xs
xsm
sm
md
lg

วัลลภ พุกกะณะสุต ขนกระเป๋า 600 กก.บทพิสูจน์ธรรมาภิบาลใน TG

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วัลลภ พุกกะณะสุต
และแล้ว “การบินไทย” ก็มีเรื่องมัวหมองเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการเปิดเผยถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้บริหารระดับ “บิ๊ก” พร้อมภรรยา เนื่องจากได้ใช้สิทธิตั๋วพิเศษหรือที่รู้จักกันในชื่อของบัตรโดยสาร DM-00ซึ่งเป็นตั๋วฟรีสำหรับบอร์ดเดินทางจากโตเกียวมายังกรุงเทพฯ ในวันที่ 14 พ.ย.42 เที่ยวบิน TG677 ในชั้น First Class ที่นั่ง 4F กับ 4E แถมใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นผู้บริหารขนกระเป๋าส่วนตัวราว 40 ใบ น้ำหนักกว่า 600 กิโลกรัม ซึ่งเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม

และในเวลาต่อมาชื่อของผู้บริหารรายดังกล่าวก็ปรากฏสู่สายตาของสาธารณชนว่าคือ “นายวัลลภ พุกกะณะสุต” ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน)

ร่วมด้วยช่วยกันขน

จากการตรวจสอบข้อมูลในใบปลิวและข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับการขนกระเป๋านั้น มีการระบุอย่างชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวได้รับการอำนายความสะดวกผ่านนายสถานีนาริตะ และยังมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทให้ความร่วมมือในการรับผิดชอบกระเป๋าอีก 10 ใบ ซึ่งรวมกับ 40 ใบมีน้ำหนักถึงกว่า 600 กิโลกรัม พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยด้วยว่าสามารถนำกระเป๋าราว 40 ใบเข้าประเทศไทยได้อย่างไรโดยไม่มีปัญหาในขั้นตอนการผ่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)เนื่องจากกระเป๋าทั้งหมดไม่ได้ผ่านไปยังสายพานลำเลียงกระเป๋า แต่มีการจัดการให้ไปเข้าระบบ Lost and Found (LL) หรือแผนกกระเป๋าหาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร

ที่ดุเดือดกว่านั้นก็คือ มีการให้ข้อมูลออกมาด้วยว่า ภายในกระเป๋าทั้งหมดบรรจุสินค้าจำนวนมาก เป้าหมายเพื่อนำมาจำหน่ายในร้านของภรรยาที่ ซ.ละลายทรัพย์ ถ.สีลม และครั้งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดครั้งแรก

น.ส.แจ่มศรี สุกโชติรัตน์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย และหนึ่งในคณะทำงานสอบสวนกรณีข่าวอื้อฉาวดังกล่าวให้ข้อมูลว่า ในช่วงที่ผ่านมาสหภาพฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจากพนักงาน นอกจากนี้ยังมีบัตรสนเท่ห์ซึ่งกระจายไปทั่วบริษัท ด้วยเหตุนี้จึงมีการตรวจสอบและพบความจริงว่ามี ผู้บริหารบริษัทการบินไทยและครอบครัวใช้ตั๋วฟรีในการเดินทางในวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมาจริง อีกทั้งการขนจำนวนกระเป๋าที่มากมายนั้นก็เป็นความจริง โดยขนกระเป๋าเดินทางจำนวน 30 ใบ น้ำหนักรวมประมาณ 520 กิโลกรัม แต่มีการรายงานเพียงแค่ 170 กิโลกรัม

นอกจากนี้ยังมีการนำกระเป๋าอีกประมาณ 10 ใบไปฝากให้กับ นายพฤทธิ์ บุปผาคำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการพาณิชย์ ให้ช่วยถือกลับมาให้โดยน้ำหนักชั่งจริงสูงถึง 113 กิโลกรัม แต่บันทึกไว้เพียง 51 กิโลกรัมเท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่บริษัทการบินไทยที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการให้และเป็นผู้รับผิดชอบ

ทั้งนี้โดยปกติแล้วผู้โดยสารในชั้นเฟิสต์คลาสจะได้รับอนุญาตให้ขนส่งกระเป๋าได้ไม่เกิน 40 กิโลกรัม หรือเต็มที่ไม่เกิน 45 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งถ้าหากรวม 2 คนก็ไม่น่าจะเกิน 90 กิโลกรัม ขณะที่ผู้โดยสารในชั้นประหยัดขนส่งได้ไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม ชั้นธุรกิจประมาณ 25-35 กิโลกรัม

อ้างของฝากเจ้าคุณวัดปากน้ำ

หลังข้อมูลต่างๆ เปิดออกมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดนายวัลลภก็อดรนทนไม่ไหวและต้องออกโรงชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชนิดที่เรียกได้ว่า ดุเดือดและรุนแรงไม่แพ้กัน โดยตีโพยตีพายด้วยการระบุว่า งานนี้เป็นเกมการเมืองทั้งจากภายในและภายนอกที่ต้องการเลื่อยขาเก้าอี้ของตนเอง ที่สำคัญคือนายวัลลภเปิดหน้าท้าชก “ปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่(ดีดี) การบินไทยอย่างซึ่งๆ หน้า เพราะมั่นใจว่า เป็นผู้ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกมา

“นายปิยะสวัสดิ์ไม่ควรเต้นกับสหภาพแรงงานฯ และผมคงไม่ไปถามนายปิยะสวัสดิ์ เพราะถือว่าเป็นนายและเป็นผู้ประเมินนายปิยะสวัสดิ์ด้วย แต่ที่ผ่านมายอมรับว่านายอำพน กิตติอำพน ประธานบอร์ดได้โทรศัพท์มาสอบถามแล้ว ซึ่งก็ได้ชี้แจงไปและนายอำพนก็เข้าใจ นายปิยะสวัสดิ์มีเงินเดือนตั้ง 9 แสนบาทต่อเดือนควรทำอะไรที่คุ้มค่ากับเงินเดือนหน่อย ที่บอกว่าจะไม่นั่งเฟิร์สคลาส ก็เห็นยังนั่งอยู่เลยและตั้งแต่เข้ามาประมาณ 2 เดือนก็ยังไม่ได้ทำอะไร ซึ่งการที่การบินไทยลดค่าใช้จ่ายได้ก็เป็นการทำก่อนที่นายปิยสวัสดิ์เข้ามา”

“เรื่องทั้งหมดเกิดจากเรื่องการเมืองภายในบริษัทและการเมืองนอกบริษัทที่มีความพยายามจะทำลายความน่าเชื่อถือของผม ทั้งนี้เนื่องจากกรรมการบริหารของการบินไทยจะมาจากตัวแทนกระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม ทำให้กรรมการบริหารแบ่งเป็น 2 ฝ่าย โดยผมและนายอำพนเป็นตัวแทนจากกระทรวงคมนาคม ในขณะที่นายปิยะสวัสดิ์เป็นตัวแทนจากกระทรวงการคลัง ทำให้มีความขัดแย้งในเชิงความคิดกันได้ เรื่องนี้หากให้มองก็เป็นเรื่องความขัดแย้งเชิงการเมืองได้ เพราะเมื่อฝ่ายบริหารรู้เรื่องนี้ก็สามารถ โทร.ถามผมได้ เบอร์ โทร.ผมก็มี แต่ไม่ โทร.แต่กลับไปให้ข่าวก่อน แล้วจะให้คิดยังไง”

สำหรับกรณีการขนกระเป๋ากว่า 40 ใบนั้น นายวัลลภชี้แจงว่า เป็นผลไม้และอาหารที่เด็กวัดจากญี่ปุ่นฝากมาให้เจ้าคุณวัดปากน้ำ และไม่ถึง 400-500 กก.อย่างแน่นอน และไม่ได้มีการขนของผ่านช่องทางของหาย และขออย่านำภรรยาของตนมาเกี่ยวข้อง เพราะภรรยาของตนเปิดร้านเล็กๆ แค่ 2 x 3 ตารางเมตรเท่านั้น

ขณะเดียวกันก็ระบุด้วยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการเมืองภายในของกลุ่มผู้บริหารเก่าที่เสียประโยชน์จากการที่ตนเข้าไปรื้อและปรับวิธีการทำงานใหม่ ทั้งเรื่องการซื้อไวน์ และพวกที่พักของลูกเรือในต่างประเทศ ทำให้การบินไทยสามารถประหยัดเรื่องค่าอาหารบนเครื่องได้ถึง 93 ล้านบาท และประหยัดค่าที่พักของลูกเรือได้กว่า 1,000 ล้านบาท

“ผมยืนยันว่า ในการเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงเดือน พ.ย.นั้น มีลูกศิษย์วัดปากน้ำที่ญี่ปุ่นนำของมาฝากให้สมเด็จมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญจริง จึงให้นายสถานีโตเกียวเป็นผู้จัดการเรื่องของฝากดังกล่าว โดยออกเดินทางจากญี่ปุ่นในช่วงเย็นวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่ทราบว่าของฝากเป็นอะไร มีจำนวนกี่ชิ้น เพราะเมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 21.30 น. ทางวัดก็ได้ส่งคนมารับของไปหมดแล้ว สำหรับผมและภรรยามีสัมภาระทั้งสิ้น 6 ชิ้น น้ำหนักเป็นไปตามข้อกำหนดของการบินไทย ไม่ใช่ขนกระเป๋ามากถึง 40 ใบ”

อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของนายวัลลภดูเหมือนว่าจะไม่สามารถเคลียร์ข้อกล่าวหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างว่าของที่ขนมาพะเรอเกวียนนั้นเป็นผลไม้ที่เด็กวัดญี่ปุ่นฝากมาให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เนื่องจากเป็นจำนวนที่มากเกินไปสำหรับการนำสิ่งของถวายให้กับพระ

ที่สำคัญคือเมื่อมีการตรวจสอบไปยังวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ก็ได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ธุรการของทางวัดว่า ในช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ามีใครนำผลไม้จำนวน 400-500 กิโลกรัม เข้ามาถวายพระที่วัดอย่างแน่นอน แต่ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีญาติโยมไปทอดกฐินที่ญี่ปุ่น และคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นได้ฝากผลไม้ อาทิ แอปเปิ้ล ลูกพลับ ฯลฯ กลับมาถวายท่านเจ้าคุณวัดปากน้ำ ซึ่งตามกฎหมายสามารถนำผลไม้กลับมาได้คนละไม่เกิน 20 กิโลกรัม แต่เนื่องจากเป็นของที่ทำบุญ ญาติโยมที่ไปทอดกฐินจึงทำเรื่องอนุโลมขอโหลดของน้ำหนักเกินเข้ามา โดยกลับมาถึงไทยเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา และเมื่อกลับมาแล้วก็นำผลไม้มาถวายพระในวัดจำนวนกว่า 300 รูป ที่เหลือได้นำไปแจกจ่ายญาติโยมที่เข้ามาช่วยเหลือวัด

แต่กระนั้นก็ดีนายวัลลภยังคงยืนยันว่า เรื่องที่ทำไม่ใช่เรื่องผิดเพราะที่ผ่านมาการฝากขอความอนุเคราะห์ในเรื่องน้ำหนักบรรทุกเป็นเรื่องที่คนการบินไทยคุ้นชินและให้การช่วยหลือมาโดยตลอด ไม่ใช่เฉพาะแค่ตนเองเท่านั้น และครั้งนี้เป็นการฝากมาให้กับวัดซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญ

“เรื่องนี้ธรรมดา เราเป็นคนไทยก็ช่วยกัน อย่าง วปอ.ไปเมืองนอกขอน้ำหนักบรรทุกเกินกันคนละหลายสิบกิโลกรมก็ต้องให้”นายวัลลภกล่าวยืนยันและประกาศด้วยว่า ถ้าผลตัดสินออกมาว่าผิด ก็พร้อมที่จะลาออกและเสียค่าโหลดสัมภาระทั้งหมดเอง

….ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสรุปว่า ใครผิดหรือใครถูก เพราะจากพฤติกรรมและข้อมูลทั้งหมดน่าจะเป็นเครื่องตัดสินอย่างไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว

ร้านค้าเลขที่ 117 ในซอยละลายทรัพย์
กำลังโหลดความคิดเห็น