดีตขึ้นเวทีหรือออกทีวีพูดอย่างไม่กระดากปากว่า มาร่วมต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย โดยมีภาพถ่ายของคนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างทักษิณ ชินวัตร ตระหง่านเป็นแบ็กกราวด์อยู่ด้านหลัง

การต่อสู้ดิ้นรนอย่างไม่ยอมรับผิดไม่ยอมเลิกราของทักษิณ และพวกในขณะนี้ นับวันยิ่งจะสวนทางกับคำว่าประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนให้ใช้ความรุนแรงต่างๆ เพื่อก่อกวนป่วนบ้านป่วนเมือง โดยใช้จำอวดหน้าม่านอย่างสามเกลอหัวขวด หรือใช้ทหารแก่หมดอายุที่เป็นซากเดนทาสรับใช้เผด็จการในอดีต รวมทั้งการจ้างวานผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่สำรอกวาจาแต่ละครั้งเหม็นเน่าไปทั้งกองทัพมาเป็นฝ่ายเสนาธิการ

ก็ไม่ทราบว่าคนเคยชิงชังรังเกียจเผด็จการทหารอย่าง หมอมิ้ง, หมอเลี้ยบ เกรียงกมล เลาหไพโรจน์, วิสา คัญทัพ, อดิศร เพียงเกษ, จาตุรนต์ ฉายแสง, สุธรรม แสงประทุม และคนเสื้อแดงเดือนตุลาอีกหลายคนในร่มเงาทักษิณ ชินวัตร  ยังยินดีปรีดาร่วมอยู่ในขบวนการที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์ยิ่งกว่าเผด็จการทหารเยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน

ก็เอาเถิดครับ เมื่อยังคิดจะจงรักภักดี และพร้อมที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับสหายรักที่ปรึกษาส่วนตัวของผู้นำเผด็จการอย่างฮุนเซนอีกต่อไป จะด้วยเหตุผลซ่อนเร้นซ่อนลึกประการใดก็ตามทีเถิด ก็ไม่ว่ากัน

 ขอเพียงอย่างเดียวได้ไหมครับ กรุณาเลือกใช้สโลแกนการต่อสู้แบบอื่นให้สอดคล้องกับลีลาการต่อสู้ของฝ่ายทักษิณและคนเสื้อแดง อย่าได้เอ่ยอ้างการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไปเลย เพราะมันดูไม่สมจริง ไม่เข้ากับบุคลิกลักษณะของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อทักษิณ แต่ประการใดเลย 

และอยากให้คนเสื้อแดงทั้งมวลรับทราบด้วยว่า การชุมนุมที่แอบแฝงซ่อนเร้น คนส่วนใหญ่เขาเริ่มจับได้ไล่ทัน และเบื่อรำคาญมากแล้ว โดยเฉพาะการดึงดันจัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา โดยตอนแรกอ้างวันรัฐธรรมนูญ พอมีเสียงคนติงว่า ช่วงนี้ถนนราชดำเนินทั้งสายอยู่ในช่วงจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ตะแบงว่า จะให้คนเสื้อแดงมาร่วมถวายพระพร โดยให้ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมานำกล่าวถวายพระพร

 แล้วเอาเข้าจริง ทักษิณ  ชินวัตร ก็ใช้วิดีโอลิงก์มาปราศรัยปลุกระดมคนเสื้อแดง โดยอ้างประชาธิปไตยอีกเช่นเคย อ้างรัฐธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ปี 2475  มาตรา 1 ที่บัญญัติไว้ว่ “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฎรทั้งหลาย” แล้วก็ดึงไปพาดพิงจาบจ้วงล่วงละเมิดว่า  “...ทุกวันนี้ประชาชนราษฎรไทย กำลังถูกปกครองตามใจ.......”

โดยสรุป จึงอยากให้คนเสื้อแดงได้หยุดคิด พินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
ลึกๆ คนที่ไม่เคยมีความเป็นประชาธิปไตยในตัวตนเลยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เขากำลังนำพาท่านทั้งหลายต่อสู้เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย จริงหรือ? ที่ผ่านมาและเป็นอยู่ เขาต่อสู้เพื่อตัวเขาเองมาโดยตลอด ซึ่งนับวันก็จะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้เห็นทุกที

คนเสื้อแดง เป็นเพียงกองกำลังที่ถูกหลอกใช้ ด้วยคาถา “ประชาธิปไตยจอมปลอม” เท่านั้นเอง

และขอให้คนเสื้อแดงเชื่อเถิดว่า การคิดไม่ซื่อ ไม่สุจริตต่อแผ่นดินถิ่นกำเนิด จุดจบไม่ดีแน่นอน.
กำลังโหลดความคิดเห็น